บทที่ 192 ชื่อเสียงเลื่องลือ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 192 ชื่อเสียงเลื่องลือ

สงครามระหว่างเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรจนถึงปัจจุบันก็ดำเนินมากว่าครึ่งปีแล้ว

อาณาเขตกินพื้นที่ไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ พันธมิตรที่เข้าร่วมก็มากขึ้นเช่นกัน

ไม่เพียงแค่แนวหน้าสนามรบที่ยังรุกคืบและสังหารต่อ ในพื้นที่อื่นของทะเลต้องห้ามก็ถูกผลกระทบด้วยเช่นกัน

ในดินแดนต่างเผ่าที่เป็นพันธมิตรมากมายของทั้งสองฝ่าย ก็มีการวางหมากกลยุทธ์ของเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรอยู่ทั้งสิ้น มีการต่อสู้เป็นหย่อมๆ เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ

สงครามขนาดใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าดึงดูดความสนใจของเผ่าต่างๆ อีกมากมาย

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของรายชื่อประกาศจับ แม้จะเป็นเรื่องราวระหว่างเผ่าสิงซากสมุทรและเจ็ดเนตรโลหิต แต่กลับทำให้ระดับสูงเผ่าของอื่นจับตามอง

สายตาของชนเผ่าทั่วทั้งทะเลต้องห้ามกว่าครึ่งไปรวมอยู่บนกระดานรายชื่อนี้ไปช่วงหนึ่ง

เฉินเอ้อหนิวกับสวี่ชิงสองชื่อนี้ ก็ถูกผู้บำเพ็ญต่างเผ่า เผ่ามนุษย์ รวมไปถึงขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์อื่นๆ ล่วงรู้กันหมดแล้วในตอนนี้ กระฉ่อนไปทั่วสารทิศ

คำวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาทั้งสองคนก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ในนี้คนที่หวั่นไหวกับเงินรางวัลที่เผ่าสิงซากสมุทรตั้งไว้ก็มีอยู่มาก กระทั่งภายในเจ็ดเนตรโลหิตเองก็ยังมีผู้แข็งแกร่งเกิดความละโมบ ผลประโยชน์มันมากเกินไปจริงๆ

ถึงอย่างไรเงินรางวัลของเผ่าสิงซากสมุทรก็มองเพียงผลลัพธ์เท่านั้น ไม่สนว่าใครจะทำสำเร็จ ไม่ว่าผู้บำเพ็ญคนใด ต่อให้เป็นศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตก็ตาม ขอแค่ภารกิจสำเร็จ เผ่าสิงซากสมุทรก็จะมอบรางวัลให้

กระทั่งเผ่าสิงซากสมุทรจะทำการแปรสภาพโดยเฉพาะให้แก่ผู้ทำภารกิจสำเร็จหนึ่งครั้ง ทำให้เขากลายเป็นสมาชิกเผ่าตนเองก็ยังไม่ใช่ปัญหาใด

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร ก็สามารถย่างเข้าสู่ลำดับของราชาได้อีกด้วย

ตอนนั้นทรัพยากรของเผ่าสิงซากสมุทรก็จะเอนเอียง เรื่องนี้เพียงพอทำให้คนมากมายตาร้อน สิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวตอนแปรสภาพเป็นเผ่าสิงซากสมุทรเท่านั้น

ถึงอย่างไร การแปรสภาพนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จแน่นอน มีความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง

แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้รับ ทั้งหมดก็คุ้มค่า

เพราะลำดับแห่งราชาในโครงสร้างของเผ่าสิงซากสมุทร นั่นคือองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง ภายนอกเรียกกันว่าผู้สืบทอดมรรคา

และเหมี่ยวเฉินที่เกลียดสวี่ชิงเข้ากระดูกดำ ถูกสวี่ชิงทำลายใบหน้าไปครึ่งจนหูหายไปครึ่งหนึ่ง เขาก็เป็นลำดับราชาด้วย และเป็นลำดับราชาเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าสิงซากสมุทรในปัจจุบัน

ดังนั้นเงินรางวัลนี้ พูดได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

และมองความโกรธแค้นและเด็ดขาดกับเรื่องนี้ของเผ่าสิงซากสมุทรออก

เป้าหมายเงินรางวัลเช่นนี้ของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าจะทำให้พวกสวี่ชิงทั้งสองถ้าไม่ตายกันหมด ก็ต้องใช้ชีวิตในทะเลต้องห้ามนี้ในอนาคตได้ลำบาก ทำให้ทุกหนแห่งกลายเป็นศัตรู

โดยเฉพาะศัตรูส่วนใหญ่อำพรางเป้าหมายไว้ ยากที่จะแยกออก

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะต้องทำให้การฝึกบำเพ็ญของพวกสวี่ชิงทั้งสองคนหลังจากนี้เชื่อใจใครได้ยากแล้ว ต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ไม่สามารถสงบใจได้ตลอด

แต่เดิมทีสวี่ชิงก็มีนิสัยนี้อยู่…เขาในตอนนี้อยู่ในร่างอสูรสมุทรบรรพกาล มุ่งหน้าตรงไปที่เกาะเผ่าเงือก ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย

ป้ายฐานะที่สามารถรับรู้ข้อมูลโลกภายนอกเพียงสิ่งเดียว ก็ไม่มีประโยชน์ไปนานแล้วเนื่องจากออกห่างจากเกาะเงือก

นี่ทำให้สวี่ชิงสามารถจมอยู่กับการฟื้นฟูได้ดีขึ้น

จนผ่านไปอีกยี่สิบวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของสวี่ชิงก็หายดี

ตอนที่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ยังเลือกไม่ออกจากอสูรสมุทรบรรพกาล

เรือเวทของเขาพังไปแล้ว ดังนั้นการใช้อสูรสมุทรบรรพกาลเดินทางจึงเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ไม่ยุ่งยากไร้กังวลและประหยัดแรง

‘ไม่รู้ว่าภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง นายกองจะหนีออกมาได้หรือไม่ เผ่าสิงซากสมุทรหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป’

ตอนที่อยู่ห่างจากเกาะเงือกอีกเจ็ดแปดวัน สวี่ชิงมองเกาะเงือกที่อยู่ไกลๆ พึมพำกับตัวเอง

“ต่อไปจะบ้าระห่ำเช่นนี้ไม่ได้ ทำเอาตัวเองเจ็บไปทั้งตัวทุกครั้ง…ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง นายกองไม่ตาย แต่ข้าคงจะตายเสียเอง”

สวี่ชิงก้มหน้ามองร่างกายตนเอง ย้อนนึกถึงเส้นทางที่ตนเองเดินมา รู้สึกเศร้าใจ

คิดจะมีชีวิตต่อไปในโลกที่โหดร้ายนี้ ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ดีสักหน่อย มักต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตายถึงจะสามารถทำได้

ความคิดทั้งสองนี้ขัดแย้ง และอับจนหนทางด้วยเช่นกัน

“ข้ายังอ่อนแอเกินไป”

สวี่ชิงคิดถึงเหมี่ยวเฉินอัจฉริยะฟ้าประทานไฟชีวิตสี่ดวงเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น ก้นบึ้งจิตใจเขาเต็มไปด้วยความวิกฤต

นี่เป็นไฟชีวิตสี่ดวงที่แท้จริงคนแรกที่เขาพบ

แม้นายกองที่ถูกแก่นลมปราณไล่สังหารจะเผยกลิ่นอาย แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าพลังบำเพ็ญของนายกองทางนั้นเผยความแปลกประหลาดที่ไม่ค่อยชัดเจนนักออกมา

แต่เหมี่ยวเฉินนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นไฟชีวิตสี่ดวงอย่างแท้จริง!

คนประเภทนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าควรจะมีไม่มากนัก แต่เมื่อเขาคิดว่าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ใหญ่โตเสียขนาดนี้ มีเผ่าพันธุ์อยู่มากมาย การพบกับไฟชีวิตสี่ดวงจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดอะไรนัก

และสวี่ชิงก็รู้ดีที่ตนเองลงมือกับอีกฝ่ายก่อนหน้าแล้วได้เปรียบเพราะว่าลงมือก่อน

ประกอบกับเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระ และยังมีกายเนื้อที่เสริมพลังมาจากวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ท้ายที่สุดก็สะกดอีกฝ่ายได้ครู่หนึ่ง

แต่การพบกันครั้งหน้า หลังจากที่อีกฝ่ายมีการระมัดระวังและเตรียมตัวแล้ว หากตนเองคิดจะสะกดเขาต่อไป ความยากก็คงจะมากล้นเป็นเท่าทวี

แต่สวี่ชิงวิเคราะห์ ถ้าหากอีกฝ่ายคิดจะสยบเขาบ้าง ก็ยากมากเช่นเดียวกัน

“ไฟชีวิตสี่ดวง…”

ดวงตาสวี่ชิงเผยแววปรารถนา เขาตอนนี้ย่างเข้าสู่สร้างฐานขั้นกลางเต็มตัวแล้ว เมื่อรวมกับตะเกียงแห่งชีวิตที่สามารถสะกดไฟชีวิตสามดวง ประกอบกับการเสริมพลังของวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณก็สามารถต่อสู้กับไฟชีวิตสี่ดวงได้

พลังต่อสู้เช่นนี้ทำให้เขายืนอยู่จุดสูงสุดของสร้างฐาน กระทั่งสามารถหลบหนีจากเงื้อมือของแก่นลมปราณและบรรเทาอาการบาดเจ็บลงได้ สำหรับคนอื่นๆ ถือว่าแข็งแกร่งถึงขีดสุด

แต่สวี่ชิงยังคงไม่พอใจ

“ยังเหลืออีกยี่สิบห้าช่องเวท ข้าก็จะสามารถเปิดไฟชีวิตดวงที่สามได้แล้ว…ถึงตอนนั้น ในสร้างฐานระดับนี้ นอกจากจะพบกับผู้บำเพ็ญที่มีตะเกียงแห่งชีวิต ข้าก็สยบได้ทั้งหมด และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็น่าจะทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง

“ดังนั้นการจะเปิดช่องเวทตามลำดับขั้นตอน มันช้าเกินไปแล้ว”

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดและพึมพำเสียงต่ำ จู่ๆ เขาก็หวังให้นายกองรีบกลับมาเสียแล้ว

เพราะด้วยความบ้าระห่ำของนายกอง สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองเข้าร่วมเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับเผ่าสิงซากสมุทรให้มากหน่อย การจะก่อไฟชีวิตดวงที่สามคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก

“รอนายกองกลับมา ข้าจะไปถามเขาว่าช่วงนี้ไปลุยที่ใดได้บ้าง”

สวี่ชิงตัดสินใจจุดนี้แล้ว

ตอนนี้โยนความคิดที่ไม่คิดจะทำตัวบ้าระห่ำอีกแล้วก่อนหน้าของเขาทิ้งไปข้างๆ เรียบร้อย

“ไม่มีทางเลือก ข้าฝึกบำเพ็ญช้าเกินไป เพื่อจะเปิดช่องเวท ต้องหาโอกาสไปลุยอีกสักครั้ง รอจนช่องเวทข้าเปิดหมด ข้าก็จะไม่บุ่มบ่ามแล้ว”

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด พยักหน้าอย่างมั่นใจมากว่าเป็นเช่นนั้น

เวลาล่วงเลยจนถึงวันที่ห้าเช่นนี้ ตนที่ห่างจากเจ็ดเนตรโลหิตอีกสามวัน ป้ายฐานะของสวี่ชิงก็สั่นขึ้นมา

เขาล้วงมาดู ภารกิจมากมายที่คุ้นเคยด้านในก็หมุนคว้างอย่างรวดเร็ว

มองแวบแรกไม่มีอะไรแตกต่าง สวี่ชิงอ่านไปรอบหนึ่ง และสังเกตเห็นว่าด้านบนสุดของภารกิจที่มากมายเหล่านี้มีผังรายชื่อวีรบุรุษอยู่

รายชื่อนี้สวี่ชิงรู้ว่าเป็นรายชื่อที่เผ่าสิงซากสมุทรประกาศรายชื่อล่าสังหารคนในเจ็ดเนตรโลหิต

สิ่งที่บันทึกด้านในล้วนเป็นรายการเงินรางวัลของเผ่าสิงซากสมุทร เพียงแต่การจะเข้าไปดูต้องเสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสวี่ชิงจึงไม่เคยซื้อเลย

ตอนนี้เขาเหลือบมองผาดหนึ่ง ในใจเกิดความลังเล

เขารู้สึกว่าเรื่องที่ตนเองกับนายกองทำในเผ่าสิงซากสมุทร ไม่ได้ใหญ่โตและไม่ได้เล็กนัก มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกประกาศค่าหัวอยู่

จึงอยากจะดูเสียหน่อย แต่ก็พบว่าต้องจ่ายถึงหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณ สวี่ชิงจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า

และจังหวะที่สวี่ชิงกำลังจะถอดใจไม่ซื้อ ป้ายฐานะของเขาก็สั่นมากขึ้นจากการที่อสูรสมุทรบรรพกาลเข้าใกล้อาณาเขตเกาะเงือกขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเป็นข้อความส่วนตัวที่ส่งมาจากคนที่เขารู้จักทั้งหมดไหลรวมออกมาทีเดียว

‘สหายสวี่ชิง กลับมาแล้วหรือยัง’

‘สหายสวี่ชิง เยี่ยมยุทธ์ไปเลย!!!’

ข้อมูลมากมายหลั่งไหลต่อเนื่อง สวี่ชิงไล่อ่านอย่างประหลาดใจ

‘ศิษย์พี่สวี่ชิง ข้าคิดว่าตอนนี้คงมีข้อความมากมายแน่ๆ อาจจะมองไม่เห็นข้อความนี้ของข้า แต่ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าตื่นเต้นมาก หลังจากที่ข้าเห็นชื่อของท่านรวมถึงการใหญ่ที่ท่านทำ ข้าก็นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว ทั้งรู้สึกดีใจและเป็นห่วงท่านด้วยเช่นเดียวกัน คำพูดมากมายล้วนอยู่ที่เจ็ดคำแรกของข้อความนี้”

ข้อความนี้ เป็นติงเสวี่ยที่ส่งมา

เมื่อกวาดตามองไปที่เจ็ดคำก่อนหน้าของข้อความติงเสวี่ย สวี่ชิงก็ไม่ใส่ใจนัก

เพราะมีเรื่องที่ใหญ่กว่าอยู่ในใจเขา เขาเข้าใจดีว่าเรื่องในเผ่าสิงซากสมุทรแดงออกมาแล้ว จากนั้นจึงรีบอ่านข้อความอื่นทันที

ถัดมายังมีอีกมากมาย มีของทุกคน

หลังจากสวี่ชิงกวาดดูทั้งหมดก็ไม่ลังเลอีก จ่ายหินวิญญาณไปหนึ่งร้อยก้อนซื้อผังรายชื่อวีรบุรุษทันที

เมื่อสังเกตเห็นว่าตนเองถูกจัดอยู่อันดับสองหลังเปิดอ่าน ม่านตาเขาก็หดเล็กลง

จากนั้นก็มองไปที่อันดับหนึ่ง

“เฉินเอ้อหนิว?”

สวี่ชิงครุ่นคิด เกิดความรู้สึกว่าเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านายกองก็คือนายกอง แต่ก็ยังถูกชื่อนี้ทำให้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่านายกองไม่เคยเอ่ยชื่อออกมาเลย บางทีน่าจะเกี่ยวข้องอย่างมากกับความคิดที่ว่าชื่อของเขามันบ้านๆ ก็เป็นได้

จากนั้นสวี่ชิงก็ตรวจสอบรายชื่อนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็สูดลมหายใจลึก ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้ามองจมูกที่อยู่ในถุงเก็บของของตนเอง

ระหว่างทางที่กลับมาเขาวิเคราะห์แล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ร้อนแรงเช่นนี้ของเผ่าสิงซากสมุทร เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้…

ระเบิดที่เกิดจากการที่วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตนนั้นไปกระตุ้นของคลื่นพลังไม่มั่นคง ทำให้เทวรูปของเผ่าสิงซากสมุทรไม่สามารถฟื้นคืนกลับมา

แต่เรื่องนี้เขารู้สึกว่ามีบางส่วนที่น่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง

“หรือว่าหลังจากที่ข้าออกไป นายกองจะก่อเรื่องบ้าระห่ำอีก”

สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ไม่ว่าอย่างไรการมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยวิธีนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

เขาไม่ชอบโอ้อวดต่อหน้าผู้คน นี่ไม่สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจที่แลกมาด้วยชีวิตในวัยเด็กของเขา และไม่สอดคล้องกับขนบของยอดเขาลำดับเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตด้วยเช่นกัน

“ต้องโทษนายกองที่ทำให้เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ตอนนั้นถ้าออกมาเลยก็จบแล้ว!”

สวี่ชิงส่ายหัว จดจ้องที่รายชื่ออยู่นาน เขารับรู้ถึงความโกรธแค้นโถมสวรรค์รวมถึงจิตสังหารไร้ขีดจำกัดที่แฝงอยู่ในผังรายชื่อนั่นได้

เพราะไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ต่อให้เป็นตัวสวี่ชิงเอง หลังจากเห็นรางวัลของนายกองเฉินเอ้อหนิวแล้ว ก็อดใจเต้นระรัวขึ้นไม่ได้ น่าหวั่นไหวเหลือเกิน

เห็นได้ชัดว่าคนอื่นก็เป็นเช่นนี้

“กว่าจะได้ช่วงเวลาที่สงบสุขมา จากนี้ต้องระมัดระวังทุกคนเสียแล้ว ที่สำนักเองก็ไม่ปลอดภัย แต่พอเทียบกับความไร้ระเบียบของโลกภายนอกแล้ว และข้ายังทำเรื่องใหญ่เสียขนาดนี้ ดูท่าความคิดชั่วร้ายของคนในสำนักที่มีเจตนาแอบแฝงอย่างน้อยคงไม่กล้าเปิดเผยออกมาอย่างโจ่งแจ้งนัก”

สวี่ชิงวิเคราะห์ผลดีผลเสียในหัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหลายวันถัดจากนี้ เขาจึงระมัดระวังมาก และใช้เจ้าเงาอำพรางคลื่นจากป้ายฐานะเอาไว้

ตนเองก็ใช้หน้ากากที่เปลี่ยนรูปร่างทำการอำพรางง่ายๆ เช่นกัน จากนั้นค่อยๆ เข้าใกล้เกาะเงือก

เขาจำเป็นต้องไปเผ่าเงือก เช่นนั้นหากคิดจะกลับเจ็ดเนตรโลหิตด้วยการเร่งเดินทางด้วยตนเอง ไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลานาน แต่ระหว่างทางก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้ง่ายอีกด้วย

ทว่าเรื่องผังรายชื่อ ตอนนี้หลังจากกลับมา สวี่ชิงก็ก้มหน้าลงต่ำเป็นอันดับแรก เข้าไปยังเกาะอีเหม่ยฉีที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว

ตลอดทางไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด รีบตรงไปทางค่ายกลส่งข้าม

ยังดีที่สถานที่นี้ปัจจุบันมีผู้บำเพ็ญไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สนามรบ ดังนั้นการกลับมาของสวี่ชิงจึงไม่เป็นจุดสนใจนัก

และเขาก็ไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย เพียงไม่นานก็ไปถึงค่ายกลส่งข้าม

จุดนี้ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ชำเลืองมองศิษย์ยอดเขาลำดับห้าที่คอยรับผิดชอบค่ายกลรอบๆ จากนั้นก็ล้วงแผ่นหยกฐานะออกมากดลงไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว

พริบตาต่อมา คลื่นค่ายกลพาดผ่าน พอยืนยันตัวตนเสร็จสิ้น การส่งข้ามกำลังจะเริ่มขึ้น

ตอนนี้เอง ศิษย์ยอดเขาลำดับห้าที่รับผิดชอบค่ายกลส่งข้ามก็เหลือบไปมองหินก้อนใหญ่ส่งข้ามข้างๆ สังเกตเห็นชื่อผู้ส่งข้ามที่ปรากฏขึ้นด้านบน

พริบตาที่เห็นชื่อนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถลึงตาโต หันหน้าไปมองสวี่ชิงที่อยู่บนค่ายกลส่งข้ามแล้วโพล่งออกมาทันที

“สวี่ชิง!”

พริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงที่อยู่ในแสงค่ายกลส่งข้ามก็หายวับไปทันที

ขณะเดียวกัน ในดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร ในป่าต้นไม้ยักษ์สีแดงเน่าเปื่อย มียักษ์ที่เหมือนกับสัตว์อสูรบรรพกาลที่ร่างกายเน่าเปื่อยไปกว่าครึ่งสวมชุดเกราะร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

ความสูงร่างกายครึ่งหนึ่งของมันคือห้าร้อยกว่าจั้ง สูงกว่าต้นไม้เน่าเปื่อยรอบๆ มาก

เหนือศีรษะมัน มีชายหนุ่มในชุดคลุมจักรพรรดิร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

เหมี่ยวเฉินนั่นเอง

เขาใบหน้าเหี่ยวแห้งไปครึ่งหนึ่ง เลือดเนื้อปลิ้นออกมาด้านนอก ราวกับไม่สามารถรักษาได้ กระทั่งใบหูก็ยังหายไปหมด ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแต่เดิมของเขาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม ท่วงท่าสูงส่งก็หายไปด้วยเช่นกัน

เวลานี้เบื้องหน้าเขามีหญิงสาวปิดบังใบหน้าในชุดกระโปรงยาวม่วงดำสองสีคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ กำลังเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ฝ่าบาท สิ่งของในการรักษาทั้งหมดในเผ่าไม่สามารถแก้ไขพลังกัดกร่อนในบาดแผลของท่านได้ มีเพียงราชาจวบจนเหล่าโหวเท่านั้นที่จะมีวิธีบรรเทา แต่ราชาแจ้งว่า…เรื่องของตัวท่าน ท่านต้องไปจัดการเอง สังหารสวี่ชิงคนนั้นเสีย แล้วเขาจะมารักษาให้ท่าน”

“หมายความว่าอย่างไร ตอนที่ไปจัดการเผ่าหยกวิญญาณที่อ่อนแอแล้วเล่นงานข้า เหตุใดจึงไม่มีข้อเรียกร้องเช่นนี้บ้าง หรือว่าพวกเจ้าจะชอบพอเจ้าเฉินเอ้อหนิวกับสวี่ชิงเข้าแล้ว คิดจะวางแผนแปรสภาพพวกเขาหลังสังหารเช่นนั้นหรือ เผ่าสิงซากสมุทรนี่มันเป็นเผ่าที่ไร้ยางอายเสียจริง ไสหัวไป!!”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นฉับพลัน หญิงสาวคนนั้นร่างสั่นเครือ รีบร้อนถอยออกไป

จนกระทั่งหญิงสาวคนนี้ออกไป ดวงตาชายหนุ่มก็มีเส้นเลือดแผ่ซ่าน เผยจิตสังหารแรงกล้า ในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้นที่ไม่อาจพรรณนาได้

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทร ในฐานะที่เป็นสร้างฐานขั้นบริบูรณ์ ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะไฟชีวิตสี่ดวง เขากลับพ่ายคนที่ไม่มีชื่อเสียง แล้วเขายังทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าอัปยศนี้เอาไว้บนหน้าอีก

“สวี่ชิง เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าจะไม่มีวันจบสิ้น หากไม่สังหารเจ้า ใจข้าคงไม่สงบเป็นแน่!!”