ตอนที่ 264 รับมันหวานร้อนมา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 264 รับมันหวานร้อนมา

ตระกูลซือมีบันทึกประจำตระกูล ทว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลซือที่เมืองชิงโจวในปัจจุบัน แต่อยู่ในสถานที่ต้องห้ามของตระกูลซือ ที่ตั้งที่แท้จริงของวงศ์ตระกูลซือ ห่างจากชิงโจวสามร้อยลี้ จะไปในเวลานี้นั้นไม่ได้

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “สถานที่ต้องห้ามของตระกูลก็มีคนเฝ้า ไม่ได้เปิดตลอดเวลา ในแต่ละปี จะเปิดเฉพาะวันกราบไหว้บรรพบุรุษ”

“วันใดหรือ”

“วันที่สิบเดือนสิบของทุกปี”

ฉินหลิวซีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “วันนี้มีความสำคัญอะไรหรือไม่”

“เป็นวันที่บรรพบุรุษตระกูลซือก่อตั้งตระกูล”

ฉินหลิวซีเข้าใจจึวเอ่ย “เช่นนั้นก็ได้ ถึงวันนั้นข้าจะไปดูกับเจ้า”

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกเบาใจขึ้นมา อดแปลกใจไม่ได้ เอ่ยถาม “รอยอัคคีบนร่างกายของท่าน เป็นอย่างไรหรือ”

“อยากเห็นหรือ”

“ดูได้หรือไม่เจ้าคะ”

ฉินหลิวซียิ้มเจ้าเล่ห์ “ถอดเสื้อผ้าเพื่อหญิงงาม แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว”

น้ำเสียงนี้อบอุ่นเท่าใดก็เท่านั้น

ซือเหลิ่งเย่ว์ถลึงตามองนาง คนผู้นี้ช่างซุกซนยิ่งนัก

ฉินหลิวซีเข้ามาในห้องนอนส่วนใน คลายปมสายเสื้อคลุมออกจริงๆ เผยให้เห็นแผ่นหลัง หันศีรษะกลับมาเล็กน้อย “มองเห็นหรือไม่”

ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่อาจละสายตาไปได้

แผ่นหลังของฉินหลิวซีบอบบาง เนื้อหนังและกระดูกราบเรียบเท่ากัน ไม่มีไขมันส่วนเกินแม้เพียงนิด กระดูกสะบักทั้งสองข้างงดงามอย่างเห็นได้ชัด ผิวของนางนวลขาวสะอาดสะอ้าน เนียนละเอียด กระดูกสันหลังโค้งได้รูปเห็นได้อย่างชัดเจน

สิ่งที่ทำให้ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่อาจละสายตาได้ก็คือ ใต้กระดูกสะบักฝั่งซ้ายมีปานคล้ายรูปไฟจางๆ เปลวไฟดูสะดุดตา ด้านล่างของไฟนั้นเป็นฐานดอกบัวบาน

เปลวไฟลุกโชนบนดอกบัว ราวกับมีชีวิต

“สวยมากจริงๆ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอื้อมมือออกไปสัมผัส ทว่าไม่กล้า ราวกับหากสัมผัสแล้วจะเป็นการลบหลู่เปลวไฟอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้ายนางก็ไม่สัมผัส ลดมือลงแล้วเอ่ยถาม “นี่คือรอยปานหรือไม่”

“ใช่กระมัง ตอนที่ข้าอยู่มันก็มีอยู่แล้ว” ฉินหลิวซีสวมเสื้อกลับคืน

ดอกบัวเกิดเปลวไฟดอกนี้ ตอนที่นางมายังต้าเฟิงก็เห็นว่ามีมันอยู่แล้ว เป็นปานของเจ้าของร่างเดิม หรือว่ามาพร้อมกับนางก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ร่างกายนางก็มีปานรูปดอกบัวเกิดเปลวอัคคี และในตอนที่นางติดตามนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเข้าสู่เต๋า ร่ำเรียนเบญจศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่ง ไฟกรรมพลันปรากฏขึ้นบนมือของนาง สามารถเผาทำลายวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายทุกอย่างได้

ตอนนั้นนางอายุเพียงไม่กี่ขวบ หกหรือเจ็ดขวบกระมังดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

นางจำได้ว่าตอนที่นางเล่นไฟกรรมในมือ ชื่อหยวนตกใจจนหน้าถอดสี ให้นางตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ จะไม่เล่นไฟกรรมโดยพละการ ยิ่งไม่ควรเล่นไฟส่งเดช

ตอนนั้นตาเฒ่าบอกว่าอย่างไรนะ อ้อ เด็กน้อยเล่นไฟไม่ใช่เด็กดี เหอะ คิดว่านางโง่หรือ กำลังหลอกนางชัดๆ

เพียงนางยอมฟังไปก็เท่านั้น ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ อย่างไรต่อสู้กับวิญญาณและสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นก็ยังไม่ร้ายกาจจนต้องใช้ไฟกรรม

ฉินหลิวซีผูกเชือกให้เรียบร้อย หมุนตัวกลับมา เอ่ย “วางใจแล้วหรือไม่”

ซือเหลิ่งเย่ว์ “ข้าไม่เคยกังวล”

“บิดาที่ชอบร้องไห้ของเจ้าเอาแต่เป็นห่วงเรื่องคำสาปของตระกูลซืออยู่ทุกวัน ไยเจ้าจึงไม่บอกเขาว่าจะมีคนมาช่วยแก้คำสาปให้ตระกูลซือ” ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ในเมื่อตระกูลซือมีคำทำนายเช่นนี้ ไยจึงไม่บอกเขา เขาจะได้ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้ทุกวัน

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เรื่องราวผ่านไปร้อยปี ข้าเองยังไม่มั่นใจว่าท่านจะปรากฏตัวหรือไม่ บอกเขาแล้วอย่างไรเล่า นิสัยของบิดาข้า ท่านเองก็เห็นแล้ว อ่อนไหวแล้วชอบร้องไห้ อดทนไม่ได้ หากเขารู้เรื่องนี้ยิ่งจะคิดมาก เกิดท่านไม่มาเล่า จะไม่ทำให้เขากังวลขึ้นไปอีกหรือ”

ฉินหลิวซีนิ่งเงียบ

“บางครั้งคนคาดหวังเกินไป ไม่ได้ดังปรารถนาจะยิ่งผิดหวัง กระทั่งสิ้นหวัง โทษฟ้าโทษสวรรค์ มิสู้ไม่รู้เสียยังจะดีกว่า จะยอมรับความจริงได้ดีกว่า” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ความจริงตอนที่ท่านปรากฏตัว ข้าก็ไม่มั่นใจว่าเป็นท่านหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าจะยอมตอบรับคำร้องขอนี้หรือไม่”

“หากข้าเป็นเพียงความบังเอิญเล่า”

“เช่นนั้นนั่นคือโชคชะตาของตระกูลซือ เพราะตระกูลซือของข้ามีดวงชะตาเช่นนี้” ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่มีท่าทีไม่ยินยอมแม้เพียงนิด นางเตรียมพร้อมกับความตายมาตั้งนานแล้ว

ฉินหลิวซีเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “คนที่บรรพบุรุษเจ้าทำนายเอาไว้จะเป็นข้าหรือไม่ ไม่อาจบอกได้ ข้าเองก็ไม่กล้ารับรองว่าจะช่วยล้างคำสาปนี้ให้ตระกูลเจ้าได้ คงได้แต่ทำสุดกำลังความสามารถเท่านั้นแล้ว”

บอกได้เพียงว่าพยายามสุดกำลัง

นี่เป็นการเหลือช่องทางให้ตนเอง

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ท่านยอมรับมันหวานร้อนนี้ไปก็นับว่าเป็นวาสนาของตระกูลซือเราแล้ว” นางเอ่ยตอบ “ในเมื่อเดือนสิบถึงจะไปยังสถานที่ต้องห้ามได้ เช่นนี้อีกสองวันท่านมีแผนการอย่างไร”

“แน่นอนว่าต้องกลับเมืองหลี”

“เด็กที่ชื่อเยี่ยนเอ๋อร์นั่นเล่า ไม่สนใจแล้วหรือ”

ฉินหลิวซีนอนลงบนเตียงของนาง ยกมือสอดลงใต้ศีรษะ เอ่ย “สนใจแน่นอนว่าต้องสนใจ เรื่องเปลี่ยนยาให้นาง ถึงตอนนั้นแอบไปเปลี่ยนก็พอแล้ว”

“นายหญิงถูสามให้คนไปทุบตีครอบครัวตระกูลเกาแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยถึงข่าวที่บ่าวรับใช้มารายงาน เอ่ยต่อว่า “และวันนี้ตอนกลับมา นายหญิงถูสามยังส่งคนสะกดรอยตามท่าน ไม่แน่คงต้องการสืบที่มาที่ไปของท่าน ทว่าถูกสะบัดทิ้งไปได้ ไม่เป็นดังที่นางต้องการเช่นนี้เกรงว่าคงยิ่งเอาความโกรธไปลงกับสองแม่ลูกตระกูลเกา ถึงตอนนั้นเพื่อเอาตัวรอด เกรงว่าช้าเร็วตระกูลเกาก็จะต้องไล่สองแม่ลูกออกจากบ้าน”

ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว แม่สามีเกาคนพวกนั้นเพียงมองนางก็ดูออก เพื่อปกป้องตนเองจะต้องทอดทิ้งสองแม่ลูกที่เรียกว่าตัวอัปมงคลอย่างแน่นอน

เปลือกตาของฉินหลิวซีปิดลง “ไล่ออกจากบ้านก็ไล่ออกจากบ้านสิ ดีกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งเป็นไหนๆ วันนี้ตอนบิดาของเยี่ยนเอ๋อร์กลับไป ข้าเห็นดวงสามีภรรยาของเขาแล้ว ใบหน้ามัวหมอง หว่างคิ้วหลุบลง ดวงตาและคิ้วฉุนเฉียวง่าย คนผู้นี้นิสัยไม่ปกติ มีภรรยาก็มีดวงหย่าร้าง เป็นคู่ที่โชคร้าย ส่วนมารดาของเยี่ยนเอ๋อร์พาลูกสาวไปจากเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น บุรุษต้าเฟิงมิได้มีเพียงตระกูลเกาครอบครัวเดียว”

ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นท่าทางเกียจคร้านของนาง ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ เดินเข้าไปดึงผ้าห่มมาคลุมให้นางก่อนจะเอ่ย “หากพวกนางออกมาจากบ้าน ข้าจะให้คนไปรับพวกนางมา กิจการของตระกูลซือมีไม่น้อย ต้องมีงานให้พวกนางอย่างแน่นอน เลี้ยงอีกสักสองคนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร”

“อืม” ฉินหลิวซีครางงึมงำ จมเข้าสู่ความง่วงแล้วหลับไป

ซือเหลิ่งเย่ว์ยังอยากคุยกับนาง เห็นนางส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ชะงักไปอย่างอดไม่ได้ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วจริงๆ

“บอกจะนอนก็นอน ไร้หัวจิตหัวใจจริงๆ” ซือเหลิ่งเย่ว์บ่น น้ำเสียงกลับมีความอิจฉาอย่างปิดไม่มิด

นางมองใบหน้ายามหลับใหลของฉินหลิวซี คิดว่าคนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาด จะบอกว่านางไม่สนใจอะไร นางกลับไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง จะบอกว่านางชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้ไปยุ่งกับทุกคน

แล้วแต่อารมณ์

ซือเหลิ่งเย่ว์คิดในใจ คงเพราะแบบนี้จึงมีนิสัยร่าเริงมีชีวิตชีวาไม่สนใจผู้ใด

นางช่วยจัดผ้าห่มให้ฉินหลิวซีแล้วเดินออกไป

จึงไม่รู้ว่าหลังจากนางออกไปแล้ว ฉินหลิวซีก็ลืมตาขึ้น มุมปากยกยิ้ม ก่อนจะพลิกตัวแล้วหลับลงไปอีกครั้ง ปากยังเอ่ยพึมพำหนึ่งประโยค “จิตใจหญิงงาม ต้องเบ่งบานไปให้นานสักหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่จะโรยราอย่างรวดเร็ว”