บทที่ 146 จงสรรเสริญดวงตะวัน!

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 146 : จงสรรเสริญดวงตะวัน!

เพลิงไหม้กะทันหัน ศพเกรียม ๆ ของบริวารของอัครสาวกเดือนดับข้างแรม และเสียงตะโกนของสมาชิกสมณเพศที่ด้านนอก

วินเซนต์ตกเป็นเหยื่อของแผนการของโบสถ์และได้รายงานความผิดปกติให้กับหัวหน้าของเขา ยิ่งกว่านั้นเขายังมีคัมภีร์ตะวันนอกรีตอยู่ในครอบครองซึ่งได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและความตายนี้ขึ้นมา

แล้วในสถานการณ์นี้เขาควรทำอย่างไร?

เผ่นสิถามได้!!!

หลังจากลนลานอยู่ครู่หนึ่ง วินเซนต์ก็สงบใจลงทันทีแล้วทะยานออกนอกหน้าต่างห้องอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อหนีออกไป ในขณะที่สมาชิกสมณเพศกำลังรี่เข้ามา

เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในที่เกิดเหตุนอกจากบริวารผู้นั้น ในตอนนี้ คนหนึ่งตายและมีมีดสั้นแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น ไม่ว่าใครที่มาเห็นสภาพหลังเกิดเหตุก็จะนึกภาพเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ขึ้นมากันทั้งนั้น

วินเซนต์เองก็ตระหนักถึงเหตุผลที่บริวารผู้นี้ปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว วาเนสซ่าต้องเดาอะไรบางอย่างได้แล้วหรือส่งบริวารมาฆ่าตัวเองแน่นอน เนื่องจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์ของเขา

ดังนั้นมันก็ชัดเจนว่าวาเนสซ่าเอนเอียงไปที่ฝั่งใคร มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ถ้าวินเซนต์ถูกจับได้!

ทางเลือกอื่นเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือเผ่น!

ปัง!

“เขาไปไหนแล้ว?…เขาหนีไปแล้ว!”

วินเซนต์เหินออกไปนอกหน้าต่างแล้วลงพื้นกลิ้งหลุน ๆ อย่างทุลักทุเล ในขณะที่ตัวเขาโซเซออกไปจากทะเลเพลิง เขาก็ได้ยินเสียงโครมครามของประตูที่ถูกพังลงตามด้วยเสียงก๊องแก๊งของชุดเกราะเหล็ก

เมื่อเหลือบมองกลับไป วินเซนต์ก็เห็นว่าทั้งห้องได้พังลงแล้ว และมีนักเทศน์ในชุดเกราะสีเงินอย่างน้อยก็โหลหนึ่งยืนอยู่นอกประตู

นักเทศน์ที่นำอยู่หน้าสุดถลึงตามองห้องที่ลุกไหม้และซากศพที่ดำเกรียมอย่างเย็นเยียบก่อนจะสบสายตาเข้ากับวินเซนต์ แล้วเขาก็ยกดาบของตัวเองขึ้นพลางตะคอก “บริวารไฮมานถูกสังหาร ฆาตกรและผู้วางเพลิงอยู่ตรงนั้น บางหลวงวินเซนต์ผู้ทรงศีล! ไล่ตามเขาไป!”

“แยกกันล้อมเขาไว้ แจ้งแก่สมาชิกสมณเพศทุกคนในสังฆมณฑลที่เจ็ดและสำนักงานสืบสวนให้ผนึกพื้นที่ไว้ซะ!”

ให้ตายเถอะ! พวกเขาจะล่าเราแล้ว!

วินเซนต์ตะเกียกตะกายหนีไป ร่ายคาถาเสริมพลังสารพัดบทให้กับตนเองในขณะที่เขาก่นด่าวิธีการที่โหดร้ายของวาเนสซ่าอยู่เงียบ ๆ

ทุกอย่างคงไปได้สวยถ้าไฮมานทำสำเร็จ เพราะถึงอย่างไรวินเซนต์ก็เป็นเพียงบาทหลวงธรรมดาที่ไม่มีทั้งฐานันดรและอำนาจ คนแบบนี้ตายไปในระหว่างการปัดรังควานก็ไม่ได้แปลกอะไร

อัครสาวกเดือนดับข้างแรมวาเนสซ่ามีสารพัดวิธีที่จะกลบเกลื่อนความจริงและทำให้ทุกคนลืมเขาไปได้อย่างสมบูรณ์

ยิ่งกว่านั้น บางทีเธอก็อาจจะมีโบสถ์ทั้งโบสถ์หนุนหลังเธออยู่ก็ได้!

ถ้าไฮมานทำพลาดแล้วตายไป เธอก็จะรีบเปลี่ยนสถานการณ์แล้วส่งพวกนักเทศน์มาเชือดเขาคาที่แล้วยัดข้อหาเป็นบุคคลนอกรีตให้

ดังนั้น ไม่ว่าวินเซนต์จะทำอะไร เขาก็ต้องตายอยู่ดี มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าวาเนสซ่าคิดแผนอันแยบยลนี้ขึ้นเพื่อขยี้เขาราวกับเป็นแค่มดตัวหนึ่ง

บางทีสิ่งเดียวที่วาเนสซ่าคิดไม่ถึงก็คงเป็นคัมภีร์ตะวันที่ยังเรืองแสงอยู่ในมือของวินเซนต์

เจ้าของร้านหนังสือบอกเราให้รายงานเขาถ้าเจออะไรไม่ชอบมาพากล…จริงสิ เด็กสาวในฝันคนนั้นดูคล้าย ๆ ผู้ช่วยของเขาที่ร้านหนังสือ หรือจะเป็น…หรือทั้งหมดนี้จะอยู่ในการคาดเดาของเขา และเป็นส่วนหนึ่งของแผนเขาอยู่แล้ว?!

อย่าบอกนะว่าความฝันที่ดวงอาทิตย์ถูกส่งมาในมือของเราจะหมายถึงพลังของคัมภีร์ตะวัน? มันคือพลังนี้เองที่ช่วยชีวิตเราจากมีดของไฮมานและทำให้เกิดไฟไหม้นี่ขึ้น!

วินเซนต์สะดุดแล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้น ตระหนักได้ว่าเขาได้กลายเป็นตัวหมากที่ไม่รู้ว่าจะดวงดีหรือร้ายในเกมหมากรุกที่ตัวตนอันยิ่งใหญ่เล่นด้วยกันนี้แล้ว

วาเนสซ่าคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าเขากำลังจะทำอะไร แต่หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ มันก็ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหนังสือได้คำนึงถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมดของวาเนสซ่าเอาไว้หมดแล้ว

“ไม่สิ บางทีเขาอาจจะมองทะลุเจตนาของโบสถ์ไปแล้วก็ได้…”

วินเซนต์กำคัมภีร์ตะวันอย่างประหม่า มองทะเลเพลิงที่แผดเผาอยู่ตรงหน้าเขา เสียงตะโกนและเสียงก๊องแก๊งของชุดเกราะเติมเต็มเขาด้วยความรู้สึกอันตรายและความตึงเครียด ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง…

ความแข็งแกร่งของนักเทศน์นั้นสูงกว่าเขามาก หากไม่ใช่เพราะกำแพงไฟคลั่งนี้หยุดพวกเขาไว้ วินเซนต์คงหนีออกมาไม่รอด

มันคือคัมภีร์ตะวันในอ้อมแขนของเขาที่แผ่รังสีความร้อนและอำนาจไร้ขอบเขตนี้นี่เองที่สร้างทะเลเพลิงล้อมรอบวินเซนต์เพื่อที่จะทำให้เขาผ่านออกไปได้อย่างราบรื่น

เพลิงนี้เป็นอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดของนักเทศน์ แต่มันไม่ได้ขัดขวางอะไรวินเซนต์เลย

ทว่าพวกผู้เผยแพร่ศาสนาก็ยังล้อมเขาไว้ได้และวงล้อมของพวกเขาก็เล็กลงทุกที หากวินเซนต์ไม่มีหนทางทะลวงออกไป สุดท้ายก็จะถูกจับได้และถูกประหารในฐานะบุคคลนอกรีตอยู่ดี!

วินเซนต์ซึ่งเคยเป็นเพียงบาทหลวงธรรมดาก่อนหน้านี้ไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อนและทำได้เพียงกัดฟันหนี แต่ตอนนี้ ขาของเขาอ่อนยวบ และร่างของตัวเขาเองทั้งร่างก็สั่นเทา

มีนักเทศน์ที่อยู่มากกว่าร้อยคนเรียงตั้งแต่ระดับผิดปกติถึงสัตว์ประหลาดในสังฆมณฑลที่ 7 ไม่ว่าใครในนั้นก็สามารถสังหารวินเซนต์ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ง่าย ๆ และเจ้าหน้าที่สอบสวนนั้นก็ยิ่งเป็นตัวตนที่น่ากลัวเข้าไปใหญ่

ตอนนี้สังฆมณฑลที่ 7 ทั้งหมดถูกผนึกและสมาชิกสมณเพศทั้งหมดก็ออกมาไล่ฆ่าเขาหมด

นี่มันทางตันชัด ๆ

การมองเห็นของวินเซนต์เลือนรางในขณะที่เขาโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็จ้องไปที่คัมภีร์ตะวัน

หนังสือที่ทั้งหนาและหนักนี้เปล่งแสงแรงกล้า ก่อเป็นลูกบอลสีทองที่วูบไหวอย่างต่อเนื่องราวกับอำนาจยิ่งใหญ่บางอย่างกำลังก่อพายุยักษ์อยู่

เปิดมันสิ…เปิดมันสิ!

เสียงหนึ่งกู่เรียกจากที่ไหนสักแห่ง วินเซนต์สูดหายใจลึก ๆ แล้วยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

สูดหายใจลึก ๆ เขาวางมือที่หน้าปกหนังสือแล้วค่อย ๆ เปิดมันออกช้า ๆ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง นักเทศน์ก็ทะลวงกำแพงไฟมาล้อมเขาไว้ได้ ในการจัดขบวนนั้น พวกเขาต่างยกอาวุธขึ้นมาชี้ใส่เขา หัวหน้านักเทศน์ยกมือขวาของเขาขึ้นแล้วสับลงอย่างไม่ลังเล “ฆ่าเขาซะ!”

ทั้งอาวุธและเวทมนตร์ต่างถูกปลดปล่อย…

วินเซนต์พลิกเปิดคัมภีร์ตะวันและแสงก็ระเบิดออกมา หน้ากระดาษพลิกด้วยตนเองแม้จะไม่มีลม และตัวอักษรแปลก ๆ สีทองก็โบยบินออกมาจากหน้ากระดาษลอยรอบตัวเขา ในขณะที่พลังที่ถูกกักไว้ในหนังสือไหลเข้าไปในร่างของเขา

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

“อ๊ากก!”

วินเซนต์รู้สึกว่าร่างของตัวเองร้อนเหมือนถูกแผดเผา ผิวและเนื้อของเขาดูจะเปลี่ยนไปเป็นพื้นดินที่มอดไหม้ และเลือดของตัวเองก็กลายเป็นลาวา ดวงตาถูกแผดเผาด้วยความเจ็บปวดเกินต้านทาน และร่างของเขาก็ดูราวกับเป็นภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุแต่ไม่มีวิธีที่จะปลดปล่อยออกมาได้ ภายใต้การยับยั้งอย่างต่อเนื่องนี้ เขาก็ระลึกได้ถึงดวงอาทิตย์ที่เขากำไว้แน่นในความฝันขึ้นมาได้

ทันทีที่เขาคิดถึงมัน วินเซนต์ก็รู้สึกว่ามือของตัวเองร้อนขึ้น เมื่อยกขึ้นมามองใกล้ ๆ ในฝ่ามือของเขามีลูกบอลไฟเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนดวงอาทิตย์อยู่จริง ๆ ด้วย ลำแสงและเปลวเพลิงที่บิดเบี้ยวไหลทะลักออกมาจากมือของเขา ทำให้ลูกบอลไฟนั้นใหญ่ขึ้นอีก

วินเซนต์ผ่อนคลายลง รู้สึกเหมือนตัวเองพบวิธีทะลวงออกไปแล้ว

พลังทั้งหมดพวยพุ่งเข้าไปใน ‘ดวงอาทิตย์’ ในมือของเขาในขณะที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

เหล่านักเทศน์ตะลึงมองในขณะที่ดวงไฟที่ดูคล้ายดวงอาทิตย์ขยายขนาดขึ้นจากกลางฝ่ามือที่ยื่นออกมาของบุคคลนอกรีตและพลุ่งพล่านไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว

หนึ่งเมตร…สามเมตร…สิบเมตร…

ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้ามีขนาดเกินกว่าตึกสามชั้นและทำให้ท้องฟ้ารัตติกาลส่องสว่างขึ้นมาทั้งผืน!

ระดับผิดปกติ…ระดับสัตว์ประหลาด…ขึ้นไปจนถึงระดับภัยพิบัติ!

เคร้ง…เคร้ง…

เหล่านักเทศน์ปล่อยอาวุธของพวกเขาลงพื้น บางคนก็เริ่มตัวลีบแล้วถอยหนี

วินเซนต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศตาบอดไปอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางแสงสีขาวอันเข้มข้น ผิวส่วนหนึ่งของเขาปริแตก แล้วแสงก็ส่องออกมาจากในรอยแตก แผ่ความร้อนรุนแรงออกมา

เขามองขึ้นไปที่ดวงไฟ สัมผัสถึงความอบอุ่นและความโล่งใจที่มาอย่างกะทันหัน แล้วเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “จงสรรเสริญ… ดวงตะวัน!”

ราวกับจะตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา ดวงอาทิตย์ยักษ์พลันหดตัวแล้วระเบิดแสงอันเกินคาดคะเนออกมากลืนกินทุกสิ่งเข้าไป!

“อ๊ากกกก!!!!”

หัวหน้านักเทศน์เป็นคนแรกในหมู่พวกเขาที่ถูกอาบในแสงสีแดงและกลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันทีท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเขาเอง

สิ่งที่ตามมานั้น ทุ่งเพลิงทรงกลมอันร้อนระอุก็ขยายวงออกไปทุกทิศทุกทางราวกับสึนามิ ทำลายและบดขยี้ทุกสิ่งที่มันสัมผัสจนราบเป็นหน้ากลอง

“นั่นแหละค่ะสิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันสงสัยว่าร้านหนังสือนั่นจะเป็นฐานที่มั่นของเจ้าคนนอกรีตและเขาก็ได้ค้นพบวิธีการทำงานของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว และก็อยากจะทำให้ความศรัทธาในดวงจันทร์ของเราสั่นคลอนค่ะ…”

“เข้าใจแล้ว จับตามองเขาต่อไปนะ ร้านหนังสือนี้มิได้เรียบง่ายอย่างที่มันดูจะเป็น และเราควรวางแผนในระยะยาวไว้ อย่าลืมล่ะ การระแวดระวังนั้นสำคัญสูงสุด”

“ทราบแล้วค่ะ”

วาเนสซ่าโค้งตัวอย่างนอบน้อม หลังจากภาพในกระจกวารีหายไป เธอก็ได้รับรายงานจากบริวารคนหนึ่งว่าการลอบสังหารของไฮมานล้มเหลว และวินเซนต์ดูจะมีความสามารถลับบางอย่างซ่อนอยู่

ทว่าเธอไม่ได้สนใจเพลิงไหม้และการระเบิดมากนัก ในความเห็นของเธอ การที่บาทหลวงระดับผิดปกติจะฆ่าไฮมานได้นั้นเป็นขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

วาเนสซ่านั่งบนที่นั่งของเธอในห้องสารภาพบาป วางคางของเธอลงบนมือ รอข่าวจากพวกนักเทศน์

ครืน!!!

ทันใดนั้นสิ่งก่อสร้างทั้งหลังเริ่มสั่นไหว วาเนสซ่าก็ยืนขึ้นอย่างตกใจ เธอสัมผัสคลื่นพลังในระดับภัยพิบัติได้ แสงสีแดงเจิดจ้ากวาดผ่านหน้าต่างทุกบานของวิหารที่แตกออกทีละบาน ก่อนที่อำนาจมหาศาลหนึ่งจะทำให้กำแพงและเสาค้ำวิหารพังทลายลงพร้อม ๆ กับที่แสงสว่างและเปลวเพลิงจะบดบังทัศนียภาพของเธอ

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?!”

ใบหน้าของวาเนสซ่าดำทะมึน เธอเรียกใช้พลังของตัวเองเพื่อสงบอีเธอร์รอบ ๆ ลงทันที แต่อีเธอร์ที่พลุ่งพล่านนั้นอาละวาดหนักราวกับม้าที่ไร้คนขี่ ยิ่งกว่านั้น จำนวนของมันยังมหาศาลเสียจนวาเนสซ่าทำได้เพียงสร้างพื้นที่นิ่งสนิทรอบตัวเธอเพื่อต้านรับอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวนั่น

เธอกัดฟันยืนหยัด ทว่าลำแสงระลอกที่สองกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ ที่ก่อขึ้นอย่างรีบร้อนถูกกระแสเพลิงร้อน ๆ ที่โอบล้อมวาเนสซ่าอยู่ทลายเข้ามา ทำให้เธอหมดสติไป

แล้วการสั่นสะเทือนโครมครามสะท้านพิภพก็ตามมาหลังจากนั้น

ครืน…ตู้ม!!

วิหารแห่งสังฆมณฑลที่ 7 ราบเป็นหน้ากลอง!