ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 124 มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 124 มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์

เส้นทางยาวมืดครึ้ม

หินแตกใหญ่ที่ลอยบนผิวน้ำมีแสงยันต์ขยับวูบวาบ

หนิงอี้ใช้มือข้างหนึ่งกางร่มกันฝน ใบร่มจะส่งเสียงเปาะแปะเบาตลอดเวลา แดนเทวาที่นี่ต่ำมาก ละอองน้ำรวมบนอากาศ เหมือนหมอกก้อนหนึ่ง เหมือนเมฆฝนที่สั่งสมมานาน สวีชิงเยี่ยนกับหนิงอี้เบียดกันอยู่ใต้ร่ม หยดน้ำฝนพวกนี้แฝงไอปีศาจเข้มข้น หยดลงบนใบร่ม คงอยู่นานไม่สลายไป

หนิงอี้เดาไว้ไม่ผิด ที่นี่เป็น ‘ธารน้ำยมโลก’ จริงๆ ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ฝึกฝนที่นี่จะไม่อาจสำแดงพลังแสงดาราได้…แต่ความจริงไม่ต้องลงน้ำ แค่หายใจในแดนเทวานี้ก็ยากจะสูดละอองน้ำได้ ละอองน้ำพวกนี้ทำการผนึกต่อแสงดารา

ที่นี่เป็นแดนเทวาผนึก นอกจากการคงอยู่ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งยิ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่อาจเปิดผนึกได้ และก็จะใช้แสงดาราไม่ได้

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขาไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแย่ ตนสัมผัสได้ถึงทิศทางโดยรอบ มือข้างหนึ่งทำปางมือคัมภีร์แสวงมังกรในแขนเสื้อ ตรงหน้าเปิดเป็นภาพค่ายกลยันต์แปดทิศยักษ์ แดนโบราณสุสานเสื่อมโทรมแห่งนี้ มีค่ายกลอยู่มากมาย บ้างเป็นค่ายกลสังหาร บ้างเป็นค่ายกลลวงตา ตอนนั้นกองกำลังของราชาหัวใจราชสีห์ไม่ได้ทำลายแดนเทวานี้ แต่รักษาไว้คงเดิม วางนโยบายการปกป้องต้าสุยในภายภาคหน้าไว้ดีมาก…

เพียงแต่หนิงอี้ไม่เข้าใจเล็กน้อย ในเมื่อที่นี่ถูกเผ่ามนุษย์ยึดครอง เหตุใดถึงไม่ทำลายค่ายกลสังหารพวกนั้นไป

อีกความคิดหนึ่งปรากฏในความคิดหนิงอี้อย่างรวดเร็ว…จุดแปลกของผนังหินยากจะถูกพบได้ แดนเทวาที่เชื่อมกับที่นี่ต่างจากทางเข้าที่สององค์ชายต้าสุยเข้าไป สองพันปีมานี้ ผู้บำเพ็ญที่ก้าวมาที่นี่มีน้อยมาก

หนิงอี้รู้สึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า…ปรมาจารย์สุสานที่ติดตามราชาหัวใจราชสีห์มาได้ฝากคำพูดเช่นนี้ไว้ เพียงแค่เข้าไปส่วนลึก ปฏิบัติตามคำสอนโบราณ ห้ามขยับสิ่งใดในสุสาน พันค่ายกลสังหารก็จะผ่านพ้นไป ใบไม้ไม่ปนเปื้อนกาย ไม่อย่างนั้นจะอธิบายได้อย่างไรว่าที่นี่ไม่มีศพเลย

แสงดาราถูกผนึก แดนต้องห้ามนี้ยังมีค่ายกลสังหาร หากคนที่เข้ามาที่นี่มีจำนวนไม่น้อย ก็อาจจะมีคนตายในค่ายกล

หนิงอี้เม้มริมฝีปาก เขานึกถึงราชาหัวใจราชสีห์นั้นเป็นคนที่ชอบความสงบที่สุด ผู้นำใต้บัญชาเขาต้องรู้ในจุดนี้แน่ คนตายดุจตะเกียงดับ ยอดปีศาจโบราณก็เช่นกัน ต่อให้เข้ามาก็จะไม่ทำลายความสงบ เพียงแค่ผ่านไปเงียบๆ…จุดนี้สอดคล้องกับประเพณีแดนอุดรเมื่อสองพันปีก่อน

เดินออกจากเส้นทางม่านน้ำมา สวีชิงเยี่ยนยังคงเงียบตลอด นางสังเกตได้อย่างเฉียบคมว่าเด็กหนุ่มกางร่มกำลังสำรวจอันตรายของแดนที่ไม่รู้จักนี้…หนิงอี้เป็นคนอัศจรรย์มาตลอด แตะผนังหิน เปิดจุดแปลกอะไรนั่น กลอุบายนี้ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ

ดังนั้นสวีชิงเยี่ยนจึงเงียบ ไม่พูด

“เส้นทางข้างหน้าไม่ปลอดภัย แต่ตามหลังข้าจะไม่มีอันตราย” หนิงอี้พ่นลมหายใจเบาๆ “แม่นางสวี ดูจังหวะก้าวของข้า…บางที่ก็ต้องให้เจ้าช่วย”

ข้างหน้าเป็นค่ายกลลวงตา

หนิงอี้เดินหน้าไปช้าๆ เหยียบตาค่ายกลของค่ายกลยันต์แปดทิศ เขากางร่มกระดาษมันนั้น เพราะเด็กสาวก้าวไปพร้อมกันจึงต้องยกแขนเล็กน้อย ชูร่มสูงขึ้นหน่อย ท่าทางของสองคนหน้าหลัง โยกไปมาแยกและประกบ ดูเหมือนร่ายระบำช้าๆ และน่าขำ

เด็กสาวรู้สึกขำกับท่าทางนี้เล็กน้อย นางอดใจอยากจะขำไม่ได้ แต่เห็นใบหน้าจริงจังของเด็กหนุ่มแล้วก็กระแอมไอเบาๆ สองที ก่อนพูดเสียงเบา “หนิงอี้…จากนี้อย่างไรต่อ”

หนิงอี้หรี่ตาลง เขามองใบหน้ากระชากจิตวิญญาณนั้นของเด็กสาว ค่ายกลลวงตาในแดนเทวานี้ ความจริงขอแค่เหยียบตาค่ายกลอย่างแม่นยำไม่นานก็จะผ่านไปได้ ตอนนี้ท่าทางของสองคนยังอยู่ในท่าท่างเมื่อครู่ คล้ายกับเต้นระบำอยู่จริงๆ

“จากนี้หรือ” หนิงอี้มองแม่นางตรงหน้า มีความหยอกล้อนิดหน่อยและจริงจังสามส่วน แสร้งทำเป็นพูดสนิทสนม “เจ้าอยากจะเต้นแบบนี้ต่อไปหรือ”

สวีชิงเยี่ยนทำเสียง ‘หา’ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว นางหน้าแดง มองหนิงอี้ก่อนจะหันไปมองเส้นทางที่ยาวมาก รีบกดสองมือลง ดึงชายเสื้อ จ้องปลายเท้าตนเอง

หนิงอี้หุบร่มดังพรึ่บ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่นางสวีเต้นรำงดงามมาก”

สวีชิงเยี่ยนหน้าแดงไปถึงกกหู นางถูกคนชมน้อยมาก แต่ความจริงนางไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่ที่นี่ก็เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในโลกแล้ว

“เมื่อก่อนดูละครก็เคยเรียนมาบ้าง” นางพูดช้าและระมัดระวัง

หนิงอี้มองแม่นางที่ตอนนี้ดูประหม่าและเหนียมอายเล็กน้อย ในดวงตาซ่อนความขบขันไว้ไม่ได้ เขาพูดเย้าหยอก “จากนี้หากแม่นางสวีมีคนที่ชอบ ขอแค่เต้นระบำครั้งเดียว ก็จะไม่มีใครปฏิเสธได้”

สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง

ไม่นานนัก

สองคนเดินหน้าต่อไป ผนังหินเตี้ยโดยรอบมีหินย้อยลงมาบ้าง หนิงอี้เคยเห็นภาพคล้ายๆ กันนี้ที่หลังเขาสู่ซาน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขามีคัมภีร์แสวงมังกร หลังทำปางมือสองดูภายใน ในหินย้อยพวกนี้ไม่ได้ซ่อนค่ายกลสังหารไว้ และยิ่งไม่มีไอชั่วร้ายเงามืดที่พร้อมจะคืนชีพทุกเมื่ออยู่

“คุณชายโจวโหยวเป็นอัจฉริยะแห่งมหามรรคในร้อยปีมานี้ของสำนักเต๋า เขาอ่านตำราในคลังลับของหอสามวิสุทธิ์สำนักเต๋าครบหมดแล้ว” หนิงอี้หรี่ตาลง พูดงึมงำ “เขากับสวีจั้งเป็นสหายที่ดีต่อกันมาก แม้จะพบหน้ากันไม่บ่อย แต่ก็ไม่มีความลับระหว่างกัน…”

สวีชิงเยี่ยนเงยหน้ามองเด็กหนุ่ม นัยน์ตาฉายแววแปลกเล็กน้อย เพราะหนิงอี้นำพับไฟออกมาจากอกเสื้อ สะบัดสองทีก็ติดไฟขึ้นเอง ในตัวคนนี้มักจะซ่อนสิ่งที่น่าเหลือเชื่อไว้เสมอ ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาดในช่วงเวลาสำคัญ

หนิงอี้ที่ชูพับไฟพูดอย่างจริงจัง “เมื่อหลายพันปีก่อนของสำนักเต๋า คงจะราวๆ เมื่อห้าพันปีก่อน นั่นคือยุคที่สำนักเต๋ารุ่งเรืองที่สุด คนใหญ่คนโตพวกนั้นที่ค้ำจุนสำนักต่างสลายเป็นสายลมไปบ้างแล้ว บางส่วนถูกผู้คนหลงลืมในกาลเวลาที่ไม่รู้จัก”

สวีชิงเยี่ยนสับสนเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่านี่เกี่ยวอะไรกับปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ

“ชีวิตของคนหนึ่ง อยู่ได้นานสุดห้าร้อยปี”

หนิงอี้พลันหยุดเดิน เขาพูดประโยคนี้แล้วก็มองสวีชิงเยี่ยนอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “แต่ก็มีข้อยกเว้น คือจักรพรรดิต้าสุยในปัจจุบัน”

สวีชิงเยี่ยนรู้ว่าฝ่าบาทในตอนนี้มีชีวิตเกินขีดจำกัดมาจนหกร้อยปีแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ยังเป็นงานเลี้ยงวันครบรอบของไท่จง ทั้งใต้ฟ้าคึกคักกันมาก ส่งเสียงโห่ร้องยินดี ผู้คนทั้งหลายร่วมเฉลิมฉลอง

“ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด สำนักเต๋าไม่ได้มีผู้บำเพ็ญที่ก้าวข้ามขอบเขตนิพพานไปถึงก้าวนั้นแค่คนเดียว” หนิงอี้หรี่ตาลง พูดพึมพำ “พวกเขาเหมือนจะห่างจากความเป็นอมตะในตำนานเพียงนิดเดียว แต่แม้จะไม่มีวันไปถึงชั่วชีวิตก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว…ในนั้นมีท่านหนึ่ง มีชื่อว่า ‘มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์’”

มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์หรือ

สวีชิงเยี่ยนใจสั่น จดจำนามนี้ไว้เงียบๆ

“ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ท่านนี้รับเลี้ยงสิงโตไว้ตัวหนึ่ง” หนิงอี้ชำเลืองตามองเด็กสาวข้างหลัง ก่อนพูดเสียงเบา “ติดตามฝึกบำเพ็ญกับมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ สิงโตตัวนี้ได้ผลประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่เปิดสติปัญญา อีกทั้งสายเลือดยังหวนคืนสู่บรรพบุรุษ สร้างตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ในเส้นทางการบำเพ็ญเผ่าปีศาจ เดินเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์”

“ผู้บำเพ็ญบุกไปอย่างกล้าหาญ ไม่มีหยุด ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์ หากไม่เดินก้าวนั้นก็หนีไม่พ้นการกัดกินของเวลา…” หนิงอี้เพ่งสายตา “เมื่อวันนั้นมาถึง หากไม่ลองทะลวงพลังก็จะไม่อาจกลายเป็นการคงอยู่ ‘อมตะ’ ได้ เช่นนั้นก็จะอ่อนแสงลงตลอดกาล เหมือนดาวบนฟ้า ตะวันลับจันทราขึ้น ไม่เปล่งแสงสว่างอีก”

สวีชิงเยี่ยนพูดงึมงำ “หลังจากมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ตาย สิงโตนั่นของเขา…ก็คือปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณในตอนนี้หรือ”

“เดิมทีเรื่องพวกนี้ไม่อาจรู้ได้ ไม่มีบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่รู้ได้คือปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณก่อคลื่นยักษ์ในเขตปีศาจ กลายเป็นมหาปราชญ์เผ่าปีศาจ เดินหน้าไปอย่างกล้าหาญ แต่จุดเริ่มต้นสูงยิ่งแล้ว จึงต้องเดินเส้นทางที่แปลกไปเรื่อยๆ มีหัวงอกออกมาอีกแปดหัว จุดดาราชะตาเก้าดวง”

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “มีจุดหนึ่งที่มั่นใจได้ ในช่วงที่ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณมีชื่อเสียง ก็คือหลังจากมหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ได้สิ้นชีพไปในใต้ฟ้าต้าสุยแล้ว”

สวีชิงเยี่ยนมีความคิดในใจ

ทุกอย่างอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ และอาจจะเป็นความจริงสุดท้าย

สองคนเดินหน้าไปเงียบๆ พับไฟของหนิงอี้ส่ายไปบนผนังหิน สะท้อนเงาที่มืดสว่างไม่แน่นอน

ก็เหมือนสีหน้าเขาตอนนี้ เหมือนลังเลอะไรบางอย่างว่าจะพูดหรือไม่

ผ่านไปครู่หนึ่ง

หนิงอี้เอ่ยขึ้นช้าๆ

“คุณชายโจวโหยวเคยเห็นภาพเหมือนในหอยอดวิสุทธิ์ มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ที่มีอำนาจสั่นสะเทือนใต้ฟ้าต้าสุย ความจริงแล้วเป็นสตรี”

หลังเอ่ยจบ พับไฟในมือหนิงอี้พลันวูบดับลง

นอกผนังหินมีเสียงน้ำไหลหลาก เดินจนสุดทางผนังหินแล้ว สายลมเงามืดจู่โจมเข้ามา พับไฟดับลง

สวีชิงเยี่ยนที่เดิมทีกำลังเพ่งสมาธิระดับสูง ตอนนี้ตกใจสะดุ้ง

หนิงอี้จุดพับไฟใหม่ ชูพับไฟขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว

ผนังหินตรงหน้ามีคนเอาปลายพู่กันวาดเป็นรอยจุดดาราอย่างมีพลัง

นั่นเป็นภาพสตรี ถือแส้จามรีตรงอก ตรงเอวมีกระบี่เจ็ดดาราที่ตัวกระบี่เรียบแบบห้อยอยู่เล่มหนึ่ง บนตัวเหมือนคลุมด้วยเมฆหมอก ใบหน้าปกคลุมอยู่กลางหมอก มองไม่เห็นความจริง ไม่อาจเห็นใบหน้าแท้จริงได้ แต่ดูจากลักษณะก็เห็นถึงความเป็นเซียน…น่าเสียดาย ภาพเหมือนนี้ไม่สมบูรณ์ แม้จะห่างไปในยุคสมัยเนิ่นนาน ก็ไม่เหมือนวัตถุโบราณที่จะอยู่คู่กับที่พำนักเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ

สวีชิงเยี่ยนพูดพึมพำ “มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์…”

หนิงอี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

ปรมาจารย์สุสานผู้ใต้บัญชาราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรคนนั้นเคยมาที่นี่

อาจจะเป็นปรมาจารย์ท่านนั้นที่วาดภาพฝาผนังเช่นนี้ไว้ เพื่อยืนยันการคาดเดาของผู้บำเพ็ญมากมายในตอนนั้น

หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “สวีจั้งเคยบอกข้าว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์…ยังไม่ตาย”