ตอนที่ 447 – ออกเดินทาง
“สหายเต๋าฉิน” หลิงอวิ๋นเฮ่อร้องเรียกจากข้างนอก “พวกเราออกเดินทางได้แล้ว”
โม่เทียนเกอได้ยินเสียง หยุดการฝึกตน ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นี้รู้ชื่อจริงของนางแล้ว แต่เรียกนางว่า “สหายเต๋าฉิน” อย่างดื้อรั้น บอกว่าชินแล้ว ขี้เกียจจะเปลี่ยน
นางสั่นศีรษะ เก็บกำแพงอาคมของห้อง เดินออกจากห้อง หลิงอวิ๋นเฮ่อผู้นี้ยังไม่เลวจริง ๆ หากมิใช่ปัญหาด้านตำแหน่งของสองฝ่าย สามารถคบหากัน แต่ว่าตอนนี้่ความเป็นไปได้ไม่มาก นางตกลงใจแล้ว เรื่องนี้พอยุติจะกลับเทียนจี๋ทันที นอกเสียจากความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก จะไม่เหยียบเข้าอวิ๋นจงสักครึ่งก้าว — ล่วงเกินผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายขนาดนั้น ยังคงหลบไปห่าง ๆ หน่อยจะดีกว่า
แต่ว่า เรื่องนี้นางไม่รู้สึกว่าตนเองละโมบเลย สิ่งที่นางเรียกร้องไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าโอกาสเข้าไปในมิติเร้นลับทะเลกุยสวีเสาะหาวาสนา ทว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้กลับเพียงต้องการให้นางแสดงบทบาทของกุญแจอย่างเชื่อฟัง ไม่แน่ว่ารอจนนางหมดประโยชน์แล้วก็จะโบกมือทีหนึ่งฆ่านางให้สิ้นซากเลย
สำหรับที่อาจารย์เต๋าหยวนมู่บอกว่าจะรับนางเข้าสำนัก ยังไม่เอ่ยถึงว่านางมีสำนักอาจารย์ ถึงจะเข้าสำนักจิ่วเยี่ยนจริง ๆ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางบ่มเพาะนางอย่างที่ปฏิบัติต่อหลิงอวิ๋นเฮ่อ ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือส่งสิ่งของจำนวนหนึ่งให้นางมั่ว ๆ ทว่านางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในมือ สมบัติทั่วไปหายากนักหรือไร? มีแค่วาสนาจึงเป็นสิ่งที่นางร้องขอ
วาสนา เป็นคำสองคำนี้ที่ทำให้นางล่วงเกินผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง วาสนามิใช่สิ่งที่ไร้สิ้นสุด นางครอบครองกระบี่ฝูเซิง โอกาสที่จะได้รับวาสนามากกว่าคนอื่น หากวาสนาที่สำคัญถูกนางได้ไป คนอื่นก็ไม่มีแล้ว
แต่ทำไมนางต้องละทิ้งโอกาสที่มาถึงมือเล่า? ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีระดับการฝึกตนที่เพียงพอ แต่ว่าน่าเสียดายมากที่ครอบครองกระบี่ฝูเซิงซึ่งพวกเขาล้วนไม่มี
“สหายเต๋าหลิง ไม่ต้องรออีกแล้วหรือ”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเอ่ยว่า “เจดีย์มารสวรรค์มีข่าวแล้ว ไม่ต้องรอแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายประกาศเวลาแล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้นย่อมเร่งรุดไปปรากฏตัวก่อนที่สถานที่ลับจะเปิด”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ โอกาสเช่นนี้ ทุกคนร้องขอยังร้องขอไม่ได้ ย่อมไม่เต็มใจจะพลาดไป
นางติดตามหลิงอวิ๋นเฮ่อ พบผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านั้นอีกครั้ง
ผ่านไปไม่กี่วัน สภาวะจิตใจของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้คาดว่าสงบลงแล้ว สายตาที่มองนางไม่มีความโกรธแค้นอย่างวันนั้น เพียงเย็นชาอย่างมาก
เห็นนางมาถึง อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยปากว่า “เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางเถอะ”
ผู้ฝึกตนคนอื่นพากันส่งเสียงตอบรับ ใช้วิธีการของแต่ละคนเหยียบไปบนอาวุธเวทบิน หลิงอวิ๋นเฮ่อ, หานซื่อจือ, เจวี๋ยอู้สามคนถูกผู้อาวุโสในสำนักของแต่ละคนพาไปไว้ข้างกาย
โม่เทียนเกอเห็นไม่มีคนสนใจตนเองก็โบกแขนเสื้อ เมฆก่อตัวใต้เท้า เปิดใช้รองเท้าย่ำเมฆา
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดจู่ ๆ ลอยตัวขึ้น กลายเป็นแสงหลบหนี บินไปยังที่ไกลโพ้น
เกาะอีเยี่ยเป็นแค่เกาะเล็ก ความเคลื่อนไหวเช่นนี้แทบจะทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนสะดุ้ง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไป กว่าครึ่งได้รับข่าวสารแล้ว จากไปแต่แรก ส่วนผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน กลับทั้งอิจฉาทั้งริษยา มีเพียงผู้ที่ขวัญกล้าไม่กี่คนจ้องมองทิศทางที่แสงหลบหนีเคลื่อนผ่านแล้วตามไปเงียบ ๆ น่าเสียดายที่พวกเขาเพียงเสียแรงเปล่า ด้วยความเร็วหลบหนีของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ พวกเขาจะสามารถตามทันได้อย่างไร
ขณะนี้ โม่เทียนเกอใช้กำลังทั้งหมดควบคุมรองเท้าย่ำเมฆา ถึงขนาดใช้ไม้บรรทัดย่อพสุธาออกมาเพิ่มความเร็ว แต่ว่า อยากจะตามผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ให้ทันยังกินแรงเกินไป หากมิใช่พวกเขาไม่ได้แสดงออกอย่างเต็มกำลัง เกรงว่านางจะถูกสลัดไปไว้ข้างหลังแต่แรกแล้ว
นางแอบยิ้มขื่นในใจ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ทำไมจิตใจถึงได้เล็กเท่าปลายเข็มอย่างนี้นะ? เห็นชัด ๆ ว่าตกลงกับเงื่อนไขของนางแล้ว แต่ยังต้องเห็นนางเสียหน้าจึงจะปลอดโปร่ง
อันที่จริง เมื่อเห็นนางตามกลุ่มทันอย่างเต็มฝืน ในใจผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้แอบประหลาดใจ ยิ่งมีคนแอบคิดในใจว่า ผู้ฝึกตนสตรีนางนี้กล้าต่อรองเงื่อนไขกับพวกเขาเหล่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มีความสามารถอยู่บ้างจริง ๆ ด้วย คิดอีกว่านางอยู่ระดับก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว ขอเพียงมีวาสนาจะสามารถย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณใหม่ ถึงเวลาจะเป็นตัวตนในระดับเดียวกับตนเอง คิดเช่นนี้แล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นเหล่านั้นล้วนเก็บจิตใจดูเบาที่มีต่อนางลง
โม่เทียนเกอไล่ตามอย่างยากลำบากมาก ผลของการควบคุมอย่างเต็มแรงคือพลังวิญญาณสูญเสียไปเร็วเกินไป นางไม่อาจไม่อมยาเสริมพลังวิญญาณระดับสูงเอาไว้ตลอดเวลา ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางยังถูกคงทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างช้า ๆ
บินไปอีกครู่หนึ่ง อู๋หมิงเจินเจ่อจู่ ๆ ส่งเสียงว่า “สหายเต๋าน้อย พระเฒ่าจะช่วยเจ้าสักหน่อยนะ” ว่าแล้วผายจีวร พลังปราณสายหนึ่งเคลื่อนเข้าใกล้โม่เทียนเกอ ม้วนนางเข้าไป ในพริบตาเดียวนางก็ยืนอยู่บนแท่นปทุมของอู๋หมิงเจินเจ่อแล้ว
โม่เทียนเกอเป่าลมหายใจ คารวะขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ยื่นมือช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มบาง ๆ ไม่พูดมากอีก ควบคุมแท่นปทุมบินไปข้างหน้าต่อไป
ในผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ อู๋หมิงเจินเจ่อนับว่าปฏิบัติต่อนางไม่เลว ตอนที่นางคืนแหฟ้าตาข่ายดินเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้ทำให้นางลำบากเลย ส่วนครั้งนี้ ตอนที่ผู้ฝึกตนคนอื่นก่อปัญหา เขาก็ยื่นมือออกมาช่วยเหลืออีก นางแอบยินดีที่ตอนที่ตนเองส่งคืนแหฟ้าตาข่ายดินนั้นคืนไปอย่างง่าย ๆ คาดว่าเป็นเพราะเช่นนี้จึงทำให้อู๋หมิงเจินเจ่อผู้นี้มีความรู้สึกอันดีเศษเสี้ยวหนึ่งให้กับนางสินะ
“……ประสกโม่ ท่านยังสบายดีไหม”
ข้างหูมีเสียงดังขึ้น โม่เทียนเกอหันหน้าไปมอง เป็นเจวี๋ยอู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังอู๋หมิงเจินเจ่อด้วยกันกับนาง เจวี๋ยอู้ผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่ คิ้วหนาตาโต แข็งแรงอย่างยิ่ง แต่ดูแล้วกลับสัตย์ซื่อถือมั่น ขณะนี้เขาเบนศีรษะถามไถ่ สีหน้าเจือความห่วงใย ไม่คล้ายเสแสร้ง
โม่เทียนเกอปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มตอบว่า “ขอบคุณสหายเต๋ามากที่เป็นห่วง เพียงเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างเท่านั้น”
เจวี๋ยอู้ก็ยิ้มให้นาง ยังคงประนมมือทั้งคู่ ยืนอยู่ข้างหลังอู๋หมิงเจินเจ่ออย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ
ในดวงตาโม่เทียนเกอมีความงุนงงเสี้ยวหนึ่งวูบผ่าน ปีนั้นพบพานเจวี๋ยอู้ที่เมืองเทียนเสวี่ย เขาเป็นผู้ที่ถูกขับออกมา หดหู่สิบส่วน ถึงขนาดที่ยังไปปล้นผู้ฝึกตนคนอื่นร่วมกับซือตี้ ถึงแม้จะท่องสวดศีลอะไร แต่พฤติกรรมก็…… อีกทั้ง ปีนั้นนางสังหารซือตี้คนนั้นของเขาด้วยความโกรธ เขายังเศร้าหมองมาก ทำไมปัจจุบันนี้กลับไม่ขัดเคืองเลยสักนิด ถึงขนาดที่ยังจะห่วงใยนางด้วยเล่า?
เมื่อสัมผัสได้ว่านางกวาดสายตามาเป็นครั้งคราว เจวี๋ยอู้หันหน้ามายิ้มให้นาง “ประสกโม่มีเรื่องอะไรหรือ เหตุใดมองผินเซิงเช่นนี้”
ในเมื่อถูกค้นพบแล้ว โม่เทียนเกอจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “สหายเต๋าเจวี๋ยอู้อย่าตำหนิ จ้ายเซี่ยเพียงรู้สึกว่าสหายเต๋ากับตอนที่แรกพบไม่เหมือนกันเกินไป ดังนั้น……”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” เจวี๋ยอู้ยังคงมีรอยยิ้มถ่อมตัวบนใบหน้า เอ่ยว่า “เรื่องในปีนั้น เป็นการขาดความคิดของผินเซิง ตั้งแต่ที่ถูกเจวี๋ยซิ่นซือเกอพากลับเขาไป๋ฝู ผินเซิงก็ได้ตัดขาดจากอดีตแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ……” หรือแม้แต่เรื่องที่สังหารซือตี้เขาก็ไม่จดจำแล้ว?
“สหายเต๋าน้อย” อู๋หมิงเจินเจ่อที่อยู่ด้านหน้าจู่ ๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่เจวี๋ยอู้ฝึกคือเซน*”
โม่เทียนเกอตะลึงไป สิ่งที่ฝึกคือเซน หมายความว่าอะไร
เจวี๋ยอู้กลับเพียงยิ้ม ๆ ให้นาง ยังคงตาเพ่งจมูกจมูกเพ่งใจยืนกับที่ ไม่พูดไม่จาแล้ว
หลายวันต่อจากนั้น ทุกคนเพียงมุ่งมั่นกับการเร่งเดินทาง ในกระบวนการนี้ โม่เทียนเกอพบเห็นอสูรทะเลของทะเลกุยสวีจำนวนมาก ตั้งแต่ขั้นห้าถึงขั้นเจ็ด จำนวนนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่งอสูรทะเลขขั้นแปดเป็นครั้งคราว โชคดีที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากขนาดนี้อยู่ที่นี่ อสูรทะเลเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงพลังสภาวะอันกล้าแข็ง รอจนพวกเขาบินเข้าใกล้ก็จากไปไกลลิบแล้ว ตลอดทางพวกเขาไปถึงจุดหมายโดยแทบจะไม่มีทางคดเคี้ยว
หลายวันให้หลัง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งกลุ่มหยุดอยู่กลางอากาศเหนือเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งกลางทะเล
เมื่อเห็นเกาะน้อยที่รายล้อมด้วยเมฆหมอกใต้เท้า มีคนเอ่ยอย่างกังขาว่า “หยวนมู่ซือเกอ เป็นที่นี่หรือ”
โม่เทียนเกอก็มีความกังขาในใจ เกาะน้อยใต้เท้านี้เทียบกับเกาะอีเยี่ยแล้วใหญ่กว่าหน่อย แต่โล่งเตียน ดูไปแล้วก็คือภูเขาหินหนึ่งลูก ไม่มีพลังวิญญาณแม้ครึ่งส่วน
“แน่นอน” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็ไม่เข้าใจ ทิ้งตัวลงที่เกาะน้อยตรง ๆ
คนอื่นตามอยู่ข้างหลัง ทยอยทิ้งตัวลงมา
บนเกาะน้อย ผู้ฝึกตนคนอื่นรออยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเห็นผู้ฝึกตนสามสำนักก็รีบขึ้นหน้ามาทักทายอยู่บนพื้น
โม่เทียนเกอกวาดมองแวบหนึ่ง ผู้ฝึกตนเหล่านี้กว่าครึ่งเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น ดูท่าทางไม่เหมือนกลุ่มอำนาจใหญ่อะไร โดยพื้นฐานนับได้ว่าเป็นตัวเสริม — ผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดย่อมจะถูกกลุ่มอำนาจไม่กี่เจ้าคว้าไปแบ่งกัน ส่วนพวกเขาเหล่านี้ก็ต้องดูวาสนาของแต่ละคนแล้ว
โม่เทียนเกอขอบคุณอู๋หมิงเจินเจ่อแล้วหามุมที่เงียบสงบมั่ว ๆ มานั่งขัดสมาธิ
ในระยะเวลาหนึ่งวันถัดจากนั้น มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เร่งรุดมาถึงไม่ขาดตอน ระดับการฝึกตนก็ยิ่งมายิ่งสูง
“หยวนมู่ซือเกอ สหายเต๋าอู๋หมิง อวี๋เซียนเซิง ทั้งสามท่านมาเร็วจริง!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันกล้าแข็งที่ใกล้เข้ามา โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น เห็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอีกผู้หนึ่งพาคนในสำนักหลายคนทิ้งตัวลงมา
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายผู้นี้ดูเหมือนชายชราผอมแห้งคนหนึ่ง สวมชุดเต๋าที่ขาดรุ่งริ่ง มือถือแส้ปัด น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยพลัง
“ที่แท้เป็นสหายเต๋ากัวมาถึงแล้ว!” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เห็นคนผู้นี้ก็ยิ้มแย้มต้อนรับ
“ท่านนี้คือพรตเต๋ากัวแห่งโรงเรียนผูฝ่า” หลิงอวิ๋นเฮ่อมาถึงข้างกายนาง เอ่ยเสียงเบา “พรตเต๋ากัวดูไม่สะดุดตา วิชากายาพิสุทธิ์วัชระทั้งร่างกลับยอดเยี่ยมถึงงสิบส่วน อวิ๋นจงมีน้อยคนสามารถทำลายทักษะคุ้มครองร่างของท่าน”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแสดงออกว่ารู้แล้ว หันศีรษะไปยิ้มให้หลิงอวิ๋นเฮ่อ “ขอบคุณสหายเต๋าหลิงมากที่แจ้งให้ทราบ สหายเต๋าหลิงยังคงมาคุยกับจ้ายเซี่ย หรือไม่กลัวผู้อาวุโสในสำนักอาจารย์จะเกิดความโกรธ?”
หลิงอวิ๋นเฮ่อหัวเราะหนึ่งคำ เอ่ยว่า “ซือซูซือป๋อทั้งหลายไยจะแยแสต่อสิ่งนี้? พวกท่านไม่ชมชอบสหายเต๋า ที่จริงแล้วเป็นเพราะสหายเต๋าฉินเผยประกายจนเกินไป ไม่ไว้หน้าพวกท่าน”
“อ้อ” โม่เทียนเกอตอบรับคำหนึ่ง ที่แท้ทัศนคติของนางแข็งกร้าวเกินไป ตอแยให้ผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ไม่มีความสุข คำพูดย้อนกลับมากล่าว ผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ จิตใจเล็กเท่าปลายเข็มจริง ๆ
“สหายเต๋าฉิน เราท่านก็นับว่ารู้จักกันมาหลายปี ข้าขอมากความเตือนท่านสักหน่อย ถึงท่านจะมีกระบี่ฝูเซิงในมือ แล้วยังมีผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อช่วยเหลือ แต่การเดินทางนี้ยังต้องระมัดระวังรอบคอบนะ! ถึงอย่างไรผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่ที่มาในครั้งนี้มีมากเกินไป ในนี้ไม่ขาดชนชั้นอารมณ์ฉุนเฉียว สหายเต๋าฉินยังคงยับยั้งชั่งใจสักหน่อยจึงดี”
ได้ยินหลิงอวิ๋นเฮ่อแนะนำเยี่ยงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มออกมา เอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณสหายเต๋าหลิงมาก ข้าทราบแล้ว”
เห็นนางฟังคำแนะนำ หลิงอวิ๋นเฮ่อเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดูราวกับโล่งใจ
“จริงสิ สหายเต๋าหลิง เจ้าของเจดีย์มารสวรรค์นั่นก็เสาะพบคนที่จะยอมรับเป็นนายได้แล้วหรือไม่”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้าเอ่ยว่า “มิผิด หากมิเป็นเช่นนี้ ไยจะให้ข้ารอให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยอมรับนาย?”
โม่เทียนเกอคิด ๆ ดูแล้วก็ใช่ พวกเขาจึงเห็นคนที่เห็นความสำคัญของมิติเร้นลับทะเลกุยสวีที่สุด ในเมื่อเคลื่อนไหวออกหน้า ย่อมยืนยันแล้วว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นล้วนสามารถยอมรับนาย สามารถเปิดมิติแล้ว
“วันนั้นเจดีย์มารสวรรค์สรุปแล้วตกอยู่ในมือผู้ใดหรือ”
คำถามนี้ทำให้หลิงอวิ๋นเฮ่อลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเอ่ยว่า “รออีกเดี๋ยวสหายเต๋าฉินก็จะทราบแล้ว”
……………….
* คำว่าเซนเป็นภาษาญี่ปุ่นเนอะ มาจากคำว่า “ฉาน” ของจีน ซึ่งคำจีนก็มาจากคำว่า ธยาน (สันสกฤต) หรือ ฌาน (บาลี) เราใช้เซนไปก่อนเพราะมันเป็นคำที่พวกเราคุ้นเคย แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่ใช้คำญี่ปุ่น จะใช้ธยานก็กลัวคนอ่านไม่รู้จัก ส่วนญาณคงใช้ไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวมันจะไปตีกับคำว่าฌานศักดิสิทธิ์ (ซึ่งก็เป็นศัพท์ที่เราอยากเปลี่ยนคำแปลมาก ๆๆ แต่มาไกลเกินจะเปลี่ยนแล้ว…..) แต่คำว่าเซนนี่เพิ่งโผล่มาครั้งแรก คนอ่านคิดว่าใช้คำไหนดีก็แจ้งได้เลยนะคะ
เอาจริงนะ ถ้าเราเป็นเทียนเกอเห็นผู้อาวุโสกวนประสาทเล่นแง่จะทิ้งเราอย่างนี้ เราจะเดินเล่นเก็บดอกไม้ชมนกชมไม้เลย ดูซิว่าเราตามไม่ทัน พวกคุณเปิดประตูไม่ได้จะทำยังไง! ก็ต้องกลับมารับเราไหมล่ะ เราแกล้งเดินเอื่อย ถ้าทิ้งเราจริง ๆ หนีเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปนอนเล่นสักเดือนแม่งเลย บอกว่าตามไม่ทันหลงทาง