ตอนที่ 124 ลูกชายของซิวเอ๋อร์?
ฮ่องเต้และเย่หลานเฉิงถึงกับตกใจเพราะการกระทำอย่างฉับพลันของเขา จึงหันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน
เหมียวเชียนชิวที่เป็นคนคงเส้นคงวามาโดยตลอด เหตุใดถึงได้ทำกิริยาลืมตัวเช่นนี้
หนานหนานกลับมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างรวดเร็ว เขารีบพุ่งตัวเข้าไปก่อนจะลากตัวอีกฝ่ายเข้ามาด้านใน
“เอ๋…” เหมียวเชียนชิวถึงกับซวนเซ เพียงไม่นานเขาก็ถูกอีกฝ่ายจับตัวลากเข้ามาด้านในห้อง เหลือทิ้งไว้เพียงปู่และหลานที่หันสบตากัน
สายพระเนตรของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองเงาของผู้ใหญ่และเด็กคู่นั้นด้วยความสงสัย
เหมียวเชียนชิวถูกหนานหนานลากเข้ามาด้านในก็ถึงกับตกใจ เขานึกถึงท่าทางลืมตัวจนแสดงกิริยาไม่ดีต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ก็รีบหยุดการย่างก้าว “โอ๊ย ท่านบรรพบุรุษน้อย วิ่งเข้าไปด้านในไม่ได้แล้ว ข้าน้อยต้องไปรับผิดกับฝ่าบาท”
“รับผิด?” หนานหนานลากเขาอยู่สองหน ก็พบว่าลากไม่ไปแล้ว จึงหยุดลง กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “โอ๊ย จะรับผิดหรือไม่รับผิดก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือ ท่านห้ามเปิดเผยตัวตนของข้าออกไป”
“ทำไมล่ะขอรับ?” นั่นคือเสด็จปู่ของซื่อจื่อน้อยผู้นี้ หากฝ่าบาททราบว่าลูกชายของท่านอ๋องซิวที่พระองค์คะนึงถึงตลอดเวลาได้มาอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ ย่อมต้องดีพระทัยมากเป็นแน่
หนานหนานจ้องหน้าเขา “ท่านนี่โง่จริง ๆ ท่านพ่อบอกว่าข้าเรียกท่านพ่อว่าท่านพ่อได้แค่ในจวนเท่านั้น มิอาจบอกคนที่อยู่ด้านนอกให้รู้ได้ว่าเขาคือท่านพ่อของข้า คำพูดของท่านพ่อมีเหตุผลเสมอมา มิเช่นนั้นท่านพ่อคงได้ถูกท่านแม่ด่าเป็นแน่ ข้าเป็นลูกของท่านพ่อ มิอาจทำร้ายท่านพ่อได้”
“…” เหมียวเชียนชิวถึงกับถูกอีกฝ่ายทำให้มึนงง ทว่าเขาก็พอจะเข้าใจว่าความหมายของหนานหนานก็คือ มิอาจบอกสถานะระหว่างหนานหนานและท่านซิวอ๋องออกไปได้?
พูดเช่นนี้ ฝ่าบาทและซื่อจื่อเฉิงก็ยังไม่รู้ตัวตนของเขา
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหมียวเชียนชิวจึงตามใจเขาชั่วคราว ทว่าการกระทำเมื่อครู่ของเขา ฮ่องเต้ย่อมเกิดความสงสัยเป็นแน่ ต่อให้ตอนนี้ไม่พูดออกไป รอให้เดินออกจากประตูนี้ไปก็ต้องพูดอยู่ดี
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ด้านในครู่หนึ่ง จึงเดินตามหลังกันออกมา
เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารชาววัง ดวงตาของหนานหนานพลันเป็นประกายแวววาว เขาไม่สนใจอะไรมากมาย รีบปีนขึ้นเก้าอี้และลงมือกินอาหารทันที
เหมียวเชียนชิวเดินออกมาด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้ม จากนั้นจึงมาคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ “โปรดฝ่าบาทให้อภัยด้วย กระหม่อมสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ ทำให้ฝ่าบาทต้องตกพระทัย”
“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย ทอดพระเนตรไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปหาหนานหนานโดยมิได้ตรัสสิ่งใด ภายในพระทัยกลับคิดวกไปวนมา
เย่หลานเฉิงมองหนานหนานด้วยความกังวล เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหตุใดเมื่อครู่ถึงได้ดึงเหมียวกงกงเข้าไปด้านใน
ทว่าตอนนี้เสด็จปู่อยู่ที่นี่ เขาจึงพูดมากไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ากินอาหารอย่างเงียบ ๆ
ฮ่องเต้เสวยไปเล็กน้อยก็วางตะเกียบลง พระองค์ตรัสถามเหมียวเชียนชิวว่ากี่ยามแล้ว ทั้งยังบอกว่าพระองค์มีธุระอื่นต้องทำ จากนั้นจึงเสด็จออกไป
ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาจากเรือนของเย่หลานเฉิง สีพระพักตร์พลันอึมครึมลง
เหมียวเชียนชิวคอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้มาหลายปีแล้ว ไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของพระองค์ เขาจึงรีบคุกเข่าลง “โปรดฝ่าบาทให้อภัยด้วย กระหม่อมมีบางอย่างอยากกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม พูดมา” ฮ่องเต้เหลือบทอดพระเนตรไปที่เขา มองเขาจากที่สูงโดยไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
เหมียวเชียนชิวทราบดีว่าการที่เขายืนกระซิบกระซาบกับหนานหนานต่อเบื้องพระพักตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย นี่เป็นการทำให้ฮ่องเต้เสียพระพักตร์ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เกิดความสงสัยอยู่ในพระทัย เกรงว่าการกระทำเช่นนั้นของเขาคงเพียงพอให้ตนเองถูกลากออกไปตัดหัวแล้ว
เพียงแต่ เขาเองก็ถูกบีบบังคับ
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ตัวตนของหนานหนานพ่ะย่ะค่ะ”
“เรามองออกแล้ว”
เหมียวเชียนชิวเม้มปาก มองซ้ายมองขวาอยู่สองหนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ตอนที่กระหม่อมอยู่ที่จวนซิวอ๋อง…กระหม่อมเคยเห็นเด็กคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ประหลาดพระทัย พระองค์เข้าพระทัยถึงความหมายของเขาได้ในทันที จึงสั่งให้เขาลุกขึ้นและตอบคำถาม
“ความหมายของเจ้าก็คือ เด็กคนนั้นคือ…ของซิวเอ๋อร์”
เหมียวเชียนชิวขยับเข้าใกล้และกระซิบข้างพระกรรณฝ่าบาท ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบายิ่งขึ้น “กระหม่อมได้ยินเด็กคนนั้นเรียกท่านซิวอ๋องว่าพ่อจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หนานหนานยังบอกบ่าวอีกว่า เรื่องที่เขาเข้ามาในวังท่านซิวอ๋องยังไม่ทราบเรื่อง เขาเข้ามาที่นี่พร้อมกับท่านซื่อจื่อผิงก็เพื่อกินอาหารชาววังภายในวัง แต่ท่านซื่อจื่อผิงถูกฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า จึงวิ่งออกมาเพียงลำพัง ท้ายที่สุดจึงมาถึงเรือนของท่านซื่อจื่อเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดหมองมัวเมื่อครู่ของฮ่องเต้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นภายในชั่วพริบตา มุมพระโอษฐ์ค่อย ๆ ยกเป็นเส้นโค้งมากขึ้น สรวลออกมาเสียงเบา “ดี ๆ ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้จู่ ๆ ซิวเอ๋อร์ก็เข้าวัง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ฮ่า ๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
สมกับที่เป็นบุตรชายของซิวเอ๋อร์ มีความกล้าหาญ ฉลาดมากพอ ทำให้คนรู้สึกโปรดปราน
“ไป เชียนชิว กลับไปดูเด็กคนนั้น”
เหมียวเชียนชิวชะงัก ตอนที่กำลังจะห้าม ฮ่องเต้ก้าวพระบาทเพียงสองก้าวก็หยุดลงอย่างฉับพลันอีกหน ขมวดพระขนงตรัสว่า “ช่างเถอะ วันนี้ซิวเอ๋อร์เข้าวัง แม้แต่เรื่องของเด็กคนนั้นก็ยังไม่กล่าวถึง ดูเหมือนว่าเขาคงไม่อยากให้คนอื่น ๆ รู้ถึงการมีอยู่ของหนานหนาน ภายในวังเกิดความยุ่งเหยิงมากมายเกินไป เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่เพียงลำพัง หากมีคนรู้สถานะของเขา คงมิอาจรับประกันได้ว่าอันตรายมากเพียงใด”
เหมียวเชียนชิวถอนหายใจ พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
“เชียนชิว ส่งคนมาที่ดูแลเด็กสองคนนั้นให้มากหน่อย ซ่อมแซมเรือนแห่งนี้ใหม่อีกครั้ง แล้วก็หากมีคนนอกถามถึงหนานหนาน ก็ให้บอกไปว่าเป็นสหายที่เราส่งมาอยู่เป็นเพื่อนหลานเฉิง หลังจากนี้เตรียมอาหารของพวกเขาให้ดีที่สุด เด็กคนนั้นชอบกินอาหารชาววังในวังขนาดนั้น ให้ห้องพระเครื่องต้นใส่ใจสักหน่อย แล้วก็จับตาดูเคอกงกงที่น่าสงสัยนั่นหน่อย ไม่ต้องให้เขาอยู่ปรนนิบัติที่นี่ต่อไปแล้ว บอกให้ฉีหลินส่งผู้พิทักษ์ทมิฬมาแอบคุ้มกันพวกเขาสักสามสี่คน”
เหมียวเชียนชิวพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความหมายของฮ่องเต้ก็คือ ทุกคนที่จะเข้ามาดูแลซื่อจื่อน้อยทั้งสองคนนี้ ต่างก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยทั้งหมด
ซื่อจื่อเฉิงได้เดินทางมาถึงจุดจบของความลำบากแล้ว แม้แต่สวรรค์ยังช่วยเหลือเขา ทำให้หนานหนานบังเอิญมาเจอเขา ทั้งยังกลายเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วย
ฮ่องเต้รู้สึกเบิกบานพระทัย ดูเหมือนว่าหลังจากนี้พระองค์คงเสด็จมาที่เรือนแห่งนี้บ่อย ๆ
เด็กคนนั้น น่าสนใจมากจริง ๆ
“ฮัดชิ้ว” หนานหนานที่ไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังนึกถึงตนเองถึงกับจามออกมาโดยมิอาจห้ามได้ อาหารที่อยู่ในปากมากกว่าครึ่งถูกเขาพ่นลงมาบนพื้น
เย่หลานเฉิงรีบยื่นแก้วน้ำให้เขา “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
หนานหนานส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าจมูกพูดอย่างเป็นทุกข์ว่า “ต้องมีคนกำลังด่าข้าอยู่เป็นแน่ ข้าว่าคงเป็นท่านแม่ของข้า”
คงเป็นเพราะเขายังไม่กลับเรือนเป็นแน่ ท่านแม่คงด่าเขาในใจมาทั้งวันแล้ว ถึงได้มีพลังแข็งแกร่งมาถึงที่นี่ ขนาดเขาอยู่ในวังยังจามแรงขนาดนั้น
เย่หลานเฉิงแย้มยิ้ม ใบหน้าเล็ก ๆ มีลักยิ้มน่ารัก ๆ ทั้งสองข้างบุ๋มลงไป ตอนนี้เขาชักจะสงสัยแล้วสิว่าท่านแม่ของหนานหนานเป็นใครกันแน่
“น่าเสียดายจัง สิ้นเปลืองอาหารเลย” หนานหนานถอนหายใจ หันกลับไปมองน่องไก่ที่เขาพ่นลงบนพื้น
ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป เอ๋ น่องไก่ชิ้นนั้นเหตุใดถึงขยับได้?
หนานหนานขยี้ตาเพ่งมองไปอีกครั้ง มันยังขยับอยู่
เขาขยี้ตาและมองดูอีกครั้ง มันก็ยังขยับอยู่
ไม่ว่าจะขยี้ตาและมองซ้ำอีกครั้ง มันก็ยังขยับอยู่
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เสด็จปู่รู้ตัวตนหนานหนานแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้น่าจะมีอาหารส่งมาเยอะจนงงแน่ๆ
อะไรอยู่ใต้น่องไก่กันนะ น่องไก่ยังมีชีวิตอยู่เหรอ
ไหหม่า(海馬)