บทที่ 23 อืม...มีความเจริญอาหารมาก

สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก

ณัฐณิชารีบอุ้มกล่องอาหารขึ้นมา แล้วเดินไปยังโต๊ะวางน้ำชาที่ทำจากไม้

หลังจากวางกล่องอาหารแล้ว ณัฐณิชาก็เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนแล้วนะ คุณก็ค่อยๆกินล่ะ”

เอ่ยจบก็จะเดินออกไป แต่ในตอนที่เพิ่งจะหมุนตัว ข้อมือก็ถูกธราเทพจับเอาไว้

“กินด้วยกัน”

“หือ? ฉันก็กินที่นี่ด้วยหรือ”

ณัฐณิชานึกว่าตัวเองมาเพื่อแสดงท่าทางไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าธราเทพจะเชื้อเชิญให้เธอกินข้าวกลางวันด้วยจริงๆ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะเคยบ่น รังเกียจเธอที่ไม่ระวังเรื่องภาพลักษณ์ตอนกินข้าว และยังพูดมากอะไรพวกนี้ จึงคิดว่าธราเทพน่าจะไม่ชอบกินข้าวด้วยกันกับเธอถึงจะถูก

“ภรรยากินข้าวเป็นเพื่อนสามีไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ”

น้ำเสียงของธราเทพดูคลุมเครือ สายตาก็เจือไปด้วยแววหยอกล้อ

ติ่งหูณัฐณิชาเห่อร้อนขึ้นมาทันที แม้เรื่องที่ตัวเองแต่งงานแล้วเป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า แต่สำหรับคำเรียก “สามี” “ภรรยา” แบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกเขินอายอย่างอดมิได้

“อ่อ” เธอใบหน้าแดงระเรื่อ ก้มศีรษะ รวบปลายกระโปรงแล้วงอขานั่งลงบนพรมขนสัตว์ผืนยาวอันอ่อนนุ่ม

“ฉันนั่งกินโซฟาแล้วรู้สึกไม่สบายเท่าไร คุณไม่ถือสาที่ฉันนั่งบนพรมหรอกนะ?”

ธราเทพยิ้มบางๆ “พรมจะทำความสะอาดทุกอาทิตย์ สะอาดมาก คุณนั่งตามสบายได้เลย”

ณัฐณิชายิ้มอย่างสบายใจ “ธราเทพ ฉันพบว่าคุณเป็นคนไม่เลวเลย!”

“หือ?” ธราเทพอารมณ์ดี มองมาทางเธอด้วยความสนใจ

“อืม! เหมือนกับคุณย่าของฉัน!”

“…”

นี่มันคือการเปรียบเทียบประเภทไหนกัน

เมื่อเห็นว่าเขา ธราเทพได้รับการสรรเสริญมานับไม่ถ้วน และเป็นครั้งแรกที่ถูกคนชมเชยแบบนี้ จึงมีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาในชั่วพริบตา

ณัฐณิชาก็หยิบอาหารออกมา พลางเอ่ยอธิบายว่า “ตอนที่ยังเด็ก ฉันกับคุณย่าจะกินข้าวบนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กด้วยกัน แต่ที่บ้านคุณย่าไม่มีม้านั่งที่เหมาะสม แต่ละตัวล้วนสูงมาก เมื่อฉันนั่งลง ก็ต้องงอตัวจนรู้สึกทรมาน คุณย่าจึงให้ฉันนั่งกินข้าวบนเบาะไม้สาน และไม่ได้ควบคุมภาพลักษณ์ของฉัน ก็เหมือนกับคุณในตอนนี้ที่ตามใจฉัน”

ณัฐณิชาเอ่ยไม่หยุด เบื้องหน้าธราเทพจึงปรากฏภาพจินตนาการที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่าขึ้นมา

เมื่อมองภรรยาตัวน้อยที่มีท่าทางจริงใจ ในใจก็เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนที่สามารถพูดออกมาได้ชัดเจน

“ข้างนอกที่ควรระวังก็ต้องระวัง อยู่ต่อหน้าผม คุณไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเอง”

“อืมๆ” ณัฐณิชาคีบผักขึ้นมา นัยน์ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “ว้าว แม่บุญสิตาทำอาหารได้น่ากินเกินไปแล้ว!”

“ถ้าอย่างนั้นก็กินให้มาก อ้วนสักหน่อยสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกดี”

ณัฐณิชากำลังจะพยักหน้า แต่ก็ชะงักอย่างกะทันหัน ความหมายของเขาคือตอนนี้สัมผัสเธอแล้วรู้สึกไม่ดีอย่างนั้นหรือ?

เดี๋ยวก่อน เมื่อไรกันที่เขาเคยรับรู้สัมผัสผ่านมือเธอมาก่อน…

ณัฐณิชาก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบกับธราเทพในคืนนั้น หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไปแล้วเธอก็นึกไม่ออกเสียที สรุปว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นหรือว่าไม่ได้เกิดขึ้นกันแน่นะ?”

“คือว่า… ธราเทพ ฉันถามคุณคำถามหนึ่งนะ”

“อืม” ธราเทพวางตะเกียบลง

เมื่อเห็นท่าทางเป็นทางการของเขาแล้ว ณัฐณิชาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “คุณกินเถอะ พวกเรากินไปคุยไป…”

“ไม่คุ้นชิน คุณพูดมาเถอะว่าอยากจะถามอะไร”

ณัฐณิชาจึงทำได้เพียงแค่วางตะเกียบลง “คือว่า…คืนวันนั้นสรุปว่าพวกเราสองคนมีหรือไม่มี…”

“มี”

ธราเทพเอ่ยแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวใหม่อย่างไม่สนใจ จู่ๆก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปยังณัฐณิชาที่หน้าแดงระเรื่อราวกับผลแอปเปิ้ล “ถ้าหากว่าคุณคิดไม่ออก ผมก็ไม่ถือสาที่จะช่วยคุณรำลึกนะ”