ซูอันได้ตระหนักแล้วว่าตั๋วหนี้มันจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในมือของเขา เขาไม่มีความสามารถในการที่จะไปตามทวงหนี้ได้และมีแนวโน้มว่ามันจะสร้างปัญหามากขึ้นในอนาคต และที่สำคัญไปกว่านั้น ไอ้ตั๋วหนี้ใบนี้มันทำให้เขาไม่สามารถใช้ เส้นใยสุขสันต์ ได้เพราะว่าเขารวยเกินไป!
หากเขาไม่สามารถใช้ไพ่ตายใบนี้ได้ ชีวิตของเขามันก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น!
เงินเป็นสิ่งที่ดี แต่การอยู่รอดต้องมาก่อน
หลังจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เขาตัดสินใจที่จะกำจัดตั๋วหนี้ใบนี้ออกไป แต่การกำจัดมันออกไปเขาก็ต้องได้รับประโยชน์กลับมาบ้างเช่นกัน ซึ่งประโยชน์เหล่านั้นมันจะต้องเป็นอะไรที่จับต้องได้
“7,500,000 ตำลึงเงิน?” เจียงลั่วฝู เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ต่อให้เป็นไปตามมาตรฐานฐานะของนาง เงินจำนวนนี้มันก็ยังนับได้ว่ามหาศาล “เจ้าไปเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้น มาจากไหน?”
เมื่อเห็นว่า เจียงลั่วฝู สงสัยว่าเขามีเงินหรือไม่ ซูอัน ก็เล่าประสบการณ์ของเขาใน บ่อนโกยเงิน กับนางอย่างรวดเร็ว
“เจ้าทำมันได้อย่างไร” เจียงลั่วฝู อุทาน
นางไม่เคยสนใจเรื่องใด ๆ ในเมืองจันทร์กระจ่าง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงเพิ่งได้ยินเหตุการณ์ที่ใหญ่โตขนาดนี้เอาป่านนี้
“ข้าคงโชคดีล่ะมั้ง” ซูอัน ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
มันไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะเขาใช้โอสถโชคลาภเพื่อเพิ่มโชคของเขาจริง ๆ
“ช่างมันเถอะ ถ้าเจ้าไม่สะดวกจะเล่าความจริง ดี ดี ตอนนี้เจ้ากระตุ้นความสนใจของข้าด้วยแล้วจริง ๆ ” เจียงลั่วฝู เอนไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อประเมิน ซูอัน อีกครั้ง “ทุกคนต่างบอกกันว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ ได้แต่งงานกับคนไร้ค่าที่สุดในเมือง แต่หารู้ไม่สามีของนางกลับเป็นคนที่ซ่อนความลับไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ที่เลิศล้ำทางด้านการบ่มเพาะ หรือแม้แต่การชนะพนันบ่อนจนได้รับเงินมาถึง 7,500,000 ตำลึงเงินจาก เหมยเชาฟง อย่างง่ายดาย!”
ในทางกลับกัน ซูอัน ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเข้าเห็นว่า เจียงลั่วฝู โน้มตัวมาข้างหน้าอย่างกะทันหัน มันทำให้เขาเห็นเนินอกอันขาวผ่องราวกับก้อนหิมะซึ่งมันน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากจนเขากลัวว่าเขาจะเผลอสติหลุดทำอะไรบางอย่างออกไปซึ่งมันจะทำให้อาจารย์ใหญ่คนสวยขุ่นเคือง
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ซูอัน รู้สึกว่าเขาควรจะเตือนนาง “ผะ ผิวของท่าน ตรงนั้นมันจะทะลุออกจากเสื้อผ้าของท่านอยู่แล้ว…”
เจียงลั่วฝู เหลือบมองลงไปที่คอเสื้อของนางเอง ก่อนที่ริมฝีปากสวยของนางจะโค้งขึ้น “เจ้าไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น ข้าไม่รังเกียจถ้าเป็นเจ้า”
ซูอัน ตกตะลึง “จริงเหรอ?”
บัดซบเอ๊ย รู้งี้ ข้าดูอีกสักสองสามรอบก่อนจะเตือนนางดีกว่า! ว่าแต่ นี่ข้ามีเสน่ห์ล้นเหลือจนสามารถทำให้ เจียงลั่วฝู และ ซางหลิวอวี้ หลงใหลในตัวข้าได้มากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
“แน่นอน เจ้าไม่ใช่ผู้ชายชาตรีในสายตาของข้า หรือจะพูดให้ถูกในสายตาของข้าเจ้า ไม่ต่างอะไรกับน้องสาว” เจียงลั่วฝู ตอบกลับพลางโบกมือของนางอย่างไม่แยแส
ซูอัน แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินว่านางมองว่าเขาเป็น ‘น้องสาว’ ชายหนุ่มถามกลับทันทีด้วยสีหน้ามืดหม่น “อาจารย์ใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เจียงลั่วฝู หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดหม่นของ ซูอัน “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอก เรื่องนี้กับใคร”
สายตาของนางที่จ้องมองเป้ากางเกงของเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ มันก็ชัดเจนมากพอ….. นางน่าจะรู้เรื่องปัญหาของเขาแล้ว! ในวินาทีนั้น เขารู้สึกอยากจะเอาหัวโขกกำแพงและจบชีวิต ที่น่าสงสารของเขาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
นี่มันบ้าอะไรกัน? ทำไมถึงมีคนรู้เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้!?
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ผู้บ่มเพาะระดับสูงทุกคนสามารถมองเห็นอาการป่วยของข้าได้หมด ทุกคนเลยงั้นเหรอ?” ซูอัน อดไม่ได้ที่จะถาม หากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาจะไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับใครอีกต่อไป
เจียงลั่วฝู หัวเราะเยาะพร้อมกับส่ายหัวและตอบว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าเรียนรู้เรื่องนี้ มาจากแหล่งอื่น เจ้าไม่ต้องกังวลว่าใครจะมองเห็นอาการป่วยของเจ้าหรอก”
ซูอัน ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วเมื่อนึก ๆ ไปได้สักพักความโกรธแค้นก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจ
ต้องเป็นไอ้หมอโรคจิต จี้เติ้งถู แน่นอน! เขากล้าเปิดเผยอาการเจ็บป่วยของข้ากับคนอื่น แบบนี้ได้ยังไง ไอ้หมอโรคจิตนั่นมันมีไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เลยรึไงกันหะ!?
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม ดูเหมือนว่าพวกเราจะหลงประเด็นกันไกลไปหน่อยแล้ว” เพื่อขจัดความ อึดอัดของตัวเอง ซูอัน เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ค่าจ้างหรือผลประโยชน์อะไรจากตำแหน่งอาจารย์กิตติมศักดิ์ของข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่สอนวิชาใด ๆ ด้วย ทั้งหมดที่ข้าต้องการเป็นเพียงแค่ตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น”
เจียงลั่วฝู ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักแต่ท้ายที่สุดนางก็ส่ายหัว “ถ้าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะที่เก่งกาจ สักหน่อย เมื่อรวมกับเงินบริจาค 7,500,000 ตำลึงเงิน ข้าก็คงสามารถแต่งตั้งเจ้าได้โดยไม่มีปัญหา ถึงอย่างนั้น เจ้าควรจะรู้ว่าคนอื่น ๆ เขามองเจ้าอย่างไร ถ้าข้าให้ตำแหน่งอาจารย์กิตติมศักดิ์แก่เจ้า จริง ๆ ข้าคงจะต้องโดนโจมตีอย่างหนักจากคณะผู้บริหารคนอื่น ๆ เพราะการทำเช่นนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการทำให้สถาบันจันทร์กระจ่างกลายเป็นตัวตลกของอาณาจักร ข้าไม่สามารถรับความเสี่ยงนี้ได้”
นางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริมด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน “ใครให้เจ้าสร้างชื่อเสียงแย่ ๆ ให้กับตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา? เป็นไงล่ะ ท้ายที่สุดเจ้ากลับต้องมาสะดุดขาตัวเองเข้าให้จนได้”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่ เจียงลั่วฝู จะรู้ว่า ซูอัน คนเดิมนั้นเป็นขยะจริง ๆ ดังนั้นนางจึงเข้าใจผิดคิดว่าที่ผ่านมามันเป็นการเสแสร้งแกล้งทำของเขามาตลอด
ทางด้านของ ซูอัน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก มันตรงกับความคิดใน ตอนแรกของเขาอยู่แล้วที่ เจียงลั่วฝู จะปฏิเสธคำขอของเขา ซึ่งเขาก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อเผยความตั้งใจจริงที่เขามีอยู่ในใจ “ถ้าข้าไม่สามารถเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์ได้ งั้นข้าแค่ขอได้สิทธิ์เข้าร่วมในมิติลับก็พอ”
การสูญเสียเงินจำนวน 7,500,000 ตำลึงเงินเพื่อมีสิทธิ์เข้ามิติลับเพียงอย่างเดียวนับได้ว่าเป็นเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ แต่ถ้าเขาคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่น่าจะสามารถเบิกหนี้ได้ด้วยตัวเองรวมไปถึงการมีตั๋วหนี้อยู่กับตัวมันทำให้เขาไม่สามารถใช้เส้นใยสุขสันต์ได้ ราคานี้จึงยังนับว่าเขาพอรับได้อยู่บ้าง
สีหน้าของ เจียงลั่วฝู มืดลง “เจ้าไม่รู้หรือไงว่ามิติลับจะเปิดขึ้นแค่ 3-4 ปีต่อครั้งเท่านั้น? ผู้คนทุกคนต่างก็อยากจะเข้าไปด้านในซึ่งจำนวนคนที่ถูกกำหนดให้เข้าไปได้ก็มีจำนวนจำกัด แต่ละสถาบันมีสิทธิ์ส่งนักศึกษาแค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นหากใครก็ตามที่อยากจะเข้าไปจะต้องผ่านการประลองเฟ้นหาผู้ที่คู่ควรจริง ๆ ที่จะได้สิทธิ์เข้าไปด้านใน ฉะนั้นข้าจะให้สิทธิ์กับเจ้าไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน?”
ซูอัน ยักไหล่ “ข้าไม่เชื่อว่าในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบัน ท่านจะจัดการเรื่องนี้ให้ข้าไม่ได้ ท่านอย่าลืมสิว่าตอนนี้เรากำลังพูดถึงเงินจำนวน 7,500,000 ตำลึงเงินที่นี่ ข้าจะบริจาคมันให้กับท่านเปล่า ๆ โดยที่ข้าไม่ได้อะไรตอบแทนมาเลยมันคงเป็นไปไม่ได้จริงไหม?”
เจียงลั่วฝู หรี่ตามอง ซูอัน ราวกับว่าอยากจะมองให้ทะลุไปถึงสมองของเขาว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ “เจ้าคิดจะทำอะไรในมิติลับ?”
“แน่นอนว่าเป็นการค้นหาสมบัติอยู่แล้ว!” ซูอัน ตอบกลับ
เขาตั้งใจไม่เอ่ยถึง ดอกบัวเร้นลักษณ์ เพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน
เจียงลั่วฝู พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าต้องการอะไร แต่ว่าสิทธิ์ในการเข้ามิติลับนั้น ถูกจับตามองจากหลาย ๆ ซึ่งรวมไปถึงคนของราชสำนักก็จับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน ดังนั้นข้าไม่สามารถให้มันกับเจ้าได้จริง ๆ ต่อให้ข้าจะอยากทำแบบนั้นก็ตามที”
ซูอัน ที่ได้ยินแบบนั้นก็หมดความอดทนในทันที แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เจียงลั่วฝู ยกมือของนางขึ้นเพื่อหยุดเขาและพูดต่อไปว่า “ใจเย็น ๆ ให้ข้าพูดให้จบก่อน แม้ว่าข้าจะมอบสิทธิ์ให้แก่เจ้าโดยตรงไม่ได้ แต่ข้ายังสามารถใช้อำนาจของตัวเองเปิดช่องว่างให้เจ้าได้รับสิทธิ์แบบง่ายกว่าคนอื่นโดยการกำหนดให้คู่ต่อสู้ของเจ้าในการประลองคัดเลือกอ่อนแอกว่าที่ควรจะเป็น ด้วยวิธีนี้ เจ้าจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปในมิติลับอย่างถูกต้อง และสถาบันก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมาย”
“นั่นมันก็หมายความว่าข้าต้องต่อสู้เพื่อสิทธิ์อีกงั้นสิ?” ซูอัน ลังเลเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะเลี่ยงการต่อสู้กับผู้อื่นให้ได้มากที่สุดเพราะเขาไม่อยากจะเผยไพ่เด็ดของเขากับผู้อื่น
เจียงลั่วฝู ถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อนแบบนี้มานานหลายปี แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าโลกที่เราอยู่เป็นโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่ง ตราบใดที่เจ้าสามารถพิสูจน์คุณค่าของเจ้าได้ เจ้าก็จะได้รับทรัพยากรการบ่มเพาะที่มากขึ้น ดังนั้นหากเจ้ายังคงหลบซ่อนตัวเองไปอยู่แบบนี้ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์ที่สูงล้ำสักวันเจ้าก็จะถูกคนอื่นแซงหน้าไป และช่องว่างระหว่างเจ้าและคนอื่น ๆ มันก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดเจ้าจะพบว่ามันยากที่จะตามคนอื่น ๆ ทัน
ข้าขอพูดตามตรงว่า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าเลือกที่จะไม่เปิดเผยความสามารถของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ฉลาดอยู่พอสมควร แต่ในทางกลับกัน ตอนนี้เมื่อเจ้ากลายเป็นนักศึกษาของสถาบันจันทร์ กระจ่างแล้วสถานการณ์ของเจ้ามันได้เปลี่ยนไปแล้วเจ้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปดังนั้นการปกปิดที่เจ้าเคยทำมามันจึงกลายเป็นเรื่องที่มีแต่ผลเสียหากเจ้ายังคงทำมันอยู่ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกลัวหรือหลบซ่อนต่อศัตรูของเจ้าอีกต่อไป เจ้าสามารถเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเจ้าได้เลย ภายใต้การคุ้มครองของเราเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวใครอีก และเมื่อถึงเวลาที่แสงไฟแห่งความรุ่งโรจน์สาดส่องไปที่เจ้า เจ้าจะได้รับความชอบธรรมในการเสพสุขกับทรัพยากรมากมายที่ราชสำนักจัดหาให้กับเจ้า”