เมื่อผู้หญิงสองคนนั้นจากไป หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวขอบคุณแม่นมสี่ “แม่นมขอบคุณที่ช่วยชีวิต”

แม่นมสี่กล่าวอย่างเรียบเฉย “พระชายาจี้เป็นคนที่เล่ห์เหลี่ยมลึก พระชายาก็อยู่ห่างๆนางหน่อย”

หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วกล่าว “นางเป็นคนที่เล่ห์เหลี่ยมลึก? กลับรู้สึกว่านางล่อกแล่ก”

แม่นมฉีหัวเราะ “ล่อกแล่ก? นั่นเพราะแกล้งทำ”

หยวนชิงหลิงแปลกใจ “แกล้งทำ? ทำไมต้องแกล้งทำ?”

“คนเราล้วนรู้จักปกป้องตัวเอง” นางรินชาให้หยวนชิงหลิงหนึ่งแก้ว นั่งลงแล้วกล่าว นิสัยของพระชายาฉีก็คือ อาศัยที่ตัวเองเป็นคนฉลาด คิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกอย่าง นางไม่ใช่คนอันตราย หากจะให้พูดถึงสิ่งที่ต้องกังวล ก็เพราะนางเป็นคนของตระกูลฉู่ แต่พระชายาจี้ไม่เหมือนกัน พระชายาจี้เป็นมีความรู้รอบด้านแต่เด็ก เป็นคนมีความรู้สูง นางเป็นที่ปรึกษาที่อยู่เบื้องหลังของอ๋องจี้ พระชายาทราบหรือไม่ว่าสิ่งที่น่ากลัวของพระชายาจี้คืออะไร?

หยวนชิงหลิงถาม “คืออะไร?”

“ก็คือนางที่เก่งขนาดนี้ กลับยินดีที่จะสร้างไมตรีจอมปลอมกับคน ยินดีลดฐานะของตัวเอง ถึงขนาดไม่ใส่ใจเรื่องหน้าตา เช่นนี้แล้วมันง่ายที่จะทำให้ศัตรูมองข้ามเขา นึกว่าเขาเป็นคนที่ล่อกแล่ก เมื่อกี้พระชายาก็คิดเช่นนี้ไม่ใช่รึ?”

หยวนชิงหลิงฟังจนรู้สึกใจสั่น ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าว “ในบรรดาพระชายาของอ๋องแต่ละคน ไม่มีคนที่จริงใจเลยเหรอ? “

“ก็ไม่ขนาดนั้น พระชายาซุนนั้นไม่เลว ก็แค่หยิ่งผยองไปหน่อย แต่หากสนิทแล้ว ก็ไม่มีอะไร?”

อ๋องซุนจอมตะกละ ก็คงไม่แต่งงานกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์ทะเยอทะยานหรอก

คนประเภพเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกัน

เพียงแต่ อ๋องฉีนั้นก็เป็นคนที่ความคิดเรียบง่าย เมื่อแต่งกับฉู่หมิงชุ่ย อนาคตต้องลำบากแน่ ก็คงมีแต่คนโง่อย่างอ๋องฉู่ที่ถูกฉู่หมิงชุ่ยหลอกได้

หยวนชิงหลิงที่คิดเช่นนี้ หัวเราะเจื่อนๆไปสองที ไม่ ยังมีอีกคน ก็คือท่านอ๋องของนาง

อันที่จริงอ๋องซุนมาถึงนานแล้ว เดิมเขาอยากมาแต่เช้าเลย ก่อนที่จะออกมานั้นมีเรื่องทำให้เสียเวลา เดิมเขานึกว่ามาถึงแล้วก็จะได้กินกับข้าวที่เขาสั่งไว้เมื่อวาน คิดไม่ถึงพี่น้องคนอื่นๆก็อยู่ตรงนี้ด้วย ไม่เข้าไปทักทายก็ไม่ดี

“ท่านพี่รอง ไม่เจอกันหลายวัน ทำไมรู้สึกว่าท่านตัวกลมขึ้นมาอีกแล้ว?” ฉีอ๋องกล่าวอย่างตลก

อ๋องซุนกลอกตามองบน เสียงสั่นเล็กน้อย “เจ้าตาบอดหรือไง?”

“พูดเล่นไม่ได้ด้วย?” อ๋องฉีหัวเราะกล่าว

หยู่เหวินเห้ามองอ๋องซุน “ท่านพี่รองเมื่อวานเคยมาแล้วไม่ใช่รึ”

เมื่อวานเขายุ่ง กลับมาถึงที่จวนได้ยินคนในจวนพูดว่าอ๋องซุนมาที่นี่

“เมื่อวานมาแล้ววันนี้มาไม่ได้เหรอ?”

“น้องรองต้องมาอยู่แล้ว เสด็จพ่อได้ประทานพ่อครัวสองคนให้กับจวนอ๋องฉู่ น้องรองก็รีบมาแล้วไง?” อ๋องจี้พูดอย่างหน้าซื่อใจคด

อ๋องจี้มีดวงตาสามเหลี่ยม เวลาหรี่ตาจะมีแสงที่คมกริบ ริมฝีปากบาง ดังนั้นเลยทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนปากร้ายใจดำอยู่เป็นประจำ

อ๋องซุนไม่ชอบท่านพี่คนนี้มากที่สุด ถามหยู่เหวินเห้าโดยตรง “กินข้าวกันหรือยัง? ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”

อ๋องซุนไม่กลัวที่จะล่วงเกินคนอื่น เขาไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น นอกจากกินก็ไม่มีอย่างอื่นที่ชอบ ไม่คุ้มค่าที่เลยที่คนอื่นจะคิดไม่ดีกลับเขา

ฉู่หมิงชุ่ยได้เข้ามาในเวลานี้ หลังจากทำความเคารพแล้วก็ไปนั่งข้างกายอ๋องฉี สายตาลอยไปที่ตัวของหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าตอบคำถามที่อ๋องซุนถามเรื่องกินข้าว เห็นฉู่หมิงชุ่ยเข้ามา มองไปแวบเดียว แล้วกล่าว “ท่านพี่รองอยากจะทานอะไร ข้าจะสั่งคนไปเตรียม”

“ข้านั้นกินง่ายมาก เอาผักเป็นหลัก จากนั้นก็ของเนื้อสัตว์สักสองสามอย่าง” อ๋องซุนกล่าวตามความจริง

หยู่เหวินเห้าก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ฉู่หมิงชุ่ยผิดหวังมาก

ทั้งสองคนไม่แม้กระทั่งที่จะได้สบตาทักทายกัน เขาเปลี่ยนไปแล้วเหรอ?

อ๋องฉีกุมมือนางเอาไว้ กระซิบถาม “ท่านพี่สะใภ้ห้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”

ฉู่หมิงชุ่ยตอบอย่างเรียบเฉย “สีหน้าของนางไม่เลว”

“เจ้าขอโทษนางหรือยัง?” อ๋องฉีถาม

ฉู่หมิงชุ่ยมองเขา ในใจก็ด่าเขาว่าเจ้าโง่ แต่กลับทำได้เพียงถอนหายใจแล้วกล่าว “นี่มันไม่ใช่แค่คำขอโทษคำเดียวก็จะจบเรื่องสักเมื่อไหร่?”

“การขอโทษก็แค่เรื่องของมารยาท พูดอย่างจริงจังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า” อ๋องฉีเข้าใจว่านางรู้สึกโกรธและละอายใจกับการกระทำของเจ้าพระยาหุ้ยติ่งจริงๆ ก็กล่าวอย่างเข้าใจและปลอบใจ

ฉู่หมิงชุ่ยตอบอย่างใจลอยไปหนึ่งคำ เห็นหยู่เหวินเห้าเข้ามาอีกครั้ง นางก็ลุกขึ้นทำความเคารพหยู่เหวินเห้า “ท่านพี่เห้า ข้าขอโทษท่านแทนท่านอาด้วย ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ โชคดีที่พระชายาฉู่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้น ข้าคงละอายใจมากกว่านี้”

น้ำเสียงของนางเหมือนจะร้องไห้ ทั้งตกใจและโกรธ

หยู่เหวินเห้ามองนางแล้วกล่าว “อาการบาดเจ็บของนางนั้นหนักมาก คงพูดไม่ได้ว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะละอายใจ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเจ้า”

ฉู่หมิงชุ่ยฟังคำพูดนี้แล้ว ในใจสับสนอย่างมาก

แม้เขาจพูดอย่างเข้าใจและปลอบใจนาง แต่ว่า ก็ได้เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิงเหมือนกัน

จึงยิ้มอย่างขมขื่น แล้วนั่งลงอย่างใจลอย ดวงตาที่งดงาม กลับมีความโศกเศร้า

จากนั้นพวกเขาคุยอะไรกัน ฉู่หมิงชุ่ยก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะฟัง นั่งอย่างเศร้าหมอง แต่กลับอดไม่ได้ที่จะโกรธ

“น้องรอง ได้ยินมาว่าเจ้าเสนอน้องห้าเป็นเจ้ากรมการพระนคร” อ๋องจี้จู่ๆก็ถามขึ้น

อ๋องซุนเงยหน้าขึ้น ก็ค่อยๆกล่าวขึ้น “ใช่ เสด็จพ่อถามข้าจะเป็นมั้ย ข้าไม่เป็นอยู่แล้ว ก็เลยเสนอน้องห้า”

“ฮึ่ม ไม่เอาไหนเลย” อ๋องจี้กล่าวอย่างเย็นชา

“ก็ข้ารู้จักตัวเองดี” อ๋องซุนตอบกลับอย่างไม่ปรานี

อ๋องฉีถามอย่างสงสัย “แล้วท่านพี่รองทำไมไม่อยากเป็นล่ะ?”

“มันเกินความสามารถของข้า”

“ท่านพี่รองถ่อมตัวไปแล้ว ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าท่านพี่รองบุ๋นบู๊พอได้…………” อ๋องฉีขณะที่พูด ตัวเองก็หัวเราะขึ้นมาก่อน เอาล่ะ คำพูดนี้มันเย้ยหยันเกินไป

อ๋องซุนเชิดตาใส่เขาไปแวบหนึ่ง “ไม่กล้าพูดว่าบุ๋นบุ๊พอได้ แต่ว่าสายตาที่มองคนนั้นใช้ได้อยู่ แวบเดียวข้าก็มองออกแล้ว ความสามารถของเรานั้นพอกัน”

อ๋องฉีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าไม่ได้ตะกละเช่นเจ้า”

“แต่เจ้าโง่เขลา!” อ๋องซุนกล่าว

ฉู่หมิงชุยฟังคำพูดของอ๋องซุน ในใจก็ยิ่งกลัว นางรู้ว่าอ๋องซุนพูดถูก หรือจะพูดว่า อ๋องฉีนั้นยังสู้อ๋องซุนไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นนางทำไมโง่เช่นนี้? นึกว่าเขาเป็นลูกฮ๋องเต้ที่กำเนิดโดยฮองเฮา มีเพียงเขากับอ๋องจี้ที่จะแย่งชิงตำแหน่งกัน แต่ได้ละลายนิสัยที่ขี้เกียจโง่เขลาของเขาไป และได้ลืมไปว่าท่านพี่เห้าถึงจะเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุด

บัดนี้หยวนชิงหลิงเป็นคนที่ได้ไปอย่างง่ายๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ชอบหยวนชิงหลิงจริงๆ

อ๋องจี้มองอ๋องซุนกับอ๋องฉี ในใจรู้สึกว่าสองคนนี้ช่างไม่เหมาะที่จะรับตำแหน่งใหญ่ แม้ว่าอ๋องฉีจะเป็นลูกฮองเฮา เชื่อว่าเสด็จพ่อต้องดูออกว่าความสามารถของเขานั้นธรรมดา

มีแต่เจ้าห้าคนเดียวเท่านั้น………..

สายตาของเขากวาดมองไป พบว่าฉู่หมิงชุ่ยกำลังมองเจ้าห้าอย่างใจลอย แววตาเศร้าสร้อย ทำให้คิดถึงเจ้าห้ากับฉู่หมิงชุ่ยเดิมนั้นจะแต่งงานกัน แต่ได้มีหยวนชิงหลิงมาแทรกระหว่างกลาง ทำลายวาสนาของเขาทั้งสอง

วันนี้มองสายที่เขาสองคนมองกันไปมา นอกเสียว่า ในใจทั้งสองคนยังมีความผูกพันกันอยู่?

ทันใดนั้นร่องรอยของความร้ายกาจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา หากเป็นเช่นนี้ เจ้าห้าก็เป็นคนทำเรื่องอัปยศใส่ตัวเองแท้ๆ

ทังหยางเข้ามารายงานว่าอาหารได้เตรียมเสร็จแล้ว เชิญทุกคนย้ายไปที่ห้องทานอาหาร

อ๋องซุนลุกขึ้นมาเป็นคนแรก มือที่อวบอ้วนได้ซ่อนไว้ด้านหลัง เดินออกไปอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ในปากก็กล่าว “งั้นก็กินก่อนละ จะให้ทนหิวในการพูดก็คงจะไม่ใช่”

วันนี้เหล่าพี่ๆน้องๆและเหล่าเมียๆของแต่ละคนมาทานข้าวด้วยกัน ก็ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากนัก พระชายาสามคนก็นั่งร่วมในโต๊ะกลมด้วย อาหารสิบอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง ผัดผักสามอย่าง นอกนั้นเป็นเนื้อสัตว์ เนื้อห่านฟ้า หูฉลามตุ๋น สันในหมูตุ๋น หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง แค่ไม่กี่อย่างนี้ ก็ทำให้อ๋องซุนน้ำลายไหลลงพื้นแล้ว

อ๋องซุนมองอาหารที่หอมหวนบนโต๊ะ ก็ส่ายหัวอย่างจริงจัง “น่าจะทำพวกผักเยอะหน่อย เนื้อสัตว์กินเยอะไม่ดี”