ตอนที่ 122 สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มกับอากาศเดือนหก

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 122 สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มกับอากาศเดือนหก

ทว่าคุณชายหนิงยังยืนกรานจะให้เงินแก่หลินเว่ยเว่ย เพราะเชื่อว่าสูตรขนมไหว้พระจันทร์นี้จะนำผลกำไรคืนมาสองเท่าหรือมากกว่านั้นในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้ และนี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลแล้ว นางควรได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่หรือพวกเครื่องประดับบ้าง

เมื่อออกมาจากร้านของคุณชายหนิงแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เก็บตั๋วเงินพร้อมกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “คุณชายหนิงเป็นคนดีมีน้ำใจ ข้าบอกว่าไม่รับเงินแต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะให้…”

ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พ่อค้ามักเห็นแก่ผลประโยชน์ เขาบอกจะซื้อสูตรขนมไหว้พระจันทร์ด้วยเงินจำนวน 200 ตำลึง ก็ต้องเป็นเพราะสูตรของเจ้าจะนำผลกำไรมาให้เขามากกว่านั้น หากไม่ให้เจ้าลิ้มรสความหอมหวานสักหน่อย แล้วคราวหน้าเจ้าจะหน้ามืดเอาของดี ๆ มาส่งให้เขาได้อย่างไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยความงุนงง “บัณฑิตน้อย เจ้ามีความแค้นอันใดต่อคุณชายหนิงหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก ข้าทำไปเพราะใคร ? เด็กตัวแสบไร้หัวใจเอ๋ย ถ้าไม่ได้ข้าคอยจับตามอง เจ้าก็คงโดนสูบเลือดสูบเนื้อจนหมดตัวไปแล้ว !

ขณะมองแผ่นหลังของบัณฑิตหนุ่มที่สะบัดพัดแล้วเดินออกไป หลินเว่ยเว่ยก็ยื่นมือเข้าไปคว้าตัวเขาไว้ “บัณฑิตน้อย เหตุใดเจ้าโมโหอีกแล้ว ? นี่เจ้าเป็นหาวจูหยีหรือไร ? ”

เจียงโม่หานหันกลับมามองนางอย่างเย็นชา นัยน์ตาไร้รอยยิ้มแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้โมโห ! ข้าจะโมโหสิ่งใด ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือ มีผลประโยชน์ของข้าหรือไม่ ? แล้วเหตุใดข้าต้องแสร้งทำตัวเป็นคนชั่วผู้ไร้คุณธรรมด้วย ? ”

ไฟโทสะของเจียงโม่หานลุกโชนครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่รู้ตัวว่าเป็นอันใด แต่พอเห็นเด็กตัวแสบพูดคุยพลางยิ้มและหัวเราะใส่เจ้าคนแซ่หนิงจนสนิทสนมถึงขั้นจะเรียกกันว่าพี่น้อง เขาก็รู้สึกโมโห…จนอยากทำให้บุรุษแซ่หนิงทำการค้าต่อไปไม่ได้และหายไปจากสายตาตลอดกาล !

แต่…เขาก็กังวลว่าเด็กตัวแสบจะหาคนร่วมมือทางธุรกิจรายใหม่ไม่ได้แล้วจะกระวนกระวายขาดสติจนไปเจอกับพ่อค้าชั่ว…

ข้าเป็นคนใจแข็งและไร้เมตตามาโดยตลอด แล้วตัวข้าเปลี่ยนไปเหมือนสตรีตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

“เฮ้เฮ้ ! โกรธจริงแล้วหรือ ? บัณฑิตน้อย ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพราะหวังดีกลัวข้าจะเสียเปรียบ ใช่ว่าข้าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณหรอก ข้าน่ะจดจำใส่ใจเสมอ…”

เจียงโม่หานยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้ามีหัวใจด้วยหรือ ? มีสมองเช่นนั้นหรือ ? ข้าเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้รักษาระยะห่างกับบุรุษ แล้วเจ้าล่ะ ? แค่พริบตาเดียวก็ทำเป็นหูทวนลม เจ้าบริสุทธิ์ใจและไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่คนแซ่หนิงจะไม่เข้าใจด้วยหรือ ? หนิงซานเกอ ? เฮอะ ฐานะพ่อค้าอย่างเขาก็คู่ควรด้วยหรือ ! ”

หลินเว่ยเว่ยทำหน้าใสซื่อ บัณฑิตหนุ่มเอ่ยหนึ่งประโยคนางก็พยักหน้ารับทันที นางทำตัวเหมือนหนอนตัวหนึ่ง แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย ทว่าในขณะเดียวกันนางก็สัมผัสได้ว่าบัณฑิตหนุ่มเปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อก่อนเขาทำให้นางรู้สึกว่านอกจากน้าเฝิงแล้วเขาจะไม่สนใครอีก เขาทำตัวราวกับคนนอกที่ยืนมองเหตุการณ์รอบกายด้วยสายตาเย็น แม้ตอนนี้ยังนิสัยเสียไปหน่อย แต่ก็เรียนรู้ที่จะห่วงใยผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล ซึ่งคนที่โดนต่อว่าเช่นนางก็มีความสุขมาก !

เจียงโม่หานเผยสีหน้าอึดอัดใจแล้วกล่าวพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม “ช่างเถิด ! พูดมากไปก็ไร้ค่า เจ้าก็หัดดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน ! ”

“บัณฑิตน้อย อย่าโมโหสิ ! ประเดี๋ยวกลับไปแล้วข้าจะทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะให้ รับรองว่าเจ้าไม่เคยกินมาก่อนแน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าบัณฑิตหนุ่มชอบกินขนมหวานแต่ไม่ชอบขนมในตลาดเพราะหวานเลี่ยนเกินไป สรุปก็คือเป็นคนเรื่องมากนั่นเอง !

เจียงโม่หานจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เห็นข้าเป็นหนูทดลองเสียมากกว่า พอทดลองรสชาติว่าผ่านก็จะเอามาถวายต่อหน้า ‘คุณชายหนิง’ ของเจ้าอีกหรือ ? ฮึ ! สูตรราคา 200 ตำลึง บอกจะให้เปล่าก็ให้เลย เหตุใดข้าไม่รู้มาก่อนว่าบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินเป็นคนใจกว้างเช่นนี้ ? ”

เฮ้อ ! เอาอีกแล้ว ! บัณฑิตหนุ่มกับคุณชายหนิงต้องมีความแค้นต่อกันเป็นแน่ ! ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รีบพูดว่า “ข้าไม่ได้ยกสูตรให้เขาเพราะน้ำใจเสียหน่อย แบบนี้เรียกว่าถอยก่อนแล้วค่อยรุกต่างหาก ! ส่วนขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะข้าทำให้บ้านเรากินเท่านั้น ไม่ได้เอามาแลกเป็นเงินหรอก พอใจหรือไม่ ? ”

ไม่ว่าอย่างไรช่วงนี้นางก็ทำเงินได้จากคุณชายหนิงกว่าหนึ่งพันตำลึงแล้ว อีกทั้งที่บ้านก็ยังไม่มีค่าใช้จ่ายอันใดในตอนนี้ด้วย !

แม้เจียงโม่หานจะยังแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่หลินเว่ยเว่ยสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขาคือ ‘เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย’ เฮ้อ สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มช่างแปรปรวนไม่ต่างจากอากาศในเดือนหก…คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ทันทีทันใด !

“เอ่อคือ…” หลิวว่ายจื่อที่เดินตามทั้งสองอยู่ด้านหลังก็อ่านสีหน้าคนออก ในเวลานี้จึงกล้าเอ่ยขึ้นมาว่า “หลานสาว แล้วเรื่องของข้า…”

ตอนนี้หลินเว่ยเว่ยจึงนึกออกว่ายังมีเขาอีกคน นางจึงหันไปพยักหน้าให้ “คุณชายหนิงเห็นด้วยแล้วจะให้ท่านทดลองทำงานก่อนสองวัน อาว่ายจื่อ ท่านทำให้ดีล่ะ ! ”

หลิวว่ายจื่อรีบพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ต่อจากนั้นก็ให้คำรับประกันว่า “วางใจได้ ! ข้าจะไม่ทำให้หลานสาวต้องขายหน้าเด็ดขาด ! ”

ต่อจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางมาที่ท่าเรือ เมื่อเห็นห้องแถวทั้งแปดห้องและถามถึงราคาแล้ว หลิวว่ายจื่อก็อดที่จะลิ้นพันกันไม่ได้ “คุณชายหนิงช่างร่ำรวยเสียจริง หากว่าห้องแถวเก่านี้อยู่ในหมู่บ้านราคา 100 ตำลึงก็ยังไม่มีคนซื้อเลย ส่วน 1,000 ตำลึง…แฮะแฮะ ! ”

คนโง่เขลามักมีเงินมาก ! ทว่าเขาไม่กล้าพูดประโยคนี้ออกมา เนื่องจากตอนนี้สิ่งที่เขากินอยู่ล้วนเป็นของที่คนโง่เขลาประทานมาให้ทั้งสิ้น !

จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็แนะนำหลิวว่ายจื่อแก่หัวหน้าคนงาน “ในอนาคตถ้ามีปัญหาอันใดก็ให้มาหาเขา ! ”

จากนั้นนางก็หันมาพูดกับหลิวว่ายจื่ออีกครั้ง “ท่านลองทำความคุ้นเคยกับลุงหวางคนนี้ไปก่อน ท่านทำบัญชีเป็นหรือไม่ ? ”

“บัญชีหรือ ? ใช้พู่กันน่ะหรือ ? ตัวอักษรรู้จักข้าแต่ข้าไม่รู้จักพวกมันหรอก แฮะแฮะ ! ” หลิวว่ายจื่อเกาศีรษะจนผมยุ่งเหยิงไปหมดพร้อมฉีกยิ้มเขินอาย

เนื่องจากกลัวหลินเว่ยเว่ยจะทอดทิ้ง หลิวว่ายจื่อจึงรีบกล่าวว่า “แต่ข้าคิดบัญชีเก่งเพราะตอนเล่นพนัน ใครติดข้าเท่าไหร่ ข้าจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ผิดแม้แต่อีแปะเดียว”

หลินเว่ยเว่ยคิ้วกระตุก ส่วนหลิวว่ายจื่อกลับหัวเราะแล้วกล่าวต่อ “ข้าไม่มีงานทำจึงไปเล่นพนัน…เจ้าอย่านำเรื่องนี้ไปบอกแม่ข้าเชียวล่ะ ถ้านางรู้ล่ะก็ข้าโดนหักขาแน่ ! ”

“รู้ว่าเล่นพนันแล้วจะโดนตี ท่านก็ยังเล่นอยู่หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก

“เมื่อก่อนไม่ได้มีงานทำใช่ไหมเล่า ? ตอนนี้ข้ามีงานดี ๆ ให้ทำแล้ว ใครจะให้ข้าไปเล่นพนันอีกก็ไม่ไปหรอก ! ”

หลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยเตือนว่า “คุณชายหนิงเกลียดผีพนันที่สุด ในเขตเริ่นอันนี้มีวิธีชักจูงผู้คนไปเสี่ยงโชคมากมาย ถ้าท่านไปเกลือกกลั้วกับของไม่ดีแล้วโดนคุณชายหนิงไล่ออก ท่านก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

หลิวว่ายจื่อจึงรีบทุกอกรับประกัน “เจ้าดูถูกอาว่ายจื่อของเจ้าเกินไป เล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นเล็ดลอดสายตาข้าหลิวว่ายจื่อไม่ได้หรอก ส่วนข้าจะไหวหรือไม่ เจ้ารอดูการกระทำของข้าได้เลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยลองยกโจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ มาให้เขาคำนวณสักสองสามข้อ ส่วนหลิวว่ายจื่อก็พอจะพูดพึมพำออกมาได้ แม้ช้าไปบ้างแต่คำตอบที่ได้รับก็ถูกต้อง

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด จากนั้นก็พูดกับหลิวว่ายจื่อว่า “ข้าจะสอนวิธีคำนวณแบบพิเศษให้ท่าน แม้ไม่รู้ตัวอักษรก็สามารถทำบัญชีได้”

หลินเว่ยเว่ยเลือกสอนชุดตัวเลขอารบิกให้ ด้านหลิวว่ายจื่อพอเห็นแล้วก็รู้สึกว่าไม่ยากจึงจดจำเลข 1 – 100 ได้อย่างรวดเร็วและสามารถใช้กิ่งไม้เขียนตัวเลขลงพื้นได้ด้วย

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยยังสอนวิธีบวกและลบเลขสองหลักให้ด้วย หลิวว่ายจื่อก็เงอะงะในช่วงแรกและคำนวณออกมาได้ในที่สุด

หลินเว่ยเว่ยจึงชมเขาว่า “ไม่เลวนี่ ท่านมีศักยภาพที่จะเป็นหลงจู๊ ดังนั้นจงตั้งใจทำงาน แล้วชีวิตในวันหน้าของท่านจะดีไม่แพ้อาเถียนแน่นอน ! ”

พอหลิวว่ายจื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีความสุขขึ้นมาทันที “จริงหรือ ? หลานสาว เจ้าคงไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจกระมัง ? เจ้าฟู่กุยร่ำเรียนที่สำนักศึกษามาหลายปีเชียวนะ ! แล้วคนอย่างข้าจะสามารถแทนที่ตำแหน่งหลงจู๊ของร้านค้าตระกูลหนิงได้หรือ ? ”

ความทะเยอทะยานไม่น้อยเลย แค่นี้ก็คิดจะแทนที่เถียนฟู่กุยแล้ว ทว่าการมีความทะเยอทะยานไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างไรมนุษย์ก็ต้องมีความทะเยอทะยานกับความสามารถรวมกันถึงจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าเจ้าทำตัวเป็นบัวใต้ตม เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจดึงเจ้าขึ้นมาอยู่เหนือน้ำได้ !

ตอนต่อไป