บทที่ 144 สถานะสูงส่งกว่าคนอื่น

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 144 สถานะสูงส่งกว่าคนอื่น
บทที่ 144 สถานะสูงส่งกว่าคนอื่น

ซูเสี่ยวเถียนนั่งใต้ต้นพุทราในสวนเงียบ ๆ กำลังอ่านหนังสือและรออาหารเย็น ไม่รับรู้ถึงความคิดของคนที่อยู่ด้านนอก

คนที่มุงล้อมจำได้ว่าซูเสี่ยวฉินคือคนเดียวกับเมื่อวานที่มาทะเลาะกับคนบ้านหัวหน้าเฉิน

ตอนนั้นเธอพูดว่าอะไรนะ? เหมือนจะโทษพวกเขาว่าตอนช่วยทำไมถึงไม่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้

ดูเหมือนจะเป็นสันดานของเด็กคนนี้อยู่แล้ว

บางคนอดส่ายหัวและถอดถอนใจไม่ได้ เด็กคนนี้โอหังเกินไป ทำไมถึงคิดว่าทุกคนควรเอาใจเธอล่ะ

ซูเสี่ยวฉินได้ยินเสียงพูดคุยรอบ ๆ ก่อนจะจ้องมองไปอย่างดุร้าย

“พวกแกจะไปรู้อะไรล่ะ? พวกแกไม่รู้อะไรเลยต่างหาก แล้วจะมาโทษฉันทำไม? ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ดีแล้วมันผิดหรือไง มีอะไรที่ผิดหรือ?”

ที่สนาม คุณย่าซูอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคนี้

“คุณย่าไม่คิดว่าที่เธอพูดแบบนี้มันมีเหตุผลหรือคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามด้วยรอยยิ้ม

“จะเป็นไปได้อย่างไร? ใคร ๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดี คิดแบบนี้มันไม่ผิดหรอก แต่ว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องขยัน จะมาหวังให้คนอื่นเขาดูแลไม่ได้”

“คุณย่า เธอก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว กลายเป็นสันดานไปแล้ว เปลี่ยนไม่ได้หรอกค่ะ!” หลานสาวส่ายหัว

จะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ พี่สาวผู้เป็นญาติคนนี้ก็มีความคิดเช่นนี้เสมอ มันเข้าไปในกระดูกแล้วล่ะ

“สั่งสอนกันแบบผิด ๆ แล้ว!” คุณย่าซูถอนหายใจ

“บางทีลึก ๆ อาจเป็นคนแบบนั้นก็ได้นะคะ คงไม่ได้เกี่ยวกับการสั่งสอนอะไรเท่าไรหรอก!”

หลิวซิ่วอิงเป็นคนประเภทที่ว่า ทุกคนบนโลกต้องขอโทษฉัน ฉันไม่มีทางเสียเปรียบขอโทษคนอื่นหรอก นิสัยของเสี่ยวฉินจะเป็นแบบนี้ไปด้วยก็คงไม่แปลก

คงเป็นสายเลือดแล้วล่ะ

“เสี่ยวเถียน แล้วหลานมานั่งทำอะไรใต้ต้นพุทราน่ะ?” คุณย่าซูถามอย่างสงสัย

“หนูบอกต้นไม้ว่าปีนี้ต้องหวานกว่านี้นะ หนูไม่ชอบเปรี้ยว ๆ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง

ผู้เป็นย่าหัวเราะ พอดีกับตอนที่หม่านซิ่วออกมาพอดี จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกดูเด็กคนนี้สิ โง่จริง ๆ เลย ต้นพุทราจะไปฟังเข้าใจได้อย่างไรเล่า อีกอย่างพุทราจะหวานหรือไม่หวาน มันจะบอกได้อย่างไรล่ะ”

แต่ใครเล่าจะรู้ว่าอีกไม่กี่เดือนให้หลัง ซูหม่านซิ่วที่เก็บผลมันลงมาก็ต้องพบว่าพุทราปีนี้หวานและอร่อยกว่าปีที่แล้วเสียอีก มันทำเธอประหลาดใจจริง ๆ

เพราะวันนี้เป็นวันที่เจ้าเด็กตัวน้อยครบหนึ่งเดือนเต็ม จึงเป็นวันสำคัญ

คุณย่าซูยุ่งตั้งแต่เที่ยง และจัดงานฉลองแสนอร่อยเป็นพิเศษ

ตกบ่าย คุณปู่ซูพาลูกชายทั้งสามมาด้วยกัน แล้วบอกว่าจะมาดูหลานชายตัวน้อย

ในฐานะคนนอก จะมาหาเด็กจะมามือเปล่าไม่ได้ ต้องเอาของขวัญมาด้วย

ในฐานะปู่แล้ว เขาหยิบเงินออกมาห้าหยวน ส่วนลูกชายอีกสามคนหยิบออกมาคนละสองหยวน

ซูหม่านซิ่วปฏิเสธที่จะรับมัน

“ซิ่วเอ๋อร์ เงินนี่ไม่ได้ให้ลูกนะ ให้เด็กน้อยต่างหากเล่า” คุณปู่ซูพูดอย่างจริงจัง “พ่อรู้ว่าลูกกังวลชีวิตของบ้านเรา วางใจเถอะ ตอนนี้เรามีชีวิตที่ดีแล้ว”

“พ่อ ให้แค่เหมาสองเหมาก็พอแล้ว แต่นี่ให้มาตั้งเยอะเลย!”

ซูหม่านซิ่วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตลอดทั้งปี ทั้งบ้านเก็บเงินได้ไม่ค่อยเยอะ ตอนที่เธอกับเฉินจื่ออันแต่งงานกันก็หยิบออกมาใช้แล้วก้อนหนึ่ง

“เหมาสองเหมาจะเป็นไปได้อย่างไร? น้องใหญ่ไม่ต้องห่วง วางใจเถอะ ที่พวกพี่เอามาก็คือส่วนที่จะเอามาให้จริง ๆ ไม่ได้ตบหน้าตัวเองจนบวมให้เห็นว่าเป็นคนอ้วนเสียหน่อย*[1]!” ซูเหล่าต้าอธิบาย

“ส่วนนี้เป็นเสื้อผ้าที่พวกพี่สะใภ้ทำให้เด็กน้อย” ซูเหล่าซานหยิบห่อเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือน้องสาว

“ทำไมยังทำเสื้อผ้ามาให้อีกล่ะคะ? เด็กคนนี้มีเสื้อผ้าที่เสี่ยวเถียนเคยใส่ตอนเด็กก็พอแล้ว ไม่ต้องทำใหม่หรอก” ซูหม่านซิ่วกล่าวโทษ

เธอคลอดเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังให้คนที่บ้านมาใช้จ่ายให้อีก เสียใจจริง ๆ!

“ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่กับพวกพี่ชายพี่สะใภ้ด้วยนะครับ” เฉินจื่ออันพูดอย่างเปิดเผย

ของพวกนี้มาจากใจทั้งนั้น ถ้าไม่รับไว้ก็ทำร้ายจิตใจกันจริง ๆ จากหลังจากนี้รอพวกเด็ก ๆ แต่งงานเมื่อไร ค่อยช่วยคืนก็พอแล้ว

เพราะมีคนมากันหลายคน คุณย่าซูจึงทำอาหารเพิ่ม

ระหว่างกินข้าว บทสนาทนาที่ครอบครัวคุยกันทำให้ซูเสี่ยวเถียนได้รู้ว่า แม่ใหญ่หวังเซียงฮวาทำงานในฟาร์มไก่ ตอนนี้กลายเป็นคนงานแล้ว

“จริงหรือเนี่ยที่แม่ใหญ่เป็นคนงานแล้ว แล้วคนงานของหมู่บ้านเราจะได้เงินเดือนไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยความสนใจ

“ได้อยู่แล้ว หัวหน้าซูบอกว่าฟาร์มไก่ยกให้แม่ใหญ่จัดการ ได้ห้าหยวนต่อเดือนเลย รวมถึงได้คะแนนการทำงานด้วย” ซูเหล่าต้าพูดอย่างร่าเริง

ผู้หญิงเหมือนปืนใหญ่ในครอบครัวของเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้

“ตอนนี้ ฟาร์มไก่มีคนงานกี่คนคะ” เด็กหญิงถามด้วยความสงสัย

“มีไก่แค่สองร้อยตัวก็เลยมีคนจัดการแค่สองคน คนหนึ่งคือแม่ใหญ่ อีกคนคือพี่เสี่ยวเหมยบ้านป้าซูเถาฮวาไง” ซูเหล่าเอ้อร์พูดกับหลานสาวด้วยความเอ็นดู

“พอเรากลับไปก็จะจ้างคนงานเพิ่มได้อีกค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มจนตาเกือบปิด

“หมายความว่าอย่างไรหรือ?” ซูเหล่าเอ้อร์เอ่ยถาม

“วันนี้ผมกับเสี่ยวเถียนไปหาผู้อำนวยการหลี่ที่โรงงานขนมไข่มาครับ เขาตกลงว่าจะช่วยชุมชนเราหาลูกไก่มาให้สักพันตัว พอถึงตอนนั้นเราก็จะเลี้ยงไก่ได้เพิ่ม ต้องจ้างคนงานเพิ่มใช่ไหมครับ?” เฉินจื่ออันจิบสุรา แล้วยิ้มตอบ

สาวน้อยคนนี้มีความสามารถจริง ๆ พูดไม่กี่ประโยคก็ได้ลูกไก่มาตั้งพันตัวแล้ว

“รออีกสองวันผมจะหาทางเอาลูกไก่กลับไปให้นะครับ ฟาร์มไก่ของหงซินจะใหญ่ขึ้นแน่นอน!”

คุณปู่ซูไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย จึงดีใจมาก

“ที่เธอพูดเป็นความจริงหรือจื่ออัน?”

เฉินจื่ออันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เรื่องจริงครับพ่อ ไม่ต้องกังวลไปนะ ถึงลูกเขยพ่อจะไม่มีความสามารถอื่น แต่เรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ครับ”

ถ้าเรื่องลูกไก่ยังทำให้ไม่ได้ แล้วจะเทียบกับเสี่ยวเถียนเด็กคนนี้ได้อย่างไรล่ะ?

“จื่ออัน ที่ผู้อำนวยการหลี่คนนั้นพูดกับเสี่ยวเถียนจริงหรือ? ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม” ซูเหล่าซานถามอย่างไม่เชื่อ

จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าผู้จัดการโรงงานของอำเภอคนหนึ่งปรึกษาเรื่องสำคัญแบบนี้กับเด็กหญิงตัวน้อยล่ะ

แล้วถ้ามีลูกไก่จริง ๆ ก็ควรจะปรึกษากับกับหัวหน้าชุมชนหรือเปล่า?

เป็นไปได้ไหมที่น้องเขยจะช่วย?

พอนึกถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็รีบพูดทันที “น้องเขย ฉันรู้ว่านายเอ็นดูเสี่ยวเถียน แต่จะให้เสี่ยวเถียนจัดการไม่ได้นะ ถ้าชื่อเสียงถูกทำลายเพราะเด็กคนนี้จะแย่เอา!”

ได้ยินพี่ชายภรรยาพูดแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจมาก คนบ้านซูเป็นคนซื่อสัตย์ และไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เลย

“ผมพาเสี่ยวเถียนไปเดินเล่น แล้วเธอก็คุยกับผู้อำนวจการหลี่ครับ”

“เสี่ยวเถียน หนูไปสัญญาอะไรไว้?” ซูเหล่าต้าว่า

ถ้าไม่สัญญาก็คงทำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก

“จากนี้ไปเราต้องส่งไข่ให้โรงงานขนมไข่ทุกเดือนค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนกัดหมูก้อนรสเปรี้ยวเผ็ด หรี่ตาด้วยความพออกพอใจ รสชาติดีจริง ๆ!

ซูเหล่าต้าตะลึงอีกครั้ง แม้กระทั่งร้านขายก็หาไว้แล้วหรือ?

“เสี่ยวเถียน เรื่องนี้ควรให้หัวหน้าซูเขามาคุยนะ”

“ลุงหัวหน้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้วค่ะ รอหนูกลับไป ค่อยไปพูดกับลุงเขานะคะ”

ซูเสี่ยวเถียนพึมพำขณะกินข้าว เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้คิดสักนิดว่าหัวหน้าชุมชนจะไม่เห็นด้วย

พอบ้านซูได้ยินที่เด็กหญิงพูดก็ไม่ถามอีก อย่างไรเสียเสี่ยวเถียนก็ทำในสิ่งที่พูดได้ทั้งนั้น

ทุกคนเพิ่งทานอาหารเย็นกันเสร็จ ฟ้ายังไม่มืดดีจึงมีคนมาเคาะประตูบ้าน

คุณย่าซูเปิดประตูก่อน จะพบกับชายหญิงคู่หนึ่งพร้อมทั้งเด็กชายอีกคน

“พวกคุณมาหาใครหรือ?” คุณย่าซูถามหลังจากที่เปิดดูอย่างระมัดระวัง และแน่ใจว่าไม่ใช่คนที่เคยเห็นมาก่อน

“คุณเป็นแม่เฒ่าของบ้านหัวหน้าเฉินใช่ไหมครับ? ผมคือผู้อำนวยการหลี่ของโรงงานขนมไข่ นี่คือภรรยากับลูกชายของผมครับ”

หลี่ฉางชิ่งพูดกับคุณย่าซูด้วยความสุภาพ

แต่ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีท่าทีหยิ่งยโสราวกับว่ากำลังดูถูกคุณย่าซูอยู่

“พวกคุณมาหาจื่ออันหรือ? เข้ามาสิ ๆ จื่ออันเอ้ย มีคนมาหาเธอน่ะ!”

พอเฉินจื่ออันออกไปก็รู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นสมาชิกทั้งสามยืนอยู่ในสวน

หลี่ฉางชิ่งพูดเองนี่ว่าจะมาพรุ่งนี้ ทำไมถึงมาเร็วนักล่ะ?

“หัวหน้าเฉิน ได้ยินมาว่าวันนี้ลูกของท่านครบเดือน เลยถือโอกาสพาภรรยาและลูกชายมาแสดงความยินดี ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดไปเลยครับ”

เฉินจื่ออันเหลือบมองหลี่ฉางชิ่ง จากนั้นก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง

ที่ให้ลูกชายมาในวันนี้ ชัดเลยมาว่าสานสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยวเถียน

“ไม่รบกวนหรอก เข้ามาสิ” น้ำเสียงของเฉินจื่ออันที่มีต่อคนนอกนั้นเย็นชาอยู่เสมอ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเลย

หลี่ฉางชิ่งไม่มีความคิดเห็นเลย เฉินจื่ออันเป็นใครกัน? การที่พาครอบครัวมาได้เนี่ยมันไม่ง่ายเลย ต่อให้หน้าตาอีกฝ่ายดูไม่แยแสก็ไม่สำคัญหรอก

แต่สีหน้าผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างเย็นยิ่งกว่า ไม่มีความสุขสักนิด

เขารีบดึงเด็กชายมาไว้ข้าง ๆ “หัวหน้าเฉิน เด็กดื้อคนนี้คือลูกชายคนเล็กของผมเอง ชื่อหลี่เหว่ยเจ๋อ เขาซนมาก คิดว่าอายุไล่เลี่ยกับเสี่ยวเถียนของท่าน บางทีอาจเล่นด้วยกันได้เลยพามาครับ”

นี่คือจุดประสงค์ของการมาเยือนของหลี่ฉางชิ่งในวันนี้

ซูเสี่ยวเถียนคนนี้เหมาะกับลูกชายเขามาก ทั้งฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังเป็นเด็กที่เฉินจื่ออันชอบและเอ็นดูด้วย คงจะดีถ้าผูกมิตรได้

แต่เห็นชัดว่าภรรยาไม่คิดเช่นนั้น พอได้ยินที่สามีพูด สีหน้าก็ยิ่งแย่ลงไปอีก

หลี่เหว่ยเจ๋อมองซูเสี่ยวเถียนอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะพูดขึ้น “เธอเป็นเด็กผู้หญิง ไม่คู่ควรมาเล่นกับฉัน!”

เพราะแม่บอกว่า เขาเป็นลูกชายของผู้อำนวยการโรงงาน สถานะสูงส่งกว่าคนอื่น

“ไอ้เด็กคนนี้ พูดอะไรเนี่ย?” หลี่ฉางชิงไม่คิดว่าลูกชายจะดื้อรั้นไม่ฟังคำ เลยตีทันที

แต่เพราะรักลูกคนเล็กมาก เลยตบไม่ได้แรง แค่เบา ๆ เท่านั้น

แต่ภรรยาไม่ให้อภัย

“ดีจริง ๆ คุณตีเด็กมันทำไม? เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเล่นด้วยกันไม่ได้!”

ตอนที่พูดก็มองเสี่ยวเถียนด้วยสายตาเหยียดหยาม

ว่ากันว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นหลานสาวของครอบครัวที่เกิดในตระกูลภรรยาของเฉินจื่ออัน และมาจากชนบท

เด็กผู้หญิงที่มีภูมิหลังแบบนี้จะสมควรเล่นกับลูก ๆ ของเธอได้อย่างไร?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่ฉางชิ่งคนไร้ประโยชน์ที่คิดจะให้เด็กสองคนพัฒนาความสัมพันธ์ เธอไม่ต้องการลูกสะใภ้ที่ต่ำต้อยเช่นนี้

แน่นอนว่าซูเสี่ยวเถียนเห็นความไม่ชอบใจและความดูถูกที่ไม่คิดปิดบังบนใบหน้าภรรยาของหลี่ฉางชิ่ง

เธออดกลอกตาไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ไร้สมองจริง ๆ

ไม่แปลกใจเลยที่เด็กที่ชื่อหลี่เหว่ยเจ๋อ เหมือนจะมีแม่เป็นคนสั่งสอน!

*[1] ใช้เปรียบเทียบคนที่ไม่มีความสามารถเงินทอง แต่แสร้งทำเป็นว่ามี