ตอนที่ 182 ไม้ตายหนังสติ๊ก

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

คนกวาดตามองไปยังตัวตึกโดยรอบ หน้าต่างเหล่านั้น ภายในทั้งมืดทั้งดำ ราวกับนัยน์ตาของปีศาจร้ายที่กำลังจดจ้อง

อาวุโสสามที่หลังเขาได้ยินเสียงคนร่ำร้องอีกครั้ง ดังนั้นมันตัดสินใจง้างหนังสติ๊กอีกรอบ “เจ้าอยากร้องเสียงดังนักใช่มั้ย ข้าจะให้เจ้าร้องไห้พอ!”

กล่าวจบ คนเหนี่ยวสายหนังยางสุดล้า โหลดกระสุน ก่อนจะปล่อยออก

โอ๊ย!

หนันกงอู่จี๋ร่วงลงไปกองกับพื้น มงกุฎประดับเศียรร่วงแหลกเป็นเสี่ยงอยู่บนพื้นดิน

จากที่เห็น ไม่ต้องเดาเลยว่าอาวุธลับนั้นต้องร้ายกาจปานไหน ช่างชั่วร้ายนัก

“ผู้ใด? ต่ำช้าไร้ยางอาย ถ้ามีความสามารถก็ออกมา ข้าขอเสี่ยงกับเจ้าแล้ว!”

หนันกงอู่จี๋ระเบิดโทสะ ภายในใจลอบใคร่ครวญ อีกฝ่ายย่อมเป็นยอดยุทธ์งำประกาย ขนาดถูกลอบทำร้ายสองครั้ง มันยังคลำหางอีกฝ่ายไม่เจอ

อาวุโสสามยืนตระหง่านบนก้อนศิลาที่ด้านหลังเขา สองตาสอดส่าย ใบหน้ายินดี “ยังกล้าด่าทอเราผู้เฒ่า เจ้าได้เห็นดีแน่!”

อาวุโสสองรักหน้าตาจิตใจคับแคบ อาวุโสสามไม่อาจตอแยได้

สำหรับกับอาวุโสใหญ่ยิ่งไม่ต้องกล่าว แม้จะเป็นเก้าดวงธาตุสูงสุดเหมือนกัน ทว่าศิษย์พี่ของตนเองหากคิดจัดการมัน เพียงสามกระบวนท่าก็จอดไม่ต้องแจวแล้ว

อาวุโสสามที่ต้องรองรับอารมณ์เสมอมายากนักจะพบพานคนที่ตนเองสามารถรังแกได้ ไหนเลยจะยอมปล่อยผ่านโอกาสอันดีนี้

“ข้าจะให้เจ้าได้ดู กระบวนท่าสองกระสุนรัวต่อเนื่อง!”

เหนี่ยวสาย ขมวดคิ้ว หรี่ตา ปล่อยลม

ปรากฏอย่างไร้ที่สืบสาว ปล่อยออกสู่เป้าอย่างแม่นยำ กระสุนทั้งสองลูกนำพามหาพลานุภาพอสนีบาตวายุอัคคี ทลายดินถล่มฟ้าฟาดฝ่าสมุทร หนึ่งหน้าหนึ่งหลังพุ่งใส่ศัตรู

หนันกงอู่จี๋รวบรวมสติ ปิดตาลง แผ่สัมผัสพลังออกตรวจสอบรอบข้าง

มันเองก็อยากรู้ ครั้งนี้ เป็นผู้ใดลอบโจมตีมัน!

“มาได้ดี!”

หนันกงอู่จี๋ตวาดเสียงกึกก้อง เอี้ยวตัวไปครึ่งหนึ่ง ฝ่าเท้าก้าวออกเป็นท่าเท้าบงกช ร่างวูบไหว ฝ่ามือยื่นออก สั่นไหวราวเสาค้ำฟ้า

ปง!

ลูกกระสุนทะยานเข้าหา ถูกหนันกงอู่จี๋ใช้มือหนีบจับไว้ ไม่อาจฝ่าเข้ามาได้

เกาฟู่ซือแตกตื่น ร้องเชียร์ “อาวุโสพลังฝีมือสูงล้ำสุดยอด ไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด ตัวตลกพวกนั้นไม่อาจทำอย่างไรได้”

หนันกงอู่จี๋หัวร่อฮ่าฮ่า ผ่อนคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นออก “ก็แค่ปาหี่ ที่แท้เพียงเป็นลูกกระสุนดินต๊อกต๋อย”

ปากพูดเช่นนั้น ทว่าภายในใจของมันพลิกคว่ำพลิกหงาย แม้แต่ลมหายใจที่เคยสงบนิ่งก็ไม่อาจสะกดระงับลง

มิผิด ก็แค่กระสุนดินที่ไม่มีใดสะดุดตา เอาไปตากแห้งบดบี้เป็นผงก็เรียบร้อย

ทว่าวัตถุสิ่งนี้แหละ สองลูกที่สร้างความลำบากแก่มันไม่ต้องกล่าวถึง ทว่ากลับสามารถสร้างความเสียหายแก่ร่างดวงธาตุทองคำของมันได้!

กลั่นดวงธาตุ ก้าวล่วงสู่มรรคาดวงธาตุทองคำ สามารถดำรงอยู่พันปี ตลอดร่างรวมทั้งอวัยวะภายในถูกหลอมกลั่นทั่วทั้งร่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ็ดดวงธาตุ สามารถควบกลั่นแกนวิญญาณ ชำระล้างสังขาร ยิ่งสามารถอยู่ยืนยาวได้หลายพันปี

หากคิดต้านทานกระแสแห่งเวลา ยิ่งบ่มเพาะดวงธาตุทองคำให้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่าใด พลังการต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

กระทั่งมีคำว่าไว้ ร่างทองคำของกลั่นดวงธาตุ สามารถฝ่าดงดาบภูเขาอัคคี มหาสมุทรหมื่นเมตรล้วนไม่อาจทำร้ายได้

วันนี้ สุวรรณกายาเก้าดวงธาตุสูงสุดของมัน กลับถูกกระสุนดินปั้นกระแทกเข้าเต็มหน้า กระสุนดินที่ไม่ควรค่าแก่สายตาลูกนั้น

หนันกงอู่จี๋สะท้าน เหงื่อไหลแหมะภายในใจ

หากกล่าวอย่างไม่เกินเลย กระสุนลูกนั้นสามารถทะลวงทะลุขุนเขาพันเมตรได้

กับแค่ดินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง จะเป็นไปได้อย่างไร?

ขณะที่หนันกงอู่จี๋กำลังปลดปล่อย มันกลับไม่ทราบอาวุโสสามพอดียิงกระสุนออกมาสองลูก

มันคว้าจับลูกที่หนึ่งไว้อย่างแม่นมั่น คาดไม่ถึงว่ายังมีกระสุนพิฆาตติดตามหลัง ปะทะเข้าใส่แก้มซ้ายของมันอย่างจังเบอร์

“อ๊ากก!”

คนร้องเสียงอนาถา หนันกงอู่จี๋สองแก้มบวมพองสูงเด่นอย่างมีสีสัน รูปพรรณไม่ต่างจากซาลาเปาสองลูก สีเขียวสีม่วงประสานผสม ดูไปราวแก้มวานรน้อย

” อาวุโส!”

เกาฟู่ซือทรุดลงคว้าร่างของหนันกงอู่จี๋ไว้ ในใจหวาดหวั่นสุดขั้ว หากเป็นตนเองที่โดน มิใช่แหลกลาญไปแล้วหรอกหรือ?

“พวกมันวางกับดักเอาไว้ พวกเราถอยก่อนดีกว่า!” มันเสนอตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ออกมา

น่าเสียดาย ตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดมิใช่ว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป หนันกงอู่จี๋ผลักเกาฟู่ซือออก “เฮอะ เรื่องราวทั้งหลายสำเร็จที่คน วิถีชั่วช้าไร้ยางอายเช่นนี้ ทำอะไรข้าไม่ได้ รีบนำทางไปเร็ว ถึงห้องโถงใหญ่ของพวกมันก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว”

“ขอรับขอรับ”

เกาฟู่ซือสองมือกุมใบหน้า ค้อมเอวต่ำรวมรั้งพลังปราณ ใช้ความทรงจำนำทางไปยังห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทางเหมือนทหารหนีทัพ

อาวุโสหนันกงที่เดินกร่างอย่างยิ่งใหญ่ตลอดมา มันนิ่งใคร่ครวญ ก่อนจะยกแขนเสื้อกว้างหนาเป็นพิเศษของมันขึ้นบังใบหน้าเช่นกัน ร่างสูงเก้าฉื่อหดเหลือห้า ติดตามหลังไปไม่กล้าเดินอวดโอ่อีกต่อไป

อาวุโสสามเก็บสัมผัสเทวะ เก็บหนังสติ๊กลงข้างเอว เหินลงจากภูเขา “เฮอะเฮอะ เด็กน้อย ไปดูหน่อยว่าเจ้ามาทำไม”

ภายในพรรคหลิงเซียว อาวุโสสองกำลังนอนกลางวัน ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนที่เบื้องนอก คนตื่นขึ้น เดินออกไปมองดู

เกาฟู่ซือนำทางหนันกงอู่จี๋ สองคนก้มๆ เงยๆ มาถึงห้องโถงของพรรคหลิงเซียว

ทั้งสองต่างหอบหายใจ มิใช่เพราะเหนื่อยหอบ หากแต่ตื่นตกใจ พรรคหลิงเซียวนี้ฮวงจุ้ยเลวร้ายจริงๆ

ขนาดระดับเก้าดวงธาตุสูงสุดมาเอง ยังต้านไว้ไม่อยู่

ภายในห้องโถงใหญ่ อาวุโสใหญ่พลันเบิกตาขึ้น จัดแจงปัดธุลีบนเสื้อผ้าอาภรณ์ เดินออกมาด้วยท่วงท่าราวเซียนเหิน

อาวุโสหนันกงยังคงกุมใบหน้าที่ชาด้าน “เจ้า ไปเคาะประตู”

“เอ๋?” เกาฟู่ซือทำหน้าโง่งม ภายในห้องโถงใหญ่ย่อมต้องมีกับดัก นี่มิใช่ให้มันไปรนหาที่ตายหรือ?

อาวุโสหนันกงเอ่ยด้วยโทสะ “เจ้ากลัวอันใด พิสุทธิ์ไพศาลอย่างเจ้าจะไปมีราคาค่างวดใด พวกมันหากคิดแตะต้องย่อมเริ่มที่ข้า ข้าให้เจ้าเคาะประตูก็เคาะ”

“ขะ ขอรับ” เกาฟู่ซือลอบด่าทอ หากเกิดมีกับดักขึ้นมา เจ้าก็คงทิ้งข้าไว้แล้วหนีไปก่อน แล้วข้าจะไปถกเหตุผลกับผู้ใดได้?

ยิ่งเจ้าศิษย์พรรคหลิงเซียวนั่น ทั้งชั่วร้ายทั้งอำมหิตไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกในร่างมนุษย์ เป็นเสือสมิงแบ่งร่างมา

ยามนี้ตนเองเสนอตัวไปถึงหน้าประตู เกาฟู่ซือทบทวนตนเอง นี่เรียกว่าฆ่าตัวตายหรือไม่?

ไม่รอให้เกาฟู่ซือเคาะประตู ประตูใหญ่ของห้องโถงก็เปิดออกมาเอง ที่แท้เป็นอาวุโสใหญ่ผลักเปิดประตูออกมา มองเห็นเกาฟู่ซือที่ยืนอึ้งตะลึงโง่อยู่ “หือ? เจ้าเด็กนี่ ไฉนหน้าคุ้นๆ”

เกาฟู่ซือรีบประสานมือตรงอก เอ่ยตะกุกตะกัก “เกา เกา มิใช่ เป็นพรรคจอกประกายสิทธิ์เกาฟู่ซือ ขอคารวะอวยพรท่านผู้อาวุโสมีโชคลาภ”

“มิน่าเล่าถึงได้หน้าคุ้นๆ พรรคจอกประกายสิทธิ์นั่นเอง มีเรื่องใด? ข้าจำได้ว่าเจ้ายังติดค้างเงินทองของพรรคหลิงเซียวเรานี่?”

ครั้งกระโน้นพวกมันจัดงานเลี้ยงสังหารขึ้นที่เหลาไกรสร จุดประสงค์เพื่อประสงค์ร้ายต่อฉินจิ่วเกอ

จากนั้น อาวุโสใหญ่คิดลงมือกวาดล้างพวกมันทั้งพรรค กลับได้ฟังมาว่าตัวหลักๆ ของพรรคมันล้วนตกตายสิ้น จึงล้มเลิกไป

“ใช่ ใช่แล้ว ติดค้างไว้ไม่น้อย ผู้เยาว์วันนี้มาเพื่อคืนเงิน”

ไม่ทราบเพราะเหตุใด เกาฟู่ซือยามพบเจออาวุโสใหญ่ ไม่ว่ารัศมีพลัง อำนาจบารมี ไม่ว่ายังไงก็เหนือล้ำกว่าอาวุโสหนันกงไปไกลโข เมื่ออยู่ต่อหน้า ตนเองย่อมไม่ต่างจากเนินเขาลูกน้อยตั้งอยู่หน้ามหาบรรพตถมหิมะ สามารถขยับลิ้นเอ่ยวาจาได้ก็บุญหนักหนาแล้ว

“อืม ถือว่ารู้จักเรื่องราว แต่เรื่องราวผ่านไปนานแล้ว ศิลาวิญญาณที่เจ้าติดค้างไว้ก็…” อาวุโสใหญ่เป็นคนใจกว้าง ใครๆ ก็เรียกหามันเป็นเสี่ยวเหมิงฉาง (ชื่อขุนพลจีนโบราณ มีชื่อเสียงเรื่องใจกว้าง) เดิมทีคิดกล่าวว่าไม่ต้องคืนเงินแล้ว

แต่ว่ายามนั้น อาวุโสสามเหินทะยานมาจากทางหลังเขาพอดิบพอดี พอได้ฟังความก็ต้องร้องเสียงดังออกมา “ศิษย์พี่ ไม่ได้นะ!”

หนันกงอู่จี๋เงยหน้ามองดู ข้างเอวอาวุโสสามห้อยไว้ด้วยหนังสติ๊กสีเงินยวง รัศมีพลังทั่วร่างหนาแน่นหมดจด เมื่อส่งสัมผัสพลังเข้าตรวจสอบ ก็ราวกับขว้างหินลงสู่บึงไร้ก้น สาบสูญไร้ร่องรอย

“เจ้าออกมาทำไม?” อาวุโสใหญ่ปากไม่ต้อนรับคน

เมื่อเอ่ยถึงศิลาวิญญาณแล้ว อาวุโสสามมีความอดทนสูงผิดปกติ จู่ๆ ก็บังเกิดพลังการต่อสู้ไร้สิ้นสุดขึ้นมาทันที “ศิษย์พี่ พรรคจอกประกายสิทธิ์ติดค้างเงินทอง ยังไงก็ต้องคืนให้แก่พรรคเรา ที่จริงนี่เป็นสิ่งที่เราควรได้”

อาวุโสใหญ่ตบบ่าของศิษย์น้อง เผยใบหน้าที่สองออกมา “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องคืน แต่ว่าทั้งหมดล้วนเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง เจ้าเองก็อย่าได้คิดดอกเบี้ยจนมากเกินไป มามา เชิญคุณชายเกาเข้ามาชำระบัญชี”

“ได้เลย!”

อาวุโสสามเหมือนถูกชุบชีวิตใหม่ หนังหน้าเปี่ยมความปรีดามองดูเกาฟู่ซือเดินหลบออกไป

“ไม่เอา ข้ารู้ว่าเจ้าย่อมต้องหาสถานที่ปลอดคนทำร้ายข้า อาวุโสหนันกงช่วยด้วย!”

เกาฟู่ซือร่ำร้องอย่างขมขื่น เรียกร้องให้อาวุโสหนันกงช่วยชีวิตมันอย่างสุดชีวิต

อาวุโสสามในสายตามัน เมื่อรวมกับภาพความประทับใจเมื่อครั้งกระโน้น พลังความชั่วร้ายไม่ด้อยไปกว่าฉินจิ่วเกอ น่าหวาดหวั่นผวาเต็มพิกัด

หนันกงอู่จี๋ขยับลำคอคิดกล่าววาจา พลันพบว่ามีพลังจิตสายหนึ่งกดทับเข้าใส่ตนเอง ถึงขั้นที่มันไม่อาจโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย!

ต้องได้แต่เบิกตามองดูเกาฟู่ซือถูกอาวุโสสามชักนำเข้าไปชำระบัญชีหนี้สิน คาดว่าเงาร่างนั้นคงไม่อาจลบเลือนไปได้ชั่วชีวิต

จวบกระทั่งอาวุโสสามและเกาฟู่ซือจากไปแล้ว พลังกดดันอันมหาศาลสายนั้นค่อยคลายออก ส่งผลให้มันต้องถอนหายใจแรง

จากนั้น อาวุโสใหญ่หมุนกายเดินเข้าในห้องโถงใหญ่ นั่งลง “ทำไม หรือยังต้องรอให้ข้าเชื้อเชิญเจ้าเข้ามาข้างในด้วย?”

“ไม่ ไม่ต้อง” หนันกงอู่จี๋เก็บเพลิงทระนงคืนใส่ในอ้อมอก มิผิด ตนเองเข้ามาพรรคหลิงเซียว ยังไม่ได้สำแดงความเย่อหยิ่งทระนงออกมาแม้แต่เศษเสี้ยว

มิเช่นนั้นมันในตอนนี้คงมิใช่อยู่บนพื้น หากแต่อยู่ใต้พื้น!

อาวุโสใหญ่มีใจต้อนรับแขกเหรื่อ คนตบโต๊ะลุกขึ้นตะโกนก้อง “สวีเซิ่ง ไปตายที่ใดแล้ว ยกชามาเร็ว!”

“ขอรับ!!”

สวีเซิ่งผู้กำลังกวาดพื้นอยู่ได้ฟัง คนทิ้งไม้กวาดพุ่งเข้าห้องครัวทันที ดูเหมือนว่าที่อาวุโสใหญ่เคี่ยวกรำมันจากดวงธาตุขั้นหนึ่งขึ้นไปขั้นสาม หลักๆ ก็คือให้เจ้าหมอนี่เร็วขึ้นอีกหน่อย ส่วนเรื่องอื่นไม่น่ามีประโยชน์เท่าใด

เพียงไม่กี่อึดใจ น้ำชาระอุอุ่นไอร้อนพุ่งก็มาถึง สีสันของน้ำสีเขียวมรกตประดุจน้ำแร่ใส กลิ่นหอมระรื่นอบอวลทั่วทิศ

อาวุโสใหญ่เป็นบุคคลที่ไล่ล่าตามหาการใช้ชีวิตคนหนึ่ง เป็นบุรุษสูงวัยวุฒิที่ตั้งความหวังต่อวันข้างหน้า

ใบชาที่นำมาชงดื่มนี้ เก็บจากสถานที่ใกล้ชายฝั่งเผ่าอสูร เป็นใบชาที่ดีที่สุดในทวีปฉงหลิง หากมิใช่กลั่นดวงธาตุ ยังไม่มีคุณสมบัติดื่มได้

ด้วยศักดิ์ฐานะอาวุโสทรงเกียรติของหนันกงอู่จี๋ แน่นอนว่าย่อมทราบกระจ่างว่าใบชาที่นำมาชงวางต้อนรับบนโต๊ะยามนี้มาจากที่ไหน

หนันกงอู่จี๋แทบจะหยิกฝ่ามือตนเอง สองขาหนีบรั้งสองมือของตนไว้ “เอิ่ม อาวุโส ผู้เยาว์วันนี้มา”

แคร่ก!

อาวุโสใหญ่เปิดฝากา “ดื่มชาก่อน นี่เป็นชาที่ข้าได้มาระหว่างทางไปเยือนเผ่าอสูร”

จากเผ่ามนุษย์ไปยังเผ่าอสูร ต่อให้เป็นเก้าดวงธาตุสูงสุด เดินทางไม่หลับไม่นอนยังต้องใช้เวลานับเดือนๆ ส่วนอาวุโสใหญ่เอ่ยวาจาออกมาเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ คล้ายกับว่าการไปเก็บใบชาเผ่าอสูรมา ยังนับเป็นวาสนาของพวกสัตว์อสูรอีก

หนันกงอู่จี๋ดื่มชาร้อน เลือดลมภายในร่างแล่นฉิว หัวใจเริ่มเต้นอย่างมีชีวิตชีวา ขับไล่ความหนาวเหน็บออกจากร่าง

“ว่ามาเถอะ เจ้ามาที่นี่ทำไม” อาวุโสใหญ่แม้แต่ตายังไม่มองหนันกงอู่จี๋ เป็นดั่งเช่นที่หนันกงอู่จี๋คาดการณ์ไว้ หากมันมาถึงก็อาละวาดประกาศศักดา ยามนี้คงต้องกลบฝังอยู่ใต้พื้นดิน รอคอยฤดูใบไม้ผลิ

หนันกงอู่จี๋เองก็ไม่กล้าปิดบังอำพราง บอกกล่าวเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ

เนื่องเพราะระหว่างนี้ มันพลันได้คิดว่า ตนเองเคยเจออาวุโสใหญ่ที่ไหนมาก่อน!

รวมทั้งตาแก่ที่ข้างสะเอวแขวนหนังสติ๊กผู้นั้น มันเองก็เคยพบเห็นมา!

ผู้ที่ตบสังหารสามสุดยอดเมืองเทียนเอิน วันนั้นตัวมันเองก็อยู่ในเหตุการณ์

ตอนแรกมันมุ่งหน้าไปเมืองเทียนเอิน กลับพบว่าใกล้ๆ เกิดความเคลื่อนไหวของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ผลลัพธ์คือได้เห็นเหตุการณ์ที่อาวุโสทั้งสามประหารฆ่าแหวกชำระกายาขึ้นมา