บทที่ 140 กระแทกใส่!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ยามปกติเหล่าฮูหยินกู้จะให้คนยกดอกโบตั๋นออกมาให้นางชื่นชม และมีเพียงวันที่อากาศเหน็บหนาวเกินไปเท่านั้นที่นางจะไปห้องบุปผาด้วยตัวเอง

จากเรือนซงเฮ่อไปถึงห้องบุปผาความจริงแล้วห่างกันอยู่ระยะหนึ่งทีเดียว แต่นางนั่งเกี้ยวไป ลมพัดไม่โดน ฝนตกไม่เปียก แถมยังสบายอีกด้วย

เพียงไม่นานเกี้ยวก็มาหยุดอยู่นอกห้องบุปผา

สาวใช้คนสนิทเลิกม่านขึ้น ก่อนพยุงเหล่าฮูหยินกู้ลงจากเกี้ยว

เหล่าฮูหยินกู้สังเกตเห็นประตูไม้อ้ากว้างตั้งแต่แวบแรก คิ้วสีดอกเลาพลันขมวดขึ้น “วันนี้ใครเป็นคนดูแลห้องบุปผากัน เหตุใดจึงได้เปิดประตูอ้าซ่าเพียงนั้นไม่กลัวดอกไม้ด้านในแข็งตายเอารึ”

สาวใช้คนสนิทรีบสั่งคนรับใช้คนหนึ่งเข้าไปดู

คนรับใช้เข้าไปดูแล้วออกมารายงานว่า “ไม่เห็นคนสวนเลยเจ้าค่ะ”

นี่ยิ่งทำให้เหล่าฮูหยินกู้โมโหยกใหญ่กว่าเดิม ไม่มีคนสวน นั่นก็หมายความว่าคนสวนทิ้งหน้าที่ไปโดยพลการ แถมยังไม่รู้ว่าออกไปนานหรือยังด้วย ประตูเปิดอ้าซ่าเอาไว้ตลอดเช่นนี้!

เหล่าฮูหยินกู้ให้คนไปหาตัวคนสวนพลางเดินเข้าห้องบุปผาไปโดยการพยุงของสาวใช้คนสนิท

ก่อนหน้านี้กู้เจียวนั่งย่อตัวลงกับพื้นสำรวจดอกไม้ที่ถูกกระถางด้านหลังบังอยู่ ยามนี้นางสำรวจเสร็จจึงได้ลุกขึ้น

จู่ๆ ก็เห็นคนมากมาย เหล่าฮูหยินกู้กับสาวใช้คนสนิทตกอกตกใจจนใจพานสั่นตาม!

“ใครน่ะ” เหล่าฮูหยินกู้ตวาดขึ้น

กู้เจียวหันหน้ามาอย่างนิ่งเฉย

เสื้อผ้าของกู้เจียวแต่งตัวไม่เหมือนคุณหนู และไม่เหมือนคนรับใช้ในจวนด้วย อายุอานามก็ไม่ได้โตมาก รุ่นราวคราวเดียวกันกับกู้จิ่นอวี้

เห็นเพียงใบหน้าซีกขวาของกู้เจียวเรียกได้ว่างดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ ทว่าใบหน้าซีกซ้ายของนางมีปานแดงสีสดขนาดใหญ่ เหล่าฮูหยินกู้แสดงออกชัดเจนว่าไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ใบหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน!

เหล่าฮูหยินกู้เลิกคิ้วขึ้น “เด็กจากปากเขาที่ไหนกันน่ะ นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งมาถึงในห้องบุปาผาของจวนโหว”

สาวใช้คนสนิทข้างกายกับสาวใช้ก็ตกอกตกใจเช่นกัน นั่นสิ เด็กชาวป่าจากไหนกันนะ จวนโหวไม่ใช่สวนผักเสียหน่อยที่คนนอกคิดจะเข้าก็เข้ามาได้น่ะ

เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นลูกหลานของคนรับใช้คนไหน

แต่นั่นก็ไม่อาจบุกเข้ามาในห้องบุปผาของเหล่าฮูหยินกู้ได้นะ

กู้เจียวพินิจมองเหล่าฮูหยินกู้ตั้งแต่หัวจรดเท้า พอจะเดาออกว่านางเป็นใคร

กู้เจียวมองดอกไม้สีขาวในมือ แล้วมองเหล่าฮูหยินกู้ที่เดือดดาลราวกับไก่พองขน ก่อนจะส่งเสียงอ้อออกมาเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

เหล่าฮูหยินกู้ยิ่งมึนงงกว่าเดิม

ปฏิกิริยาอะไรของเด็กสาวนางนี้น่ะ

กู้เจียวกำลังเลือกว่าจะบอกตัวตนของตัวเองไปหรือว่าสะบัดแขนเสื้อจากไปเลยดี นางเลือกอย่างแรก นางเดินผ่านเหล่าฮูหยินกู้ไป

เหล่าฮูหยินกู้กลับคิดว่านางจะลอบสังหารตัวเอง จึงร้องขึ้นอย่างตระหนกว่า “ใครก็ได้! ขวางนางไว้ให้ข้า! ”

ทุกคนต่างกรูกันไปหา ยื่นมือไปจับกู้เจียวไว้

เหล่าฮูหยินกู้ถอยหลังติดๆ กันไปหลายก้าว หมายจะหลบศึกอันน่ากลัวครานี้ น่าเสียดายที่ตอนนางถอยนั้นไม่ได้ดู จึงไม่ทันระวังไปชนชั้นวางดอกไม้ด้านหลังเข้า

นางยืนไม่มั่นคง ล้มทับชั้นวางดอกไม้ลงไป ท่ามกลางความตื่นตกใจนางยื่นมือไปคว้าชั้นดอกไม้ที่เรียงอยู่ตรงหน้าเพื่อหมายให้ตัวเองยืนได้มั่น จนใจที่ชั้นวางดอกไม้รับน้ำหนักไม่ไหว ทันใดนั้นก็ถูกนางดึงล้มลงมาหมด

กระถางดอกไม้หลายสิบใบบนชั้นวางหล่นโครมครามลงมา เหล่าฮูหยินกู้ไม่ทันได้ร้องสักแอะ ก็ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังทันที

สาวใช้คนสนิทตกอกตกใจยกใหญ่ นางไม่ทันได้ระวัง เหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

ทุกคนไหนเลยจะยังมามัวไล่จับกู้เจียว ต่างพากันเปลี่ยนทิศทางไปช่วยเหล่าฮูหยินทันที

กู้เจียวแบมือยักไหล่อย่างผู้บริสุทธิ์

ครานี้ไม่ใช่ความผิดนางนะ

ทุกคนพลันวุ่นวายกันขึ้นมา กู้เจียวส่ายหน้า ถือดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ที่เด็ดมาด้วย พร้อมกับเดินออกจากห้องบุปผาไป

แม้ห้องบุปผาจะห่างกับเรือนแม่นางเหยาแค่กำแพงกั้น แต่ระยะทางกลับยาวไกลนัก แถมยังอ้อมมากด้วย

กว่าแม่นมฝางจะก้าวขาสั้นๆ อ้อมครึ่งจวนโหวมาถึงหน้าห้องบุปผาได้ไม่ง่ายเลย พอเห็นกู้เจียวออกมาจากห้องบุปผา นางก็เอ่ยเรียกอย่างเหนื่อยหอบหายใจไม่ทัน “คะ…คุณ…”

ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียกก็เห็นกู้เจียวพลิกตัวข้ามกำแพงกลับไปเรือนแม่นางเหยาอย่างแผ่วเบาแล้ว

แม่นมฝางผู้กำลังสงสัยในชะตาชีวิต “…”

รอให้แม่นมฝางก้าวขาสั้นๆ อ้อมครึ่งจวนโหวกลับมาถึงเรือนของแม่นางเหยา นางก็รู้สึกว่าขาสองข้างไม่ใช่ของตัวเองไปแล้ว!

แม่นมฝางจับเสาระเบียงพยุงตัวหอบแฮ่ก

กู้เจียวนั่งอยู่บนม้านั่งหินในเรือน เล่นดอกไม้ขาวบนโต๊ะหินตรงหน้า

ดอกไม้นี้งดงามยิ่งนัก ขาวสะอาดงดงามและสุภาพ พิสุทธิ์ไร้ราคี

“แม่นม” นางเอ่ยขึ้น “ดอกไม้ในห้องบุปผานั่นใครเป็นคนปลูกหรือ”

แม่นมฝางโบกมือให้พัลวัน นางพูดไม่ออก เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!

กู้เจียวก็ไม่ได้เร่งนาง ให้คนรับใช้ไปเทชาร้อนมาให้นางถ้วยหนึ่ง

หลังจากที่แม่นมฝางดื่มชาร้อนไปสองสามคำ ในที่สุดก็เรียกว่าหายใจหายคอได้บ้างแล้ว

นางเดินโซเซมาตรงหน้ากู้เจียว

กู้เจียวเอ่ยว่า “นั่งพูดคุยกันดีกว่า”

“ขอบคุณคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” แม่นมฝางเป็นคนเคารพกฎอย่างมาก แต่นางฝืนไม่ไหวแล้ว นางเบี่ยงกายลงนั่งบนม้าหินข้างกู้เจียว เอ่ยว่า “ดอกไม้ในห้องบุปผานั้นมีคนสวนของจวนมาปลูก เหล่าฮูหยินชอบดอกไม้อะไร พวกคนสวนก็ปลูกดอกนั้น ตามปกติแล้ว…จะมีโบตั๋นเป็นส่วนใหญ่ มีเสาเย่า จวินจื่อหลาน ดอกบัวบ้างเล็กน้อย และยังมีดอกอื่นๆ อีก อย่างดอกไห่ถังเรือนตะวันตกเหล่านั้น บ่าวไปห้องบุปผาไม่ค่อยบ่อย ล้วนได้ยินคนรับใช้ในจวนบอกเล่ามาทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”

หยุดเว้นครู่หนึ่ง แม่นมฝางนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยเสริมว่า “แต่ว่าอนุหลิงก็ไปปลูกดอกไม้ด้วยเช่นกัน ซ้ำยังปลูกได้ดีกว่าคนสวนด้วย ยามนี้เหล่าฮูหยินจะมอบให้นางจัดการเป็นส่วนใหญ่เจ้าค่ะ”

กู้เจียวหรี่ตาลง “ข้าทราบแล้ว นางอยู่ที่ใดรึ”

แม่นมฝางสัมผัสบางอย่างได้จึงถามว่า “คุณหนูใหญ่… เหตุใดจู่ๆ จึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ เกิดปัญหาที่ห้องบุปผาหรือ”

“ปัญหาน่ะมี ส่วนใครเป็นคนทำนั้นต้องตรวจสอบให้กระจ่าง” กู้เจียวไม่เคยคิดว่าจงใจหรือไม่จงใจเลยสักนิด นางไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญมากมายเพียงนั้น มิฉะนั้นแม่นางเหยาไม่มีทางโดนคนวางยาพิษในหมู่บ้านได้หรอก

มีคนเห็นแม่นางเหยาขวางหูขวางตา อยากจะกำจัดแม่นางเหยาทิ้ง

แม่นมฝางย่อมพอจะเดาออกบ้างอยู่แล้ว แต่นางไม่คิดเลยว่าจะเกี่ยวข้องกับห้องบุปผาด้วย

“บ่าวจะไปสืบเสียหน่อยเจ้าค่ะ”

แม่นมฝางไปถามว่าตอนนี้อนุหลิงอยู่ที่ใด ผลคือยามนี้อนุหลิงไม่ได้อยู่ที่จวน นางกลับบ้านเดิมไปเยี่ยมญาติ

“ข้าจะมาใหม่” กู้เจียวถือดอกไม้ดอกนั้นไว้ “ระยะนี้ก็อย่าให้ฮูหยินออกมาตากลมนะ”

“เจ้าค่ะ!” แม่นมฝางขานรับ

นางมองกู้เจียวแวบหนึ่ง สะทกสะท้อนใจเหลือแสน

บางทีวิธีการบางอย่างของคุณหนูใหญ่นางค่อนข้างไม่คุ้นชิน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ พอเกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยิน คนที่สามารถพึ่งพาได้จริงๆ ก็ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่

อีกด้านหนึ่ง กู้ฉังชิงกลับมาถึงจวนแล้ว

พอเขาเข้าเรือนมาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเหล่าฮูหยินกู้ เขาก็ไปที่เรือนเหล่าฮูหยินกู้ทันที

เหล่าฮูหยินกู้ถูกกระถางดอกไม้กระแทกใส่ไม่เบา บนร่างเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ หน้าผากก็โดนกระแทกแตก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ” กู้ฉังชิงถาม

สาวใช้คนสนิทเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าในจวนมีเด็กชาวบ้านมาจากไหน ชนเหล่าฮูหยินเข้า เหล่าฮูหยินจึงล้มที่ห้องบุปผาเจ้าค่ะ”

ฟังสิ ฟังสิ ล้มลงเอง แต่จะต้องโยนความผิดให้คนอื่นให้ได้

เหล่าฮูหยินกู้กดผ้าพันแผลบนหน้าผาก เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ต้องเป็นโจรแน่! เจ้ารีบไปจับตัวนางมาเร็วเข้า!”

หากเป็นโจรละก็นั่นย่อมต้องจับอยู่แล้ว

กู้ฉังชิงสั่งให้คนปิดจวนไว้

รถม้าของกู้เจียวเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูจวนก็โดนองครักษ์ขวางไว้

องครักษ์เอ่ยว่า “เจอโจรในจวน ซื่อจื่อมีคำสั่งว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าออกจากจวนโดยพลการเด็ดขาด!”

แม่นมฝางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าดูให้ชัดๆ สิ! นี่มันรถม้าของหมอ! ในรถม้าของฮูหยินจะมีโจรได้อย่างไร”

องครักษ์เอ่ยว่า “ล่วงเกินเข้าแล้วขอรับ!”

องครักษ์ของกู้ฉังชิงฟังแค่คำสั่งของเขาคนเดียวเท่านั้น อย่าว่าแต่รถม้าของแม่นางเหยาเลย ต่อให้เป็นรถม้าของเหล่าฮูหยินก็ผ่านไปไม่ได้

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันนั้น กู้ฉังชิงก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากทางนั้น เขาจึงเดินไปหาด้วยสีหน้าเย็นชา

แม่นมฝางคำนับให้เขา “ซื่อจื่อ”

กู้ฉังชิงมองรถม้าด้านหลังนาง “ฮูหยินจะออกไปข้างนอกรึ”

แม่นมฝางอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ว่าควรตอบไปอย่างไรดี

กู้เจียวเลิกม่านรถม้าขึ้น มองไปยังกู้ฉังชิงที่สีหน้าเคร่งขรึม “เป็นข้าเองที่จะออกไป”

สีหน้ากู้ฉังชิงพลันชะงักไป

ตั้งแต่ทราบมาว่าเด็กคนนั้นคือกู้เหยี่ยน แน่นอนว่าเขาก็พอจะเดาตัวตนของกู้เจียวได้แล้ว หากบอกว่าไม่ตกใจก็คงจะโกหก แต่หากบอกว่าผ่านไปหลายวันเพียงนี้แล้วยังตื่นตกใจนั่นก็เสแสร้งเกินไป

เขามองไปยังกู้เจียวด้วยสายตาซับซ้อน

กู้เจียวกลับเพิ่งจะรู้ว่าคนผู้นี้นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพี่ชายต่างมารดาของตนกับกู้เหยี่ยนอย่างกู้ฉังชิง

มิน่าเล่าตนจึงฝันถึงเขา

และมิน่าเล่าเขาจึงไม่ได้มาหลายวันแล้ว

น่าจะคาดเดาตัวตนของตนกับกู้เหยี่ยนได้แล้ว

นี่มันช่าง…ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี

คนสองบ้านที่ไม่ลงรอยกัน จับพลัดจับผลูให้มาเกี่ยวข้องกันอย่างแปลกๆ เขาช่วยเสี่ยวจิ้งคงไว้ ตนก็ช่วยเขาไว้ แล้วเขาก็ช่วยกุ้เหยี่ยนไว้อีก

กู้เจียวมองพี่ชายต่างมารดาตรงหน้าผู้นี้อย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย มือน้อยๆ ยกขึ้นเท้าคาง “ไม่ให้ไปหรือ”

กู้ฉังชิงถูกน้ำเสียงราบเรียบและสงบนิ่งของนางทำเอาชะงักไปเล็กน้อย

นางไม่มีความตะขิดตะขวงใจใดเลยหรือ

สำหรับตัวตนระหว่างพวกเราน่ะ

“ไม่ใช่” กู้ฉังชิงได้สติ เอ่ยกับองครักษ์ว่า “ปล่อยให้ไป”

“ขอรับ!” องครักษ์ไม่ได้ถามให้มากความ เขาเบี่ยงหลบไปด้านข้างให้อย่างเคารพ

แม่นมฝางสงสัยยิ่ง ดูจากท่าทางของคุณหนูใหญ่และซื่อจื่อแล้ว…เหมือนว่าจะรู้จักกันหรือไม่นะ

กู้เจียวปล่อยม่านลง รถม้าเพิ่งจะเคลื่อนตัวไปได้ไม่เท่าใด จู่ๆ นางก็ให้รถม้าหยุด แล้วเลิกม่านขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะโยนดอกไม้สีขาวช่อนั้นออกมาจากด้านใน

กู้ฉังชิงรับเอาไว้โดยสัญชาตญาณทันที

อันที่จริงจากการฝึกฝนของกู้ฉังชิงเมื่อก่อนนั้น คนอื่นโยนของมาต้องหลบเลี่ยงไปจึงจะถูก เมื่อครู่นี้แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

เขามองกู้เจียวอย่างแปลกใจ

กู้เจียวกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงปล่อยม่านลง จากนั้นก็นั่งรถม้าจากไป

คนรอบด้านต่างมึนงง

เกิดอะไรขึ้น แม่นางคนนั้น…ให้ดอกไม้ซื่อจื่อของพวกเขาอย่างนั้นรึ

กู้ฉังชิงกลับไม่คิดว่านางมอบดอกไม้ให้ตนนั้นไร้เหตุไร้ผล เขามองดอกไม้ในมือก่อนจะขมวดคิ้วจมดิ่มสู่ความคิด

กู้ฉังชิงนึกเรื่องห้องบุปผาขึ้นมาได้

กู้ฉังชิงเรียกคนสวนที่จวนมาหา “เจ้ารู้จักดอกนี้หรือไม่”

คนสวนบอกว่า “นี่เป็นดอกไม้ในห้องบุปผาขอรับ”

กู้ฉังชิงถามว่า “ดอกอะไรรึ”

คนสวนส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบขอรับ”

กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเป็นคนปลูกเองเจ้าไม่รู้รึ”

คนสวนยิ้มแหย เขาไม่ใช่คนสวนที่แท้จริง เป็นแค่บ่าวรับใช้เฝ้าห้องบุปผาเท่านั้น ทำงานกับคนสวนชราคนก่อนแค่ระยะเดียวเท่านั้น คนสวนชราถูกไล่ออก เขาก็กลายเป็นคนสวนคนใหม่

เขาเอ่ยว่า “ดอกไม้นี้บ่าวไม่ได้ปลูกขอรับ เป็นอนุหลิงปลูกขอรับ”

กู้ฉังชิงให้คนสวนออกไป แล้วเรียกตัวหมอของจวนมา

เดิมทีหมอของจวนไม่รู้เรื่องดอกไม้ แต่หากไม่ใช่ดอกไม้ธรรมดาๆ แต่เป็นสมุนไพร นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

“ซื่อจื่อ นี่คือดอกลำโพง ท่านระวังนะขอรับ! มันมีพิษ!”

กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว “มีพิษอย่างนั้นรึ”

หมอของจวนเอ่ยว่า “ขอรับ ดอกไม้ชนิดนี้ไม่ว่าจะสีขาวหรือว่าสีแดงล้วนมีพิษ เมล็ดพันธุ์ของมันฤทธิ์ของพิษร้ายแรงที่สุด ดอกและใบรองลงมา มันสามารถเป็นยาได้เช่นกัน หมาเฟ่ยซั่น ที่พวกเราใช้ส่วนประกอบส่วนใหญ่ก็สกัดมาจากมัน”

“แค่แตะก็โดนพิษเลยหรือ” กู้ฉังชิงถาม

“ไม่ใช่ขอรับ ซื่อจื่อร่างกายแข็งแรง อย่าว่าแต่แตะเลย กินเข้าไปนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร” หมอของจวนเอ่ยประจบ

ประโยคนี้นี่มันพูดเสียเหมือนว่าเขาอยู่ไม่ว่าดีก็ไปกลืนพิษอย่างนั้นแหละ

หมอหลวงเอ่ยต่อว่า “แต่หากว่าคนที่ร่างกายอ่อนแอมากๆ แค่ดมกลิ่นดอกของมันก็จะได้รับผลทันที ไม่ฮึกเหิมก็ซึมเศร้าขอรับ”

กู้ฉังชิงเอ่ยอีกว่า “หากเดิมทีเป็นคนที่คิดมากอยู่แล้ว ดมกลิ่นดอกของมันเป็นประจำ จะทำให้ป่วยหนักขึ้นหรือไม่”หมอพยักหน้า “ขอรับ ยามร้ายแรงอาจจะเกิดภาพหลอนถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือไม่ก็เสียสติการระลึกรู้ก็มีไม่ใช่น้อยๆ ขอรับ”

กู้ฉังชิงนึกถึงวันนั้นที่แม่นางเหยาเกือบจะตกตายไปด้วยกันกับกู้เฉิงหลิน

เขาเอ่ยคล้ายมีความคิดบางอย่างอยู่ “ดอกชนิดนี้พบเห็นได้ง่ายหรือไม่”

หมอตอบว่า “พบเห็นได้ง่ายขอรับ บนเขาก็มี แต่น่าเสียดายที่คนปกติทั่วไปไม่รู้จัก แค่เด็ดมันกลับบ้านเพราะมันสวย สุดท้ายก็โดนพิษเข้า”

เมื่อยามราตรีมาเยือน อนุหลิงก็กลับมาถึงจวน

นางเพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นบ่าวรับใช้ของกู้ฉังชิงมายืนรอ

นางจึงถามว่า “มีธุระใดหรือ”

บ่าวรับใช้บอกว่า “อนุหลิง ซื่อจื่อต้องการพบขอรับ”

อนุหลิงชะงัก ยิ้มเอ่ยว่า “อืม ข้าทราบแล้ว”

อนุหลิงจึงไปที่เรือนกู้ฉังชิง

กู้ฉังชิงกำลังฝึกกระบี่อยู่ในลาน เห็นนางมาก็รีบเก็บกระบี่โยนไปให้บ่าวรับใช้

“อนุเข้ามานั่งเถิด” เขาบอก

ทั้งสองคนนั่งอยู่บนม้าหิน

คนรับใช้ยกชามาให้

กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “นี่เป็นขนมที่ห้องครัวทำมาใหม่ๆ ข้าเหลือไว้ให้อนุโดยเฉพาะ อนุลองชิมดู”

อนุหลิงชิมคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลว”

กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “อนุชอบก็ทานให้เยอะๆ ขนมพวกนี้ล้วนทำมาจากดอกไม้สดในห้องบุปผาทั้งสิ้น”

อนุหลิงแย้มยิ้ม “ดอกอะไรรึ รสชาติจึงได้อร่อยเพียงนี้”

“ชนิดนี้ขอรับ!” บ่าวรับใช้แย้มยิ้มถือดอกลำโพงออกมาจากด้านหลังสองสามดอก

อนุหลิงสีหน้าพลันเปลี่ยน มือข้างหนึ่งรองขนมที่บ้วนออกมาจากปากทันที!