ตอนที่ 144 ชีวิตเราเหมือนดั่งละครที่ต้องอาศัยทักษะการแสดง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

ฮองเฮามุ่นคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางถูกองค์หญิงหมิงฮุ่ยโกรธไม่น้อยเลยโบกมือปัด “ข้าคุมเจ้าไม่อยู่และก็ไม่ได้อยากคุมด้วย หากมีอะไรเจ้าก็ไปทูลฝ่าบาทเอาเองเถิด”

องค์หญิงหมิงเวยมององค์หญิงหมิงฮุ่ยแวบหนึ่งอย่างนึกกังวล นางเข้าใจเสด็จพ่อของตนดียิ่งกว่าน้องหญิงห้าเสียอีก แต่ไหนแต่ไรมาความโปรดปรานของฮ่องเต้มักพึ่งพาอะไรไม่ได้ หากคุณชายเว่ยยืนกรานจะสืบหาต้นตอจริงๆ เสด็จพ่อไม่มีทางเข้าข้างน้องหญิงห้าแน่นอนถึงแม้เขาจะเคยรักใคร่ปกป้องนางแค่ไหนก็ตาม เพียงแต่น่าเสียดายคนที่ไม่เคยเจอความพ่ายแพ้ล้มเหลวสักครั้งอย่างน้องหญิงห้ากลับไม่เข้าใจเหตุผลนี้

“กราบทูลฮองเฮา แม่นางเชียนหลิงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นอกประตู หมอหลวงเดินเข้ามากราบทูลด้วยเสียงนอบน้อม

ฮองเฮาเอ่ยถามเสียงขรึม “ตอนนี้แม่นางเชียนหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอหลวงกล่าว “เหมือนว่าแม่นางเชียนหลิงจะเกิดมาพร้อมกับโรคหัวใจ ถึงแม้จะไม่ถือว่าสาหัสอะไรแต่สุขภาพกลับอ่อนแอมาก หากไม่รีบรักษาให้ทันท่วงที เกรงว่า…” หมอหลวงไม่กล้าพูดต่อ เกรงว่าวันคล้ายวันพระราชสมภพพระชนมายุครบห้าสิบพรรษาของฝ่าบาทจะมีคนตายได้เลยจริงๆ หากมีคนตายในวังเช่นนี้จะถือเป็นเรื่องอัปมงคลมากทีเดียว หมอหลวงที่ทำงานไม่สำเร็จอย่างพวกเขาก็คงมิอาจเลี่ยงถูกฝ่าบาทระบายอารมณ์เป็นแพะรับบาปไปด้วย เมื่อนึกถึงตรงนี้หมอหลวงก็อดยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากไม่ได้

“ไม่เป็นอะไรก็ดี ข้าไปดูอาการแม่นางเชียนหลิงหน่อยแล้วกัน” ฮองเฮาเอ่ยพลางลุกขึ้นแล้วหันไปเหลือบมององค์หญิงหมิงฮุ่ยที่ทำสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “หมิงฮุ่ยเจ้าไม่ต้องไป รออยู่ที่นี่ไปก่อน”

องค์หญิงหมิงฮุ่ยแค่นเสียงเบาอย่างไม่เห็นด้วย

คิดว่านางอยากจะไปเยี่ยมนังจิ้งจอกนั่นนักหรือไง

เชียนหลิงเป็นสาวงามหน้าตาสะสวย ถึงรูปโฉมของนางจะไม่ได้เรียกว่างามล่มเมืองแต่อย่างใด ความจริงหากพูดถึงรูปโฉมอย่างเดียวเหมือนว่านางจะยังห่างไกลมาตรฐานสาวงามล่มเมืองอยู่มากโข สีหน้าของนางซีดเซียวเกินไป ขนคิ้วบางไปเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากก็ดูเรียวบางและซีดขาวอยู่บ้าง แต่บุคลิกของนางกลับชวนให้คนหลงใหลไม่น้อย มู่ชิงอีเจอสาวงามมานับไม่ถ้วน ในหอนางโลมชุ่ยหงมีทั้งสาวหุ่นอวบอิ่มผอมบางหลากหลายเต็มไปหมด รวมถึงสาวนิสัยขี้ออดอ้อน อ่อนช้อย อ่อนโยนและใบหน้างดงามต่างมีครบครัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่มีผู้หญิงบอบบางที่ไหนจะชวนให้รู้สึกว่าช่างงดงามจนทำให้รู้สึกหวั่นไหวได้ขนาดนี้เลย

ตอนที่พวกนางเข้าไปก็เห็นสาวร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อนพักเอนกายอยู่บนตั่งนั่งที่มีเบาะรองหลังฉากกั้นลม อาการหลังจากฟื้นขึ้นมายังดูสับสนอยู่บ้างหรือจะเรียกได้ว่าสีหน้ายังดูไม่ดีและเสื้อผ้ายังจัดไม่เป็นระเบียบดีนัก นางทำได้แค่เอนกายบนตั่งอย่างเกียจคร้าน มองมาทางพวกนางด้วยท่าทีอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรง ทว่ากลับทำให้พวกสตรีที่เดินเข้ามาอดชะงักไม่ได้ นางไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอจนชวนให้รู้สึกเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับชวนให้รู้สึกเห็นใจจนอยากปกป้องมากกว่า หากแม้แต่สตรีด้วยกันอย่างพวกนางยังมีความคิดเช่นนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มอย่างคุณชายเว่ยเลย เว่ยอู๋จี้เก็บซ่อนคู่หมั้นคนนี้ไม่ให้เจอใครมาตลอดเช่นนี้ก็พอเข้าใจเหตุผลได้

“เชียนหลิง…ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”

เชียนหลิงไม่รู้จักใครสักคนที่นี่เลย แต่อย่างน้อยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สง่างามบนเรือนร่างฮองเฮานางยังพอดูออกบ้างจึงอยากรีบนั่งตัวตรงเพื่อทำความเคารพฮองเฮา เพียงแต่ร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัวอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเกินไป พยายามอยู่หลายทีแต่ก็หยัดกายลุกขึ้นไม่ได้

ฮองเฮาเอ่ยพลางอมยิ้มบาง “ไม่ต้องมากพิธีรีตองนักหรอก แม่นางเชียนหลิงยังไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่”

ใบหน้างดงามหมดจดของเชียนหลิงนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “เชียนหลิงไม่เป็นไรเพคะ ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วง” ฮองเฮาถอนหายใจเอ่ย “องค์หญิงห้าไม่รู้ความ โปรดแม่นางอภัยให้นางด้วยเถิด” ถึงแม้ปากบอกว่าจะไม่ยุ่งกับองค์หญิงหมิงฮุ่ยอีก แต่พออยู่ต่อหน้าเชียนหลิงฮองเฮากลับยังช่วยพูดแทนนางบ้าง ถ้าเชียนหลิงพอจะอภัยให้นางได้ ถึงแม้คุณชายเว่ยจะเค้นถามเรื่องราวขึ้นมาก็คงไม่ทำจนน่าเกลียดเกินไป

“ห้า…องค์หญิงห้า…” เหมือนว่านางจะคิดอะไรขึ้นได้ก็พลันหน้าซีด จากนั้นน้ำตาก็ไหลอาบนองหน้าทันทีแล้วเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “ฮองเฮาทรงตรัสเกินไปแล้วเพคะ เป็นเชียนหลิง…เป็นเชียนหลิงที่ไม่คู่ควรกับคุณชายเว่ยเอง องค์หญิงต่างหากที่เพียบพร้อมทุกด้าน อีกทั้งยังเกิดมาในตระกูลสูงส่ง เชียนหลิง…เชียนหลิงมิอาจเทียบเทียมได้ เป็นเชียนหลิงเองที่ไม่คู่ควรกับคุณชายเพคะ…”

“ใครว่าเจ้าไม่คู่ควรกับข้ากัน” ประตูด้านนอกถูกผลักเปิดอย่างแรง เว่ยอู๋จี้ในชุดสีม่วง ใบหน้าอันหล่อเหลาปรากฏความดุดันพร้อมรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็กวาดสายตาเย็นชามองทุกคนในนั้น ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ร่างบางของเชียนหลิง

“อู๋จี้…” ทันทีที่เห็นเว่ยอู๋จี้ เชียนหลิงก็เหมือนได้เจอเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของนางจึงโผตัวเข้าหาเว่ยอู๋จี้โดยไม่สนใจร่างอันไร้เรี่ยวแรงของตนเลย เว่ยอู๋จี้สีหน้าขรึมเล็กน้อยแล้วรีบเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โอบร่างของเชียนหลิงที่ใกล้ตกเตียงมาไว้ในอ้อมกอดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก ทว่าน้ำเสียงที่ใช้พูดคุยกับเชียนหลิงกลับนุ่มนวลมาก “เหตุใดถึงไม่ระวังเช่นนี้ ถ้าหกล้มไปจะทำเช่นไร”

“อู๋จี้…” เชียนหลิงงุดหน้าลงด้วยความน้อยใจแล้วเอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาได้เล่า ไม่ใช่ว่ามีธุระหรอกหรือ”

เว่ยอู๋จี้เอ่ยเสียงอ่อนโยน “หากข้าไม่มาแล้วเจ้าจะทำเช่นไร เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ข้าไม่ควรให้เจ้าเข้าวังมาคนเดียวเลย”

เชียนหลิงขบริมฝีปากซีดขาวเบาๆ แล้วมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเว่ยอู๋จี้นิ่งงันไป หยาดน้ำตาคล้ายผลึกใสคลอเบ้าเอ่อล้นออกมา นางพิงกายในอ้อมอกของเว่ยอู๋จี้ จากนั้นก็ดึงมือเขาเบาๆ แล้วเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้ถูกใครรังแกเลย…”

เว่ยอู๋จี้แค่นเสียงเบาสื่อว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของนางสักนิด

ครั้นเห็นเว่ยอู๋จี้นั่งบนตั่งปลอบใจเชียนหลิงไม่สนใจใครราวกับทุกคนรอบกายไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง ขนาดคนนิสัยใจเย็นอย่างฮองเฮาก็ยังอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าอยู่บ้าง แต่นางก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร เพียงแค่ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเราออกไปก่อนเถิด”

พอเห็นทุกคนออกมา องค์หญิงหมิงฮุ่ยก็รีบถลาตัวเข้าไปหาทันทีแล้วมองด้านหลังพวงนางอย่างนึกสงสัย เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักว่า “เสด็จแม่ คุณชายเว่ย…” ฮองเฮาขึงตาใส่องค์หญิงหมิงฮุ่ยอย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “คุณชายเว่ยอยู่เป็นเพื่อนแม่นางเชียนหลิงด้านใน”

องค์หญิงหมิงฮุ่ยสีหน้าพลันซีดเผือด ขบริมฝีปากแน่นแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก

องค์หญิงหมิงเวยถอนหายใจแล้วส่ายศีรษะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “เชียนหลิงผู้นี้…มีความสัมพันธ์กับคุณชายเว่ยดีไม่เลวเลย” ความจริงองค์หญิงหมิงเวยอยากสื่อว่าดูท่าเชียนหลิงผู้นี้จะไม่ธรรมดาเลย แต่กลับกังวลว่าหมิงฮุ่ยที่กำลังฟังอยู่ข้างๆ จะออกไปทำเรื่องโง่ๆ อีก จนสุดท้ายคนที่เสียเปรียบก็คือตัวนางเอง

มู่ชิงอีพยักหน้ายิ้มกล่าว “คุณชายเว่ยรักแม่นางเชียนหลิงอย่างลึกซึ้งจริงๆ” ครั้นได้ยินเช่นนั้น องค์หญิงหมิงฮุ่ยก็ถลึงตาจ้องมู่ชิงอีอย่างดุดันทว่ามู่ชิงอีกลับไม่สนใจ ถึงแม้จะเจอกันเพียงครั้งเดียวแต่นางดูออกว่าคุณชายเว่ยเป็นห่วงแม่นางเชียนหลิงผู้นี้มากจริงๆ ชั่ววินาทีที่เชียนหลิงเกือบตกเตียงเมื่อครู่ คุณชายเว่ยรีบพุ่งผ่านตัวพวกนางไปซึ่งเห็นได้ชัดว่าใช้กำลังภายในตัวเบาด้วย ถ้าจนถึงตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเว่ยอู่จี้เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจคนหนึ่ง เช่นนั้นก็เป็นการยืนยันว่าเรื่องที่เว่ยอู๋จี้เป็นวรยุทธน่าจะเป็นความลับ แต่เพราะเชียนหลิงกลับยอมหลุดความลับของตัวเองอย่างไม่นึกสนใจ เพราะเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าเชียนหลิงสำคัญกับเขามาก แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เว่ยอู๋จี้คิดว่าทั้งห้องมีแต่สตรีที่ไม่เป็นวรยุทธอะไรทั้งนั้นจึงไม่น่ามีใครมองความลับของเขาออก ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเว่ยอู๋จี้เป็นวรยุทธ ด้วยสายตาของมู่ชิงอีแล้วคงมองไม่ออกเช่นกัน อย่างมากนางก็แค่คิดว่าเว่ยอู๋จี้เดินเร็วเหลือเกิน

ขนาดองค์หญิงหมิงเวยยังมองออกว่าเชียนหลิงไม่ธรรมดา มู่ชิงอีย่อมต้องดูออกเช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เชียนหลิงเป็นหญิงที่ร่ายกายอ่อนแอคนหนึ่ง อีกอย่างตัวนางเองก็ไม่ได้มีครอบครัวเป็นแรงหนุนนำทรงอิทธิพลอะไร หรือจะกล่าวว่าแรงหนุนนำระหว่างนางและเว่ยอู๋จี้มีเพียงความรู้สึกทั้งนั้น แต่เว่ยอู๋จี้เองกลับเป็นคนที่โดดเด่นจนแม้แต่องค์หญิงผู้สูงส่งยังหลงรักเขาตั้งแต่แรกพบได้ หากเชียนหลิงจะนึกกังวลก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก หากนางเป็นเพียงกระต่ายขาวตัวน้อยที่ไม่มีพิษภัยอะไรเลย เกรงว่าอาศัยแค่ความรู้สึกอันลึกซึ้งของพวกเขาสองคน เชียนหลิงคงถูกพวกหญิงสาวที่อยากได้เว่ยอู๋จี้จนตัวสั่นเหล่านั้นกินไปหมดแล้ว เชียนหลิงเป็นคนแบบไหนนางไม่สนใจทั้งนั้น ขอแค่ไม่มีความขัดแย้งใดกับตนก็พอ

ตอนต่อไป