ตอนที่ 181 ตัดสินใจ ต้นสายปลายเหตุ (3)
ระหว่างที่สืออู่พูดอยู่ ชูอีก็ได้เข้ามา นางคุกเข่าลงเช่นกัน โขกศีรษะลงที่พื้นอย่างแรง “พวกบ่าวผิดไปแล้ว โปรดลงโทษพวกเราด้วย”
คุณหนูนอนเอนกายยู่บนเตียง แม้ว่านางจะอ่อนแรงมาก ทว่าท่าทางของนางก็ยังคงนิ่งสงบ
ที่นั่งถัดจากนางคือชายหนุ่มในชุดสีเขียว มือของคนทั้งสองประสานกัน ในห้องยังหลงเหลือกลิ่นอายของความเสน่ห์หาอยู่บ้าง ชัดเจนแล้วว่าคุณหนูจะเลือกใคร ไม่ต้องพูดให้มากความอีก
เมื่อสืออู่เห็นชูอีโขกศีรษะ นางก็รีบโขกศีรษะไปหนึ่งครั้ง กลัวมั่วเชียนเสวี่ยจะเหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ที่พูดประมาณว่าไม่ต้องการนางอะไรทำนองนั้น
ทั้งสองคนคุกเข่าโค้งคำนับ ศีรษะจรดพื้น สีหน้าของหนิงเซ่าชิงแลดูผ่อนปรนลงเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยกลับพูดไม่ออก พูดตามตรง ตอนนี้ที่ได้เจอกัน นางยังไม่รู้เลยว่าสองคนนี้ผิดอะไร
ในตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก คนหนึ่งคือลูกพี่ลูกน้องของคุณหนูที่พาพวกนางมาที่นี่ พูดได้ว่าเป็นเจ้านายครึ่งนึง ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนไม่รู้ว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรทว่าเป็นสามีของคุณหนู
ทั้งสองคนลังเลไม่ลงมืออยู่ครู่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยกันได้ นางไม่ใช่คนโบราณ ไม่มีทางที่นางจะระบายความโกรธใส่ใครตามอำเภอใจ และยิ่งไม่อาจสังหารใครง่ายๆ ได้เช่นกัน
สองคนนี้ คนหนึ่งตรงไปตรงมา อีกคนหนึ่งละเอียดรอบคอบ ทั้งสองมีวิชาการต่อสู้ มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง
พวกนางรอนแรมมานับพันลี้เพื่อตามหานาง นั่นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีแล้ว เรื่องราวในอนาคตจะมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไร ให้พวกนางได้อยู่ข้างกายก็ถือว่าเป็นความห่วงใยหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยคิดวนเวียนอยู่ในใจหลายรอบโดยมิกล่าวสิ่งใด ชูอีและสืออู่กลับคิดว่าเจ้านายของตนเองโกรธ ไม่ต้องการพวกนางแล้ว ดังนั้นจึงโขกศีรษะอีกครั้ง ศีรษะยังคงจรดอยู่ที่พื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
“คุณหนู ได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ” คราวนี้ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้ว่าสืออู่จะเป็นคนตรงไปตรงมา ทว่านางก็ไม่ได้โง่ ทันทีที่เข้ามาในห้อง ก็เห็นคุณหนูกับชายหนุ่มชุดเขียวคนนั้นกุมมือกัน แล้วนางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
นางเก่งกาจในการต่อสู้ ตอนเห็นหนิงเซ่าชิงเหาะออกมา ปล่อยพลังออกจากฝ่ามือไปรอบทิศ นางก็รู้สึกชื่นชมจากใจจริง
คนโบราณให้ความสำคัญกับระดับขั้นอย่างชัดเจน ให้ความสนใจกับลำดับชั้นที่ชัดเจน หากเป็นกันเองและเข้าถึงได้ง่ายจนเกินไป ไม่มีใครจะชื่นชมหรอกว่าคนผู้นั้นดีหรือถ่อมตนเพียงใด จะเป็นการลดศักดิ์ศรีของตนเองลงก็เท่านั้น ในเมื่อพวกนางคิดว่าตนเองมีความผิด เช่นนั้นก็ให้ผิดไปเถิด ไม่จำเป็นที่ผู้เป็นนายจะต้องอธิบายเหตุผลให้บ่าวฟัง
มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกไปและสะบัดขึ้น “ลุกขึ้นเถิด เห็นแก่ที่พวกเจ้าจงรักภักดีมาโดยตลอด ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ”
หลังจากละเว้นโทษก็ให้พวกนางลุกขึ้น ต่อมานางก็ลดเสียงลงอย่างกะทันหันพลางกล่าวอย่างเย็นชา“ถ้ามีครั้งต่อไป ก็ไม่ต้องมาติดตามข้าอีกเลย”
เรื่องที่ควรปลอบโยนก็จะปลอบโยน เรื่องที่ควรเฆี่ยนตีก็ยังต้องเฆี่ยน นี่คือศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ นางเคยเป็นถึงระดับหัวหน้าในบริษัท นางเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนพวกนี้ดี
ชูอีตอบรับด้วยความเคารพว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ทว่าสืออู่กลับไม่ยอมลุกขึ้น นางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นเดิม เงยหน้าที่เปื้อนน้ำตาขึ้นพลางพูดอย่างสะอึกสะอื้น “ต่อไปภายภาคหน้า แม้นสืออู่จะตายก็จะไม่ไปจากคุณหนู ฮูหยินมอบสืออู่ให้แก่คุณหนูแล้ว เว้นแต่ว่าฮูหยินจะบอกให้สืออู่ไป มิเช่นนั้น ถึงแม้สืออู่ตายก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถึงแม้จะตายก็จะตายอยู่เบื้องหน้าคุณหนู คุณหนูจะไล่สืออู่ไปไหนไม่ได้นะเจ้าคะ”
ฮูหยินเสียชีวิตไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางที่ฮูหยินจะมาบอกให้นางไปจากคุณหนูได้ อยากให้จากนางไป ก็มีเพียงความตายเท่านั้น
การแสดงความจงรักภักดีเช่นนี้ ทำให้หนิงเซ่าชิงรู้สึกประทับใจเล็กน้อยเช่นกัน
นางเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองนางเล็กน้อยจากนั้นก็กล่าวปลอบโยน “ตราบใดที่เจ้าทำตัวดีๆ ข้าจะขับไล่เจ้าออกไปได้อย่างไร ลุกขึ้นเถิด โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังจะร้องไห้ฟูมฟายอยู่อีก มิอายหรืออย่างไร”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนการติเตียน แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความห่วงใย สืออู่ยิ้มที้งน้ำตาในทันที และลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าสาวใช้ทั้งสองเหลือบมองหนิงเซ่าชิงอยู่บ่อยครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าทั้งสองคนมานี่ มาคำนับกูเหยียของพวกเจ้าสิ”
นี่ถือเป็นชื่อที่ใช้เรียกหนิงเซ่าชิงอย่างเป็นทางการและเป็นการบอกสถานะของเขาอย่างเป็นทางการแก่สาวใช้ทั้งสองอีกด้วย
หลังจากที่สาวใช้ทั้งสองโค้งคำนับหนิงเซ่าชิงแล้ว ก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่เฉยเมยของเขาเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยยืดตัวขึ้นเล็กน้อย พลางมองไปที่ชูอีแล้วกล่าวถาม “ชูอี ครั้งก่อนเจ้าเล่าถึงเรื่องที่พวกเราถูกโจมตี แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นเล่า…”
ชูอีมองมาอย่างสงสัย “คุณหนูยังคงจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“มีเศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างแวบเข้ามาในหัวข้าทว่ามันก็หายไปในชั่วพริบตา พอพยายามนึกดูก็รู้สึกปวดศีรษะ หน้าผากของข้าก็จะเจ็บ” มั่วเชียนเสวี่ยลูบหัวไปพลางพูดไปพลาง นวดปวดศีรษะจริงๆ ไม่ใช่เพราะพยายามนึกถึงอะไร แต่เจ็บปวดกับตัวตน และปวดหัวเพราะสถานะที่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างกะทันหัน
“เจ้าพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถิด” หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัว ส่งสายตาให้หนิงเซ่าชิงรู้ว่านางไม่เป็นอะไรเขาวางใจได้ แล้วส่งสัญญาณให้ชูอีเล่าต่อไป นางไม่อยากจะเดาเรื่องราวเอาเอง ต้องเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างโดยเร็ว จะได้หมดห่วงไวๆ
เมื่อเห็นว่านางยังคงดื้อรั้น หนิงเซ่าชิงก็ทำได้แค่ปล่อยนางไป ดังนั้นเขาจึงเอนกายให้นางพิง ทำแบบนี้แล้วนางจะรู้สึกสบายตัวขึ้น
ชูอีและสืออู่ก็ก้มหน้า พลางครุ่นคิดในใจว่า กูเหยียคนนี้นิสัยใจคอไม่เลว ใส่ใจดูแลคุณหนูดีมาก
“ถ้าคุณหนูปวดศีรษะก็อย่าได้พยายามนึกต่อไปอีกเลยเจ้าคะ บ่าวเล่าให้คุณหนูฟังมันก็เหมือนๆ กัน” เมื่อคิดดีแล้วเสียงของชูอียังคงชัดเจนและไพเราะ “หลังจากถูกโจมตี หมัวมัวก็ให้เสี่ยวเหนียนซึ่งมีรูปร่างใกล้เคียงกับคุณหนูสับเปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับกัน… จากนั้น แม่นมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส องครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็เสียชีวิตทั้งหมดงหมด ต้าเหนียนถูกสังหาร เสี่ยวเหนียนกระโดดลงจากหน้าผา บ่าวกับสืออู่ปกป้องท่าน เดิมทีก็ตีฝ่าออกจากวงล้อมไปได้แล้ว ถอยหลังเร็วเกินไปจนเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตัวท่านนั้นสะดุดร่วงลงสู่แม่น้ำ ถูกสายน้ำพัดพาไป น้ำไหลเชี่ยว ที่ด้านในเหมือนจะมีแม่น้ำอยู่ใต้พื้นดิน บ่าวและสืออู่จึงกระโดดลงไปในแม่น้ำ แต่เพราะยังแข็งแกร่งไม่พอจึงถูกกระแสน้ำพัดพาไป”
“ตอนที่บ่าวฟื้นขึ้นมาก็อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแล้ว กว่าจะได้กลับไปตามหาอีกครั้ง ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ของท่านแล้ว ทำได้เพียงกลับไปยังตระกูลเฟิง แจ้งข่าวเรื่องของท่าน ตั้งใจจะขอร้องให้เหล่าเหยียส่งคนออกไปช่วยตามหา ใครจะรู้ว่าตอนนั้นในเมืองหลวงมีข่าวการตายของท่านแพร่ออกมา คุณชายอวี้เฉินกระวนกระวายใจรีบเดินทางไปเมืองหลวง ตระกูลมั่วรีบร้อนเสียนี่กระไร รีบจัดการฝังศพเสียยิ่งกว่าอะไร สุดท้ายคุณชายอวี้เฉินก็ได้พบกับหมัวมัวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงได้รู้ว่าผู้ที่อยู่ในโลงศพนั้นคือเสี่ยวเหนียน คนที่เปลี่ยนตัวกันกับคุณหนู แต่ไม่ใช่คุณหนู จิ้วเหล่าเหยียกับคุณชายอวี้เฉินส่งคนออกไปตามหาท่านทุกหนแห่ง ก็พบเพียงแต่สืออู่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์พิเศษเช่นนี้ไม่สามารถตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งได้ ทำได้เพียงทำการสอบสวนอย่างลับๆ เกรงว่าจะไปทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ตื่นตระหนก ทำให้คุณหนูตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ดังนั้นพอผ่านมาครึ่งปีกว่าๆ พวกบ่าวถึงได้ออกตามหาคุณหนู ทำให้คุณหนูต้องลำบากแล้วจริงๆ”
คำพูดเหล่านี้อธิบายต้นสายปลายเหตุ ความเป็นไปในเมืองหลวง ท่าทีของตระกูลมั่ว และท่าทีของตระกูลเฟิงได้อย่างชัดเจน
มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือพลางบอกว่าตนเองเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงให้ชูอีและสืออู่ออกไป
ด้วยความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ของชูอี เป็นไปได้สูงว่าการจัดการดูแลเรือนเล็กๆ แห่งนี้ ไม่จำเป็นที่นางจะต้องสั่งการอะไรเป็นพิเศษ
หลังจากที่ชูอีและสืออู่ออกไปแล้ว นางก็ยังคงนอนพิงอกของหนิงเซ่าชิงไม่ขยับไปไหน นางยังต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด และวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้
หนิงเซ่าชิงโอบกอดนางเอาไว้และไทไม่ด้กล่าวสิ่งใด เพียงจับผมที่เงางามของนางเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้รบกวนความคิดของนาง
อันที่จริงแล้ว เขาเองไหนเลยจะไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องราวในขีวิตของมั่วเชียนเสวี่ยได้เผยออกมาแล้ว มันขัดขวางสิ่งที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น เกรงว่าทั้งสองจะต้องกลับไปเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน ถึงอยากจะหลบซ่อน ก็ทำไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องรอ
เขาต้องรอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ และเขาจะกลับไปได้ก็ต่อเมื่อพิษในร่างกายของเขาถูกกำจัดออกไปแล้วเท่านั้น เมื่อปราศจากพิษ ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก เขาจึงจะสามารถปกป้องนางด้วยกำลังทั้งหมดที่มีได้!