เฉินลั่วมององค์ชายใหญ่อย่างประหลาดใจ
องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ หว่างคิ้วผูกเป็นปมแน่นจนกลายเป็นร่องลึกสามเส้น กล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ หรอกกระมังว่าข้าโง่เขลามาก? เมื่อก่อนที่ข้าไม่สุงสิงกับพวกเจ้า นั่นเป็นเพราะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้ ข้าคิดว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่ที่ข้าแยกตัวออกมาจากคนอื่น แล้วจะชื่นชมข้าบ้าง แต่ผู้ใดจะรู้ว่า อำนาจของสวรรค์นั้นยากจะหยั่งถึง ข้าคำนวณไปคำนวณมา คิดไม่ถึงว่าความจริงแล้วข้าไม่อยู่ในสายพระเนตรของเสด็จพ่อเลย…
…อาลั่ว ความรู้สึกเช่นนี้ คงไม่มีใครเข้าใจได้กระจ่างเท่าเจ้าแล้วกระมัง”
แน่นอนว่าเฉินลั่วเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง แต่เขาไม่อยากยอมรับ ‘ความกระจ่าง’ นี้ต่อหน้าคนนอก ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับองค์ชายใหญ่ยังไม่ถึงขั้นมานั่งปรับทุกข์กันได้ เขาย่อมไม่มีทางยอมรับต่อหน้าเขา เฉินลั่วยิ้มบางๆ ไม่ตอบคำถามขององค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่กลับถือว่าเขายอมรับแล้วโดยปริยาย ค่อนข้างยากเย็นแต่ยังคงกล่าวต่อไปว่า “อาลั่ว เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
เฉินลั่วไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงความเป็นบุตรภรรยาเอกนี้ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าคิดว่าดียิ่ง ระหว่างพี่น้องมีเรื่องอะไรก็ควรเปิดอกคุยกัน ย่อมดีกว่าคาดเดากันไปมา บางครั้ง บางเรื่องก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้น” แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เพียงแต่ว่าการให้ข้าเป็นคนกลางคงไม่ค่อยดีนัก มิสู้เชิญใต้เท้าเซี่ยหรือไม่ก็ใต้เท้าอวี๋เป็นคนกลางให้ดีกว่า ขุนนางเก่าแก่ทั้งสองท่านเคยให้คำชี้แนะเรื่องการเรียนแก่พวกเจ้า และพวกเขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน ย่อมดีกว่าให้ข้าช่วยออกหน้าให้”
องค์ชายใหญ่กลับไม่อยากให้เรื่องในบ้านของตัวเองกลายเป็นเรื่องของราชสำนัก ที่เขาไปพบองค์ชายรองก็เพราะอยากไปหยั่งเชิงดูขีดจำกัดของกันและกันด้วย ได้ยินเช่นนั้นอดกล่าวไม่ได้ว่า “มีบางเรื่องที่ข้าไม่รู้ว่าควรบอกเจ้าหรือไม่…”
เฉินลั่วได้ยินแล้วรีบกล่าวตัดบทคำพูดขององค์ชายใหญ่ยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อรู้สึกลังเล เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอกข้าดีกว่า สุดท้ายแล้วข้าก็ทำได้แค่รับฟังเท่านั้น ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาให้เจ้าได้”
องค์ชายใหญ่ถึงได้ค้นพบว่าญาติผู้น้องคนนี้ไม่ได้หัวแข็งอย่างที่คนข้างนอกเล่าลือกันแม้แต่ครึ่งเดียว ตรงกันข้ามเป็นคนไหลลื่น โยนปัญหามาให้ทันทีทันใด ทำให้เจ้าอยากหลบก็หลบไม่พ้น
หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ เขาควรคบหากับเฉินลั่วให้มากกว่านี้
องค์ชายรองมีสหายสนิทเช่นนี้ เขาอิจฉามากจริงๆ
องค์ชายใหญ่กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าระแวดระวังตัวมากขนาดนี้ กลัวอะไรอยู่หรือ พวกข้าพี่น้องไม่ว่าผู้ใดได้เป็นฮ่องเต้ ก็ไม่อาจปฏิบัติกับเจ้าอย่างอยุติธรรม เจ้าไม่จำเป็นต้องระวังตัวขนาดนี้ก็ได้กระมัง”
คำพูดของเขามีการล้อเลียนปนอยู่ เผยให้เห็นความเป็นกันเองและมีอารมณ์ขัน
เฉินลั่วคิดไม่ถึงว่าองค์ชายใหญ่จะมีจิตใจเช่นนี้ ถูกฮ่องเต้ผลักไปอยู่ปากเหวแล้วแต่ยังเอาตัวเองมาล้อเล่นได้อยู่ ชั่วขณะนั้นท่าทีของเขาพลันอ่อนโยนลงมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่ามันน่ารำคาญ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมตัดสินพระทัยเสียที ทำเอาพวกเราพี่น้องที่รักใคร่กันต้องเหินห่างกันไป”
องค์ชายใหญ่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
จริงด้วย คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คือฮ่องเต้
หากเขาแต่งตั้งไท่จื่อเสียตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเขาก็คงไม่คิดอะไรไปเองเช่นนี้
ทั้งสองยืนอยู่ข้างๆ ต้นสนรับแขก ไม่รู้จะพูดอะไรกันดี
ทันใดนั้นมีเสียงอาวุธต่อสู้กันเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก
องค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วหันมองไปตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน หัวคิ้วขมวดมุ่น
องครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวรายงานว่า “องค์ชายใหญ่ มีใครไม่รู้นอกจากจะล้อมวัดหลิงกวงเอาไว้แล้ว ยังบุกเข้ามาในวัด เห็นใครก็ฆ่าทิ้งหมด กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้านนอกวุ่นวายจนยากจะต้านแล้ว องค์ชายใหญ่ กระหม่อมจะคุ้มครองท่านเร่งหนีออกไปกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เป็นไปไม่ได้!” องค์ชายใหญ่ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
ทุกวันนี้แม่น้ำใสทะเลสงบ บ้านเมืองรุ่งเรืองตลอดจนถึงเจียงหนาน แม้แต่กองโจรบุกโจมตียังไม่มี จิงเฉิงเป็นเมืองหลวงที่สำคัญที่สุด ฮ่องเต้มีกองพลส่วนพระองค์สิบสองกองพล หน่วยรักษาความสงบของเมืองหลวงทั้งห้ามีทหารห้าหมื่นนาย ยังมีค่ายเทียนจิน ค่ายชังผิง ค่ายฝางซานและค่ายเป่าติ้งอีก นอกเสียจากว่าจะมีคนไม่ต้องการรักษาตระกูลเก้าชั่วโคตรแล้วต้องการก่อกบฏ ไม่อย่างนั้นกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าล้อมวัดหลิงกวงสังหารผู้คนกัน?
องค์ชายใหญ่ส่งสายตาคมเฉียบมาที่เฉินลั่ว ถามเสียงเคร่งว่า “เจ้าบอกองค์ชายรองว่าข้าอยู่ที่วัดหลิงกวง?”
“ข้าเปล่า!” เฉินลั่วเองก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เขาส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าตัดสินใจออกมาพบเจ้าอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้มิได้คิดอะไรมาก จึงนำผู้ติดตามมาด้วยเพียงสองสามคนเท่านั้น”
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ณ ชานเมืองของจิงเฉิงได้
เขาตะโกนเรียก “เฉินอวี้” ถามเขาว่า “ประชาชนเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
เห็นได้ชัดว่าเฉินอวี้เองก็ตกใจกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก สีหน้าดูงุนงงเล็กน้อย กล่าวว่า “พระในวัดกำลังพาเหล่าผู้มาสักการะไปหลบภัยที่ลานฝั่งตะวันตก พระที่เป็นวรยุทธ์ของวัดหลิงกวงต่างผลัดเปลี่ยนอาภรณ์กันเรียบร้อยแล้ว กึ่งหนึ่งคุ้มกันลานฝั่งตะวันตก อีกกึ่งหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ”
หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายใหญ่ในวัดของพวกเขา พวกเขาก็สลัดความรับผิดชอบไปไม่พ้น
ยังมีเฉินลั่ว หลานชายของฮ่องเต้ด้วยอีกผู้หนึ่ง
เพียงพอให้วัดหลิงกวงถูกขจัดให้สิ้นซากได้
เฉินลั่วรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าใช่ฝีมือขององค์ชายรอง
นอกเสียจากว่าเขาคิดจะก่อกบฏ แต่นั่นก็ควรจะจัดการกับฮ่องเต้ก่อนมิใช่องค์ชายใหญ่
เขาถามเฉินอวี้ “คนของพวกเราเล่า?”
เฉินอวี้ตอบ “กำลังมาขอรับ”
เฉินลั่วพาคนมาด้วยเพียงไม่กี่คนจริงๆ ทว่าแต่ละคนล้วนฝีมือดีทั้งสิ้น เสียงพูดของเฉินอวี้เพิ่งสิ้นสุดลง พวกเขาก็วิ่งตรงมาหาเฉินลั่วแล้ว
องค์ชายใหญ่มองเฉินลั่วครั้งหนึ่ง กล่าวกับคนข้างกายว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
ไม่มีความคิดจะชวนเฉินลั่วร่วมทางไปด้วย
เฉินลั่วเองก็รู้สึกว่าการร่วมทางไปกับองค์ชายใหญ่อันตรายเกินไป
เฉินอิงคือ ‘ศัตรู’ เพียงหนึ่งเดียวของเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเฉินอิงหรือเจิ้นกั๋วกง ล้วนไม่อาจกระทำการสังหารหมู่เช่นนี้ได้ เป้าหมายการสังหารหมู่ครั้งนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนพุ่งเป้าไปที่องค์ชายใหญ่ แยกกันไปคนละทางกับองค์ชายใหญ่ ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องถูกสังหารได้มากกว่า
ทั้งสองคนไม่กล่าวสิ่งใด คนหนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก อีกผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ต่างคนต่างพาคนของตัวเองจากไป
แต่ที่ทำให้เฉินลั่วประหลาดใจก็คือ เขาเองก็ถูกไล่ล่าด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นการไล่ล่าที่มุ่งเอาชีวิตอีกด้วย
เห็นคนข้างกายที่พยายามปกป้องเขาล้มไปทีละคนๆ เฉินลั่วถึงได้สัมผัสถึงความเลวร้ายของสถานการณ์
เขาฉวยโอกาสตอนที่สลัดมือสังหารไปหลบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งได้ชั่วคราวถามเฉินอวี้ว่า “รู้หรือไม่ว่าองค์ชายใหญ่หนีไปได้หรือยัง”
เฉินอวี้มีกล้องส่องทางไกลอยู่ตัวหนึ่ง เขาวิ่งออกไปแล้วก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “องค์ชายใหญ่ยังไม่ได้ออกจากวัดหลิงกวง เขาถูกบีบให้ย้อนกลับไปที่วิหารเทพเจ้าเหอขอรับ”
วิหารขนาดใหญ่หลังหนึ่งท้ายวัดหลิงกวงประดิษฐานเทพเจ้าเหอเหอเอาไว้ จึงถูกขนานนามว่าวิหารเทพเจ้าเหอ
เฉินลั่วสัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ร้ายแรง
องค์ชายใหญ่กับเขาไม่เหมือนกัน เขามักจะออกเดินทางไปที่นั่นที่นี่อยู่เสมอ เวลาไปไหนอย่างมากสุดก็พาองครักษ์ไปด้วยเพียงเจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น แต่องค์ชายใหญ่ออกเดินทางต้องมีขบวนขององค์ชายตามเสด็จ และเขาก็ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดเพราะอยากให้ฮ่องเต้ประทับใจในตัวเขา รวมถึงกลัวถูกฝ่ายร้องเรียนนำไปฟ้องร้องด้วย ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นการท่องเที่ยวอย่างไม่เป็นทางการ ข้างกายก็มีองครักษ์ของราชวงศ์ติดตามอยู่ถึงร้อยกว่าคน
เขาออกจากวัดหลิงกวงไม่ได้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่องค์ชายใหญ่ก็ออกจากวัดหลิงกวงไม่ได้ด้วย สถานการณ์จึงดูน่าพิศวงเล็กน้อย
เฉินลั่วถามเฉินอวี้ “พวกเราถูกล้อมมานานเท่าไรแล้ว”
เฉินอวี้หยิบนาฬิกาออกจากอกมาดู ตอบว่า “เกือบครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
ครึ่งชั่วยาม หากรายงานกรมกลาโหมแต่เนิ่นๆ ฮ่องเต้ก็น่าจะทราบเรื่องแล้ว แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากจิงเฉิงเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉินลั่วรู้สึกเหน็บหนาว นึกถึงถ้อยคำที่หวังซีเคยพูดขึ้นมา
มีแต่ไล่จับโจรหนึ่งพันวัน ไม่มีเฝ้าระวังโจรหนึ่งพันวัน!
หรือโจรจะปรากฏตัวออกมาแล้ว?
เช่นนั้นเป้าหมายของเขาคืออะไร
สังหารองค์ชายใหญ่แล้วป้ายความผิดให้องค์ชายรอง?
เหตุใดถึงไม่ลงมือตอนองค์ชายใหญ่กลับออกจากวัดหลิงกวงหรือไม่ก็ตอนเดินทางมาวัดหลิงกวง? ที่เหลือตัวเขาไว้เป็นพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์เพราะคิดว่าเขาต้องเป็นพยานให้มือสังหารอย่างนั้นหรือ?
หรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีพยานอย่างเขา?
ในสถานการณ์อะไรที่คนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีพยานอย่างเขา?
แน่นอนว่าคือคนตาย!
คนตายแล้ว ถึงจะปลอดภัยที่สุด
เหงื่อเย็นตรงขมับของเฉินลั่วไหลลงมาตามแก้มตลอดจนถึงคางและหยดลงบนคอเสื้อในที่สุด
เขาพลันรู้สึกว่ามือที่ถือกระบี่เอาไว้หนักเป็นพันชั่ง อยากยกก็ยกไม่ขึ้น ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหินในถ้ำอย่างหมดอาลัยตายอยาก
เฉินอวี้ได้ยินเสียงไล่ล่าพวกเขาดังเข้ามาจากด้านนอก ทว่าเมื่อเห็นคนที่แต่เดิมแหลมคมดุจกระบี่และดุดันเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างเฉินลั่วจู่ๆ ก็เหมือนถ่านที่ถูกน้ำสาดจนมอด ไร้ซึ่งชีวิตชีวาแล้ว เขารู้สึกร้อนใจยิ่งนัก กระซิบกล่าวว่า “คุณชายรอง ท่านเป็นอะไรไปขอรับ พวกเราไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นอุบายของผู้ใด หากพวกเรารั้งอยู่ที่นี่ต่อแล้วถูกใส่ร้ายว่าเป็นมือลอบสังหารองค์ชายใหญ่ล่ะก็เป็นเรื่องแน่ขอรับ!”
ต่อให้ต้องตาย ก็ไม่อาจทิ้งร่างเอาไว้ที่นี่
เฉินลั่วกลับนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พึมพำกล่าวว่า “หากเจ้าอยากไป ก็ไปก่อนเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้า พวกเจ้าพ่อลูกติดตามข้ามาระยะหนึ่งแล้ว” หากเขาตาย คาดว่าต่อให้เฉินอวี้สองพ่อลูกอยากมีชีวิตอย่างปกติสุขก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพวกเขายอมปกปิดตัวตนก็ใช่ว่าจะไม่มีทางรอดซะทีเดียว “ออกไปแล้วให้ไปหาหลิวจ้ง! ข้าทิ้งทางหนีเอาไว้ที่เขาหลายทาง ด้วยความสามารถของเขา ต้องพาพวกเจ้าออกจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยแน่”
ขอเพียงพวกเจ้าไม่ทำตัวโดดเด่นรนหาที่ตายเอง ก็น่าจะมีชีวิตอย่างสงบสุขไปจนแก่เฒ่าได้
เฉินอวี้ร้อนใจเหลือจะกล่าว ไหนเลยจะมีกะใจมาทำความเข้าใจความนึกคิดของเฉินลั่ว ได้ยินแล้วได้แต่กระวนกระวายใจ ก้าวออกไปดึงเฉินลั่วเอาไว้ กล่าวว่า “คุณชายรอง ท่านได้รับบาดเจ็ดตรงไหนหรือไม่ ข้าจะแบกท่านออกไปเองขอรับ! องค์ชายใหญ่ต้องเป็นเป้าหมายของพวกเขาอย่างแน่นอน พวกเราฉวยโอกาสนี้หนีออกไปกำลังดี”
เพียงแต่ว่าเขายังพูดไม่จบประโยค เบื้องหน้าก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา
โชคดีที่เฉินอวี้ทำสายผูกซองใส่กล้องส่องทางไกลแล้วสะพายไว้ด้านหลังอย่างที่หวังซีทำ และแขวนกล้องส่องทางไกลไว้ตรงหน้าอกอย่างที่สาวใช้ข้างกายของหวังซีทำ ทำให้ลูกธนูดอกนั้นยิงโดนกล้องส่องทางไกลแทน จนกระจกกล้องส่องทางไกลแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ตัวเขาเองก็ถูกแรงยิงนั้นกระแทกจนซวนเซไปข้างหลังสองสามก้าว ทว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
อย่างไรเสียเฉินอวี้ก็เป็นเพียงข้ารับใช้คนสนิทของเฉินลั่วเท่านั้น นี่นับเป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับความตายอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
สองขาของเขาอ่อนยวบ ทรุดตัวคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษในชุดจิ้นจวงสีดำปิดหน้าปิดตาง้างคันธนูที่ใส่ลูกธนูเรียบร้อยแล้ว กำลังจะยิงลูกธนูดอกที่สองใส่เขา
“แม่เจ้า!” เฉินอวี้ร้อง กำลังจะไปดึงเฉินลั่ว ทว่ามือกลับอ่อนปวกเปียก ไร้พละกำลัง
เขาคิดว่าตนคงหนีความตายไม่พ้นแล้ว ใจเต้นไม่เป็นส่ำ หัวสมองขาวโพลน ทำได้แค่เบิกตาจ้องบุรุษผู้นั้น และรอลูกศรดอกนั้นยิงเข้ามา
ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ บุรุษผู้นั้นก็กระตุกสองครั้ง แล้วล้มตึงลงไปบนพื้นทันที
ดวงตาเบิกกว้างจนคล้ายระฆังทองแดง มือยังจับคันธนูเอาไว้ไม่ปล่อยแต่ก็ตายไปทั้งอย่างนั้น
เฉินอวี้เบิกดวงตากว้าง
มีเสียงคึกคะนองของชายแปลกหน้าดังเข้ามาจากด้านนอก “ใช่คุณชายรองตระกูลเฉินหรือไม่? มีคนเชิญพวกข้ามาคุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้า เจ้ายังสบายดีหรือไม่ คนข้างกายองค์ชายใหญ่ฝีมือไม่เลวจริงๆ สกัดนักฆ่าเหล่านั้นเอาไว้ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ หาไม่รอพวกมันได้สติกลับมา พวกเราเองก็คงต้องจบเห่ไปด้วย! ข้าไม่อยากมีเงินแต่ไม่มีชีวิตใช้เงินหรอกนะ”
เฉินอวี้ถึงได้นึกถึงเรื่องที่คุณหนูหวังช่วยหาจอมยุทธ์มาให้พวกเขาขึ้นมา
นี่คงเป็นคนที่คุณหนูหวังเชิญมา
เขาซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอ เรี่ยวแรงของเขากลับมาอีกครั้ง เขาหมุนกายไปดึงเฉินลั่ว “คุณชายรอง พวกเรารีบไปกันเถอะขอรับ”
ผู้ใดจะคิดว่าเฉินลั่วกลับเหมือนลูกตุ้มเหล็ก เขาดึงติดๆ กันสองครั้งก็ดึงไม่ขึ้น
ตอนที่เขากำลังจะไปดึงเฉินลั่วอีกครั้งนั้น เฉินลั่วก็โพล่งออกมา กล่าวกับคนด้านนอกว่า “ความปรารถนาดีของจอมยุทธ์ท่านนี้ข้าซาบซึ้งยิ่งแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ! ที่นี่คือรังแห่งหายนะที่เต็มไปด้วยปัญหา ปัญหาของข้า ข้าจะแก้ไขมันเอง”
…………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป