ตอนที่ 449 – พบกันใหม่หลังจากกันนาน
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเหมยเฟิงผู้นี้จะลงมือใส่โม่เทียนเกออย่างกะทันหัน แล้วโม่เทียนเกอก็เลือกมุมที่ค่อนข้างปลีกวิเวก ข้างกายมีเพียงหลิงอวิ๋นเฮ่อคนเดียว ในชั่วพริบตา ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้โจมตีถูกใบหน้าของโม่เทียนเกอแล้ว
“ฮู่” โม่เทียนเกอกางพัดแห่งสวรรค์และโลกาขวางไว้ตรงหน้า ในเวลาเดียวกัน หมอกอันเกิดจากศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวได้โอบล้อมรอบกาย
ถึงจะเป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอยังคงปลิวออกไปในอึดใจถัดมา โชคดีที่ผ่านการสั่งสอนของฝูเหยาจื่อมาหลายปี ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นมาก การโจมตีอย่างฉุกละหุกของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทีเดียวยังไม่ถึงกับรับไม่ไหว ส่วนอาวุธเวททุก ๆ ชิ้นของนางแทบจะมีประสิทธิภาพในการยับยั้งปราณมารทั้งสิ้น ขณะนี้ถึงจะถูกโจมตีล่าถอย แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป
เหมยเฟิงพลังสภาวะพลุ่งพล่าน ไล่ตามไปทันที “นางสารเลว วันนี้เปิ่นจั้วจะต้องบดกระดูกเจ้าเป็นผุยผงเพื่อระบายความแค้นในจิตใจ!”
“สหายเต๋าเหมย!” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ตะโกน แต่ไม่ได้ลงมือหยุดยั้ง ฝีมือเมื่อครู่ของโม่เทียนเกอเขาเห็นแล้ว รุ่นเยาว์คนนี้มีความสามารถอยู่บ้างจริง ๆ อย่างน้อยที่สุดสามารถต้านทานได้หลายอึดใจ ส่วนเขาก่อนหน้านี้ถูกโม่เทียนเกอทำให้โมโหอยู่หลายรอบ จึงตั้งใจจะให้นางรับความเจ็บปวดสักหน่อยแล้วก็ยื่นมือช่วยชีวิต — ด้วยระดับการฝึกตนของเขา การลงมือก่อนที่นางจะเสียชีวิตยังสามารถกระทำได้
โม่เทียนเกอไม่มีเวลาจะคิดมาก จี้ปลายเท้า คนลอยขึ้นกลางอากาศ แสงในมือวูบวาบไม่หยุด ติดเครื่องรางระดับสูงหลายแผ่นลงบนร่างกายอย่างไม่ขี้เหนียวสักนิด สุดท้าย ยกร่มปทุมาขึ้นมาสกัดปราณมารที่หลงเหลือไว้ภายนอก
เมื่อเห็นนางหนีพ้นจากเงื้อมมือของตนเอง เหมยเฟิงขุ่นเคืองมิรู้แล้ว ร้องหึเสียงเย็นหนึ่งคำ ประกบมือทั้งคู่ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในระหว่างฝ่ามือทั้งคู่ยิ่งมายิ่งมาก ดำราวกับหมึก
รอจนปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มในมือรวบรวมเสร็จสิ้น เหมยเฟิงเผยรอยยิ้มอำมหิต พลิกข้อมือผลักออกไป ผลักก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มออกมา! ก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มนำพาเสียงสายลมกรรโชกเข้ามา
เมื่อเห็นพลังสภาวะนี้ โม่เทียนเกอสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย! หากถูกปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มก้อนนี้โจมตี ชีวิตน้อย ๆ ชีวิตนี้ของนางถึงจะไม่ตายก็ต้องร่อแร่! ในใจนางอดหงุดหงิดไม่ได้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ทราบอยู่ชัด ๆ ว่านางถือกุญแจไว้กับตัว ตอนนี้ไม่ช่วยแล้วยังจะรอไปถึงเมื่อใด?
ถึงจะหงุดหงิดคนเหล่านี้ แต่ตัวนางเองก็ไม่ได้งอมือรับความตาย กดข้อมือ แสงสีทองทอแสงออกมาจากแขน เทลงใส่ร่มปทุมา บนร่มส่องแสงขึ้นมา ในเวลาเดียวกัน คนทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“คิดจะหนีอย่างนี้รึ?” เหมยเฟิงหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง โบกแขนเสื้อ ก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มลอยไล่ตามนางทันที
จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ถึงแม้นางจะได้รับการชี้แนะของฝูเหยาจื่อมาหลายปี ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาก ระดับการฝึกตนก็ถึงก่อเกิดตานเต็มขั้นแล้ว นี่ยังคงเป็นระยะห่างที่ไม่สามารถข้ามผ่าน
โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงก้อนปราณปีศาจแรกที่ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้นั้น ลอบกัดฟัน ได้แต่กำร่มปทุมาไว้แน่น เอาพัดแห่งสวรรค์และโลกากั้นไว้ตรงหน้า หากตาแก่ไม่ยอมตายฝูงนี้ไม่ลงมือ พวกเขาอย่าคิดจะเปิดสถานที่ลับเลย–
“อมิตาพุทธ!” เสียงเอ่ยนามพุทธองค์ดังก้องดุจระฆัง โม่เทียนเกอรู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่าง แสงสีทองสายหนึ่งครอบคลุมลงมา ในเวลาเดียวกัน นางได้ยินเสียงร้องใสกระจ่างของอาวุธ ร่างร่างหนึ่งโผมาราวกับสายฟ้า ขวางอยู่เบื้องหน้านาง
“ตูม–” เสียงดังสนั่น ก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มที่เคลื่อนเข้าใกล้ก้อนหนั้นปะทะเข้ากับแสงสีแดงสายหนึ่ง พริบตานั้นพลังวิญญาณบนเกาะปั่นป่วน เมฆลมเปลี่ยนสี
รอจนลำแสงกระจายหายไป โม่เทียนเกอนิ่งงันแล้ว
นางยืนอยู่กับที่อย่างทึมทื่อ ปล่อยให้ลมแรงอันเกิดจากความผันผวนของลมปราณอันรุนแรงฉีกกระชากรอบด้าน มือคลายออก ร่มปทุมาตกลงไป
“ท่าน……” ครึ่งค่อนวันนางจึงหาเสียงของตนเองเจอ ยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของคนที่อยู่เบื้องหน้า ถัดจากนั้นกลับรีบยื่นมือไปขยี้ดวงตา “ข้าไม่ได้ดูผิดกระมัง”
ฉินซีถอนหายใจ ดึงมือของนาง “เจ้ายังบอกว่าดูแลตัวเองได้ จากกันทีก็ห้าสิบกว่าปี แม้แต่จดหมายก็ไม่มี พอข้าเห็นเจ้า เจ้าก็ต่อสู้เสี่ยงชีวิตกับคนอื่น สรุปว่าเจ้าดูแลตัวเองอย่างไรกัน”
เสียงนี้เจือการต่อว่าต่อขานอ่อน ๆ แต่เต็มไปด้วยความห่วยใยอย่างเข้มข้น
เมื่อยืนยันได้ว่าคนตรงหน้ามิใช่ภาพมายา โม่เทียนเกอคว้าจับมือของเขา สายตามองวน คิดจะพูดอะไร แต่ครึ่งค่อนวันกลับเพียงพูดประโยคเช่นนี้ออกมา “ท่าน……ทำไมกลายเป็นแบบนี้”
นางรู้ว่าศาสตร์หยางบริสุทธิ์ก็สามารถรักษารูปโฉม หลายปีขนาดนี้ รูปโฉมของเขาหยุดอยู่ที่ยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทว่าเขาที่อยู่ตรงหน้า ถึงจะไม่ได้แก่ชรา แต่เห็นได้ชัดว่าแก่ขึ้นหลายปี บนศีรษะยิ่งปรากฏผมหงอกแล้ว! สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
สีหน้าอย่างนี้ของนางทำให้ฉินซียิ้ม เขาลูบศีรษะของนางเบา ๆ เอ่ยว่า “รออีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
โม่เทียนเกอได้สติกลับมา คิดถึงสถานการณ์เบื้องหน้า สูดลมหายใจลึก ๆ สะกดความรู้สึกตื่นเต้นลงไป ถึงนางจะนางจะมีคำถามเต็มอก ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ไม่รู้ว่าเขาเสาะหามาได้อย่างไร ไม่ทราบชัดว่าเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางยืนยันได้แล้วว่าคนเป็นตัวจริง เรื่องพวกนี้สามารถค่อย ๆ ถามรายละเอียดทีหลัง
“สหายเต๋าท่านนี้……” เมื่อเห็นฉินซี อาจารย์เต๋าหยวนมู่หรี่ตา เงยหน้ามองเมี่ยวอิงหยวนจวินที่ตามหลังเขามาติด ๆ เต็มไปด้วยความสงสัย
เมี่ยวอิงหยวนจวินเป็นแม่ชีเต๋าหน้าตาสำรวมอายุดูราว ๆ สามสิบกว่าปี สวมชุดเต๋าไม่ย้อมสี มือประคองแส้ปัด มุมปากมีรอยยิ้มอยู่ตลอด เป็นมิตรใจดีถึงสิบส่วน
“หยวนมู่เต้าซยง สหายเต๋าทุกท่าน เมี่ยวอิงมาสายแล้ว โปรดอภัยด้วย” นางก้มศีรษะนิด ๆ คารวะให้ทุกคน
“เมี่ยวอิงซือเม่ย ระหว่างเราท่านต้องมากพิธีขนาดนี้หรือไร” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ยิ้มแย้มต้อนรับ “ยังไม่ถึงเวลาเลย ไม่นับว่ามาสาย”
คนอื่น ๆ ก็พากันคารวะทักทาย แม้แต่ซูเซียงเจินเจ่อที่อารมณ์ฉุนเฉียวก็ยังมีสายตาเจือแววยิ้มให้นาง ดูท่ามนุษยสัมพันธ์ของเมี่ยวอิงหยวนจวินผู้นี้จะดียิ่ง
รอจนทักทายกันเสร็จสิ้น อาจารย์เต๋าหยวนมู่จึงถามว่า “เมี่ยวอิงซือเม่ย สหายเต๋าท่านนี้เป็นสหายของท่านหรือ”
เมื่อเห็นสายตาระแวดระวังของเขา เมี่ยวอิงหยวนจวินยิ้มเอ่ยว่า “มิผิด ก่อนหน้านี้ไม่นานน้องได้พบกับสหายเต๋าฉินท่านนี้ สนทนากันถูกคอยิ่ง พอดีสหายเต๋าฉินอยากจะมาเสาะหาคนที่ทะเลกุยสวี น้องจึงเชิญเขาร่วมทาง” ว่าแล้ว นางขยิบตา ถ่ายทอดเสียงว่า “หยวนมู่เต้าซยง สหายเต๋าฉินท่านนี้ถึงจะเป็นเพียงจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ความแข็งแกร่งกลับไม่อาจดูเบา เทียบกับผู้ฝึกตนขั้นปลายอย่างพวกเราก็เกรงว่าจะไม่อ่อนแอ”
เมื่อได้ยินวาจานี้ สายตาที่อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองไปทางฉินซีเพิ่มบางสิ่งขึ้นมา เขาก็ใช้การถ่ายทอดเสียงถามว่า “ที่มาของคนคนนี้ ซือเม่ยรู้ไหม? นี่เป็นคนที่เขาอยากเสาะหาหรือ?”
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ทำให้เมี่ยวอิงหยวนจวินไม่เข้าใจ นางตอบว่า “ดูท่าจะใช่ สหายเต๋าฉินท่านนี้บอกว่าตนมาจากโพ้นทะเล……”
“ผู้ฝึกตนเทียนจี๋?”
เมี่ยวอิงหยวนจวินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า “คงจะใช่”
ขณะนี้ ฉินซีกำลังเผชิญหน้ากับเหมยเฟิง
เหมยเฟิงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างระแวดระวัง จับจ้องฉินซีอย่างเย็นชา
เมื่อครู่นี้ พริบตาที่ก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มของเขาจวนจะโจมตีถูกโม่เทียนเกอ อู๋หมิงเจินเจ่อลงมือ ระฆังทองคำครอบปกป้องโม่เทียนเกอ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นกลางที่มาใหม่ผู้นี้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน สกัดก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มของเขาแทนนาง
นี่ทำให้เหมยเฟิงทั้งประหลาดใจทั้งตื่นตัว
สิ่งที่เขาประหลาดใจคือ ถึงกับมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคนออกหน้าเพื่อนางหนูโสโครกนี่ หรือว่าในนี้จะมีความสัมพันธ์อะไร? ที่ตื่นตัวคือ ในห้าสิบปีนี้ เขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ ฝึกตนอย่างมุมานะจึงได้ฝึกมหาเวทปีศาจแรกเริ่มจนมาถึงขั้นกลาง เชื่อมั่นในตนเองว่าปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของตนไม่มีผู้ฝึกตนระดับเดียวกันผู้ใดจะสามารถต้านทาน แต่ผู้ฝึกตนที่มาใหม่นี้เห็นได้ชัดว่าอยู่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางเช่นเดียวกับเขา แต่เพียงอาศัยอาวุธเวทอย่างเดียวก็สลายก้อนปราณปีศาจแรกเริ่มของเขาไปแล้ว! และผู้ฝึกตนคนนี้ เขากลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“ใต้เท้าสรุปว่าเป็นผู้ใด” เหมยเฟิงเอ่ยเสียงขรึม “ขอแนะนำสักประโยค สตรีนางนี้กับข้ามีความแค้นที่ไม่ยอมอยู่ร่วมโลก ใต้เท้ายังคงไม่สอดมือเข้ามาจะเป็นการดี!”
ฉินซีบิดริมฝีปาก รอยยิ้มเจือความเหยียดหยาม “หากข้าจะสอดมือเล่า”
เหมยเฟิงสีหน้าขรึม เอ่ยอย่างอึมครึมว่า “เช่นนั้นเปิ่นจั้วได้แต่ขอคำแลกเปลี่ยนกับใต้เท้าสักรอบแล้ว!”
“เฮอะ!” ฉินซีโบกแขนเสื้อ กระบี่อัคนีสามพลังหยางวนเวียนอยู่เหนือศีรษะไม่รู้จบ เขายิ้มเย็นเอ่ยว่า “ไยจะต้องขอคำแลกเปลี่ยน? มิสู้ต่อสู้ถึงชีวิตกันจะดีกว่า!”
“ท่าน–” เหมยเฟิงหน้าเปลี่ยนสีทันที ฉากเบื้องหน้านี้ หากเขายังดูไม่ออกว่าผู้ฝึกตนคนนี้กับนางสารเลวนั่นมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา เช่นนั้นเขาก็ตาบอดแล้ว แต่ว่า ท่าทีของคนคนนี้ทั้งทำให้เขาไม่ยินดีและทำให้เขาไม่เข้าใจ ผู้ฝึกตนที่ไร้ชื่อไร้เสียงคนหนึ่งถึงกับข่มขู่เขา! มิติเร้นลับกำลังจะเปิด คนคนนี้ถึงกับไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ เพื่อสตรีนางหนึ่ง อยากจะต่อสู้ถึงชีวิตกับเขา!
“สหายเต๋าเหมย!” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ส่งเสียงออกมาในขณะนี้ เขามองเหมยเฟิง กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เหล่าฟูแนะนำว่าท่านยังคงหยุดมือเถอะ!”
“สหายเต๋าหยวนมู่……” เมื่อได้ฟังวาจานี้ของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ เหมยเฟิงตะลึงไป จากนั้นเอ่ยว่า “แต่ผู้เยาว์ก่อเกิดตานคนหนึ่ง แล้วยังมิใช่ศิษย์สำนักจิ่วเยี่ยน สหายเต๋าหยวนมู่ปกป้องนางเพื่อเหตุอันใด?”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ท่าทางสงบนิ่ง แต่เผยความเฉยชาอย่างไม่แยแส เขาเป็นผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดของอวิ๋นจง แล้วยังเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักจิ่วเยี่ยน บุคคลที่กระทืบเท้าโลกฝึกเซียนของอวิ๋นจงล้วนต้องสั่นเทา อย่างเหมยเฟิงนี่ ก่อนหน้านี้เป็นแค่ผู้ฝึกมารจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นธรรมดาคนหนึ่ง ถึงวันนี้จะเลื่อนขึ้นขั้นกลาง ความแข็งแกร่งค่อนข้างไม่สามัญ แต่ก็ไม่มีค่าให้เขาเห็นอยู่ในสายตา
“ก่อนสหายเต๋าเหมยจะกระทำเรื่องราวหรือว่าไม่ได้ไต่ถามให้กระจ่าง? สหายน้อยโม่ผู้นี้เป็นคนที่กระบี่ฝูเซิงยอมรับเป็นนาย สหายเต๋าเหมยหากต้องการสังหารนาง พวกเราวันนี้ต้องวิ่งเสียเที่ยนหนึ่งรอบกันหมดยังไม่ต้องพูดถึง มิติเร้นลับของทะเลกุยสวีก็ไม่สามารถปรากฏสู่โลกไปตลอดกาลแล้ว”
เหมยเฟิงฟังแล้วตกใจอย่างใหญ่หลวง “อะไรนะ”
“สหายเต๋าหยวนมู่พูดไม่ผิด” อู๋หมิงเจินเจ่อยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยปากขึ้นมา “ดังนั้น สหายเต๋าเหมย พวกเราจะไม่ดูท่านสังหารสหายเต๋าน้อยนางนี้เด็ดขาด”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายสองคนพูดเช่นนี้ เหมยเฟิงไม่อาจไม่เชื่อ เขาสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายไม่หยุด ถลึงมองโม่เทียนเกออย่างดุร้ายพักหนึ่ง ใบหน้าเผยความลังเลอีกพักหนึ่ง สุดท้ายกัดฟัน ร้องหึเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นจั้วจะให้เจ้ามีชีวิตเพิ่มขึ้นอีกระยะหนึ่ง!”
ได้ยินเหมยเฟิงพูดเช่นนี้ อาจารย์เต๋าหยวนมู่และอู๋หมิงเจินเจ่อพึงพอใจมาก มิติเร้นลับทะเลกุยสวี เทียบกับสิ่งนี้แล้ว ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเล็ก ๆ คนหนึ่งนับเป็นอะไรได้? ความแค้นที่ใหญ่โตกว่านี้ก็เทียบไม่ได้กับวาสนาของการแปลงเทพ!
น่าเสียดาย พวกเขาพึงพอใจอยู่ไม่ได้นานนักก็ได้ยินฉินซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ใต้เท้าคิดจะล่าถอยไปอย่างไร้รอยขีดข่วนหรือ”
เหมยเฟิงตะลึง ใบหน้าเกิดโทสะ “เปิ่นจั้วไม่โต้แย้งด้วยแล้ว ท่ายยังคิดจะเอาอย่างไร แค่ผู้ฝึกตนสตรีก่อเกิดตานคนหนึ่งยังคิดจะต่อสู้เอาชีวิตกับเปิ่นจั้วจริง ๆ หรือ”
“หึ!” ฉินซีจับจ้องเขา เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “โชคร้ายมาก ผู้ฝึกตนสตรีก่อเกิดตานคนที่ที่ใต้เท้าว่ามาพอดีเป็นคู่เต๋าของจ้ายเซี่ย! ใต้เท้าปรารถนาจะเอาชีวิตคู่เต๋าของจ้ายเซี่ย ยังถามว่าจ้ายเซี่ยต้องการเช่นไรหรือ?!”
ตอนต่อไป →