ตอนที่ 190 เรียกหาอิงจื่อ
ตอนที่ 190 เรียกหาอิงจื่อ
อาหารที่เฉินเจียเหอเอามาส่งนั้นเพียงพอสำหรับคนแค่สองคน
หลินเซี่ยพูดกับชุนฟางว่า “ชุนฟาง มากินข้าวด้วยกันสิ”
ชุนฟางเหลือบมองชายร่างสูงกำยำด้วยใบหน้าจริงจัง ก่อนจะโบกมืออย่างเร่งรีบ “ไม่เป็นไร วันนี้ฉันอยากกินบะหมี่”
“วันอื่นค่อยกินบะหมี่ก็ได้ กับข้าวพวกนี้เยอะเกินไป ฉันกินคนเดียวไม่หมดหรอก”
“ฉันอยากกินบะหมี่สักชามจริง ๆ” ว่าแล้วชุนฟางก็วิ่งออกไปจากร้านอย่างรู้งาน
เฉินเจียเหอนั่งลงข้างเธอ จัดการเทซุปใส่ชาม “ตอนบ่ายปิดร้านกี่โมง เดี๋ยวผมมารับ”
หลินเซี่ยจิบซุปไก่แล้วพูดว่า “ฉันกำลังจะบอกคุณอยู่พอดีว่าตอนบ่ายช่วยไปรับหู่จือและพาเขาไปกินข้าวมื้อเย็นระหว่างรอให้หน่อย ฉันมีนัดไปกินข้าวกับอวี่เฟยและเพื่อนอีกคนเย็นนี้”
เฉินเจียเหอหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ได้ งั้นคุณไปกินข้าวที่ไหน? หลังกินข้าวเสร็จผมจะไปรับคุณ”
เดิมทีหลินเซี่ยอยากจะปฏิเสธ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เปลี่ยนใจและพูดว่า “ก็ได้ ฉันเชิญพวกเขาไปที่ร้านอาหารซื่อจี้เซียง คุณพาหู่จือไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยมารอรับฉันที่ร้านประมาณหกโมงเย็นก็ได้”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินเจียเหอนั่งตรงข้าม เฝ้าดูกินอาหารตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย ไม่นานก็คลี่ยิ้ม แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้เธอ
“อิ่มแล้วเหรอ?”
หลินเซี่ยถึงกับเรอออกมาพลางพูดว่า “อิ่มมากเลย”
หลังจากเฉินเจียเหอเช็ดปากให้เธอ สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองตรงไปยังริมฝีปากแดงฉ่ำ
ดวงตาของเขามืดลงและหรี่เล็กลงทันที
หลินเซี่ยปิดปากตัวเองอย่างระวังตัว “ทำไมคุณมองฉันแบบนั้นล่ะ? นี่เราอยู่นอกบ้านนะ”
ภาพเมื่อคืนนี้ยังติดตาไม่หาย เมื่อเห็นเขาทำหน้าทำตาเหมือนหมาป่าหิวโหยที่พร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่ออีกครั้ง ริมฝีปากของเธอก็ชาหนึบไปหมด
เฉินเจียเหอไอเบา ๆ มองไปทางประตูแล้วถามว่า “ทำไมวันนี้ไม่มีใครเข้าร้านเลย?”
หลินเซี่ยบอกว่า “สภาพอากาศอึมครึมแบบนี้ ไม่มีใครออกมาข้างนอกหรอก”บราวนี่ออนไลน์
หลังจากกินข้าวเสร็จ เธอก็เหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดกับเขาว่า “เอาล่ะ รีบกลับบ้านเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอไม่ต้องการจากไป เขานั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างนั้น พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ราวกับว่ายังมองหน้าเธอไม่หนำใจ
“กลับไปเถอะค่ะ ได้เวลาทำงานต่อแล้ว”
“อืม”
ท้ายที่สุดเฉินเจียเหอก็อดใจไม่ไหว ก่อนจะจากไป เขาขยับเข้าไปใกล้เธอ บดจูบริมฝีปากแดงอวบอิ่ม จากนั้นก็กระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “ไว้เจอกันตอนเย็น”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลูบหัวเธอแล้วจากไป
เวลากลางวันแสก ๆ แบบนี้ เธอยังรู้สึกถึงกลิ่นอายชายชาตรีที่อบอวลคลุ้งอยู่ในห้อง หลินเซี่ยยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว
เธอตั้งตารอที่จะ ‘เจอกันเย็นนี้’ ด้วยซ้ำไป
เมื่อเจียงอวี่เฟยมาถึง เธอเห็นหลินเซี่ยนั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาโดยที่หน้าแดงก่ำ ก็ทำตาเหล่สีหน้ายียวนหยอกล้อใส่
“ทำอะไรของเธอน่ะ?”
เจียงอวี่เฟยมองออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ฉันเพิ่งเดินสวนกับเฉินเจียเหอข้างนอก เขายิ้มร่าเหมือนคนบ้าเลย พอเดินเข้ามาก็เห็นเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พวกเธอสองคนแอบทำอะไรกันตอนกลางวันแสก ๆ หรือเปล่า?”
หลินเซี่ยลุกขึ้นยืนหันหลังให้เธอ ก่อนจะเช็ดริมฝีปาก “เราไม่ได้ทำอะไรกันซะหน่อย แค่เจอหน้ากันแล้วมีความสุขก็เท่านั้นเอง”
“เธอกินข้าวมาหรือยัง?” หลินเซี่ยพูดต่อ “ฉันยังมีซุปไก่เหลืออยู่ เทใส่ชามแล้วจิบไปหน่อยหนึ่ง และส่วนที่เหลือยังไม่ถูกใครแตะต้อง”
“กินมาแล้ว”
เจียงอวี่เฟยทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วคร่ำครวญว่า “เธอไม่รู้อะไร นับตั้งแต่วันนั้นพ่อฉันก็ไม่เปิดเตาทำกับข้าวเองอีก เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีเวลาว่าง เขาจะแวะไปหาแม่เธอเพื่อซื้อเหลียงเฝิ่นกลับมากินตลอดเลย กินคนเดียวไม่พอยังห่อกลับมาฝากฉันที่บ้านด้วย ถึงแม้เหลียงเฝิ่นฝีมือคุณป้าจะอร่อยมากแค่ไหน แต่พอกินทุกวันก็เบื่ออยู่ดี ฉันเพิ่งค้นพบว่าเหลียงเฝิ่นเหมาะกับมื้อเที่ยงมากกว่า พอกินเป็นมื้อเย็นทีไรท้องอืดทั้งคืนเลย”
หลินเซี่ยประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “พ่อเธอจริงจังขนาดนั้นเชียว?”
“แหงสิ เขาคือตาลุงวัยกลางคนที่เพิ่งจะสนใจชอบพอเพศตรงข้าม แถมยังเป็นคนตรงไปตรงมา เห็นเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาน่าจะเก็บกดมันมานานหลายปี แค่รอเวลาให้ฉันออกปากอนุญาตว่าแต่งงานใหม่ได้”
“สิ่งสำคัญคือแม่ของฉันไม่ได้คิดอะไรในเชิงนั้นกับเขาเลย น่ากลัวว่าการทำงานหนักของเขาอาจไม่มีประโยชน์”
“ฝากไปบอกคุณป้าหน่อยสิ รับพ่อฉันไว้พิจารณาหน่อยก็ดี ไม่งั้นฉันคงได้กินเหลียงเฝิ่นทุกวัน”
หลินเซี่ยพูดติดตลก “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอยิ่งต้องกินมันทุกวันนะ”
หลินเซี่ยมองหญิงสาวที่มีสีหน้าตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง รีบพูดในสิ่งที่เธออยากได้ยิน “ฉันส่งเพจไปนัดโจวอี้ตอนบ่าย เย็นนี้เราสามออกไปกินข้าวด้วยกัน รอบนี้ฉันจะเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษจริงจังแล้ว”
“หา? ทำไมจู่ ๆ เธอถึงเชิญพวกเราไปกินข้าวล่ะ?” จู่ ๆ ดวงตาของเจียงอวี่เฟยพลันสว่างขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของโจวอี้
“ฉันอยากฉลองเนื่องในโอกาสเปิดร้านใหม่ และในโอกาสที่จดทะเบียนสมรสแล้ว เมื่อวานพวกเธอสองคนไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินข้าวด้วยกัน แปลกตรงไหนที่ฉันจะเลี้ยงข้าวพวกเธอย้อนหลัง?”
หลินเซี่ยยิ้ม ถามว่า “เมื่อวานตอนเย็น เธอสองคนไปกินข้าวด้วยกันมาหรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอบอกว่าเฉินเจียวั่งมีนัดกินข้าวมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นหญิง เลยมาร่วมยินดีไม่ได้
ถ้าเฉินเจียวั่งไม่ได้โกหก เพื่อนผู้หญิงคนนั้นที่เขาสบายใจจะอยู่ด้วยที่สุดก็น่าจะเป็นเจียงอวี่เฟย
จากสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขายังไม่สามารถอยู่ตามลำพังกับผู้หญิงที่เขาไม่คุ้นเคยได้
แน่นอน เจียงอวี่เฟยมองเธออย่างคาดคั้น “เธอรู้ได้ไง?”
คำตอบของเจียงอวี่เฟยถือเป็นเครื่องยืนยันอีกเสียงว่าโจวอี้คือคนเดียวกับเฉินเจียวั่ง
“ฉันก็แค่ลองเดา”
เมื่อชุนฟางเข้ามาหลังจากพักเที่ยง หล่อนก็พาชายชราคนหนึ่งมาด้วย
“เซี่ยเซี่ย คุณลุงคนนี้มาตัดผม ฉันขอไปสระผมให้เขาก่อนนะ”
แต่ชายชราดูเหมือนมีท่าทางไม่ค่อยเต็มใจ “แม่หนู แค่ตัดผมฉันไปอุดหนุนร้านโน้นเอาก็ได้ ไม่เห็นต้องลากฉันมาถึงที่นี่เลย”
“คุณลุง เรามีโปรโมชั่นเปิดร้านพอดีค่ะ คิดราคาแค่ห้าเหมาเท่านั้น”
ชุนฟางเริ่มผสมน้ำ จากนั้นก็เริ่มสระผมให้คุณลุงโดยไม่ให้โอกาสเขาปฏิเสธ
หลินเซี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มุมปากของเธอกระตุกเล็กน้อย
คงเป็นลูกค้าที่ชุนฟางไปลากมาอุดหนุนเชิงบังคับสินะ?
คุณลุงเพลิดเพลินกับบริการที่เอาใจใส่อย่างอดทน ไม่นานก็ถูกชุนฟางผลักให้ไปนั่งบนเก้าอี้
หลินเซี่ยจัดการตัดผมให้ลุง จากนั้นก็โกนหนวดเคราตามใบหน้า
เมื่อมองดูชายชราที่ถูกเนรมิตให้อ่อนกว่าวัยลงหลายปีในกระจก เธอยิ้มแล้วถามว่า “คุณลุง เป็นยังไงบ้างคะ?”
คุณลุงยกนิ้วให้เธอและยืนยันฝีมือของเธอว่า “ไม่เลวเลย แม่หนู ฝีมือเธอนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าฝีมือของอาจารย์จางที่เปิดร้านตรงหัวมุมถนนเลย”
คุณลุงจ่ายเงินห้าเหมา ก่อนจะออกจากร้านไปด้วยความพึงพอใจ
รถบรรทุกขนาดเล็กขับมาจอดที่หน้าประตู เซี่ยไห่ หลินจินซาน และคนอื่น ๆ กระโดดลงจากรถบรรทุก จากนั้นก็เริ่มขนถ่ายสินค้าอย่างยุ่งวุ่นวาย
หลินเซี่ยมองออกไปข้างนอก เห็นว่าบนรถมีทั้งโซฟา เก้าอี้ และสิ่งของอื่น ๆ บนรถบรรทุกมากมาย ดูจากสไตล์การผลิตแล้วน่าจะสั่งซื้อมาสำหรับตกแต่งห้องเต้นรำโดยเฉพาะ
วันนี้เซี่ยไห่แต่งตัวอย่างเรียบง่าย ซึ่งเป็นภาพที่หาชมได้ยาก เขาสวมแจ็กเก็ตกับหมวก ทำงานร่วมกับหลินจินซานและคนอื่น ๆ
“ฝนใกล้จะตกแล้ว รีบขนของลงเร็วเข้า คืนนี้ฉันจะพาพวกนายไปเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่”
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที หลินเซี่ยและเจียงอวี่เฟยจึงวิ่งออกไปช่วยพวกเขาขนของด้วยอีกแรง
หลังจากที่สินค้าต่าง ๆ ถูกเคลื่อนย้ายลงจากรถเสร็จ สายฝนก็เริ่มตกปรอยลงมาเบา ๆ หลินเซี่ยเพิ่งออกมาจากประตูร้านถัดไปก็เห็นหลิวกุ้ยอิงกับหลินเยี่ยนกำลังวิ่งมาทางนี้พร้อมกับร่มในมือ พร้อมด้วยกล่องพลาสติกที่น่าจะบรรจุเหลียงเฝิ่นไว้ข้างใน
เมื่อเห็นหลิวกุ้ยอิง หลินเซี่ยก็รีบทักทายเธอ “แม่คะ ฉันกำลังจะบอกให้พี่ชายออกไปช่วยแม่ปิดร้านอยู่พอดีเลย”
“เราเห็นว่าฝนจะตกเลยรีบเข็นรถเข็นกลับบ้าน โชคดีที่บ้านเราอยู่ไม่ไกลมาก ไม่งั้นคงโดนฝนสาดกันหมด
“วันนี้พอมีของเหลืออยู่บ้าง แม่เลยห่อกลับมาแบ่งให้ทุกคน” หลังจากเข้าไปในร้านตัดผมแล้ว หลิวกุ้ยอิงก็หยิบชามเหลียงเฝิ่นออกมาจากกล่องใบใหญ่ แล้วพูดว่า “เอาไปฝากเพื่อนพี่ชายของลูกด้วยสิ แม่คิดว่าเขาน่าจะชอบกินพอสมควรเลยล่ะ”
“ค่ะ ฉันจะไปชวนพวกเขามากินข้าวด้วยกัน”
ตอนแรกเซี่ยไห่ตั้งใจว่าจะพาเฉียนต้าเฉิงและหลินจินซานไปกินอาหารมื้อใหญ่ แต่ฝนเทกระหน่ำลงมาเสียก่อน พวกเขาไม่ได้กินอะไรลงท้องเลยตั้งแต่เช้า ค่อนข้างหิวโหยกันมาก พอได้ยินหลินเซี่ยบอกว่าแม่ของเธอเอาเหลียงเฝิ่นกับเหลียงผีมาฝากก็ตาลุกวาว
เฉียนต้าเฉิงพูดกับเซี่ยไห่อย่างตื่นเต้นว่า “หัวหน้า เหลียงเฝิ่นที่แม่ของเสี่ยวหลินทำรสชาติมากจริง ๆ มา พวกเราไปกินรองท้องกันสักชามดีกว่า”
หลินจินซานเม้มริมฝีปากเมื่อได้ยินว่าแม่ของเขามาส่งอาหาร
แม่นะแม่ แทนที่จะส่งตอนเช้าดันมาส่งตอนบ่าย แบบนี้อาหารมื้อใหญ่ของพวกเขาก็เลื่อนไปอีกน่ะสิ!
เขาถามเซี่ยไห่ “หัวหน้าครับ พวกเรายังต้องออกไปกินอาหารเย็นมื้อใหญ่อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ค่อยออกไปกินตอนค่ำ ๆ ก็ได้ ฝนตกหนักขนาดนี้ ยังมีใจจะออกไปกินข้างนอกอีกหรือไง?”
เซี่ยไห่และเฉียนต้าเฉิงรีบไปที่ร้านตัดผมเพื่อกินเหลียงเฝิ่น
หลิวกุ้ยอิงผสมน้ำซุปแล้ววางชามลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
หลินเซี่ยยิ้มและแนะนำ “เถ้าแก่เซี่ยคะ นี่แม่กับน้องสาวของฉันค่ะ เมื่อวานนี้พวกคุณน่าจะได้เจอกันแล้ว”
“สวัสดีครับพี่สาว ผมเซี่ยไห่ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของเจียเหอ และก็เป็นเพื่อนของเซี่ยเซี่ยด้วย”
หลิวกุ้ยอิงเป็นคนเรียบร้อยและเรียบง่าย เซี่ยไห่ไม่ได้พูดหยอกล้อเล่นอะไรกับหล่อนอย่างเสียมารยาท เขายิ้มแล้วพูดต่อ “อาจดูเหมือนไม่เหมาะสมที่จะเรียกคุณว่าพี่สาว แต่ผมคิดว่าคุณก็น่าจะอายุพอ ๆ กัน ถ้าเรียกคุณป้าอาจจะยิ่งดูไม่เหมาะสมเข้าไปใหญ่”
“แม่ฉันอายุสี่สิบ คุณก็อายุสามสิบแปดแล้ว จะให้เรียกป้าอะไรกัน? เรียกว่าพี่สาวเถอะ”
“มากินข้าวกันเถอะ” หลิวกุ้ยอิงแจกจ่ายชามให้พวกเขาแต่ละคน หลินเยี่ยนก็รีบหยิบตะเกียบแจกพวกเขาหลังจากนั้น
หลินจินซานบอกว่าเขาไม่อยากกิน เพราะตั้งตารออาหารมื้อใหญ่ในตอนเย็น
หลินเซี่ยกลัวว่าเขาจะแขวนท้องไส้กิ่วจนอดตายเสียก่อน จึงหยิบถุงข้าวสวยและหมูผัดพริกที่ยังไม่ได้แตะออกมา “กินสักหน่อยเถอะ กับข้าวพวกนี้ฉันยังไม่ได้แตะ”
เซี่ยไห่ก้มหน้าก้มตากินเหลียงเฝิ่นแล้วพยักหน้าซ้ำ ๆ “สุดยอดเลย อร่อยมาก”
“เถ้าแก่เซี่ยคุ้นเคยกับการกินวัตถุดิบรสเลิศที่มาจากบนเขาและทะเล ได้กินอาหารพื้นถิ่นแบบนี้ ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ”
เซี่ยไห่กลอกตาไปทางหลินจินซาน “แล้วฉันไม่ควรกินของอร่อย ๆ พวกนั้นหรือไง? สมัยเด็ก ๆ ฉันเคยลำบากมากกว่าพวกนายตั้งไม่รู้กี่เท่า”
ขณะกินข้าว โทรศัพท์มือถือที่เอวของเซี่ยไห่ก็ส่งเสียงดัง
เขาวางตะเกียบลงแล้วรับโทรศัพท์
“แม่”
เมื่อเซี่ยไห่ได้ยินคำพูดจากปลายอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เขาก็พูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น “แม่ว่าไงนะ? ความทรงจำของพี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอ?”
แม่เฒ่าเซี่ยตอบกลับ “ใช่ เขาร้องโอดโอยมาสองวันแล้ว เหมือนมีอาการปวดหัว ตอนหลับก็นอนละเมอเรียกหาอิงจื่อ แม่เลยคิดว่าความทรงจำของเขาน่าจะฟื้นคืนกลับมาบ้างแล้ว”
“อิงจื่อ? ใครน่ะ?” เซี่ยไห่ถามอย่างสงสัย
“แม่ก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกัน เลยโทรมาถามแกนี่ไงว่าในบรรดาคนรู้จักของพี่ชาย มีใครบ้างที่ชื่ออิงจื่อ แต่ฟังจากชื่อน่าจะเป็นผู้หญิงนะ”
“ขอผมนึกแปบหนึ่ง”
สัญญาณโทรศัพท์ในตัวอาคารไม่ค่อยดี เซี่ยไห่จึงวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อคุยโทรศัพท์
เฉียนต้าเฉิงเอาใจใส่มาก ยกชามและตะเกียบตามออกไปให้เขาได้นั่งกินต่อด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หรือว่าอิงจื่อจะมาจากหลิวกุ้ยอิงแม่หลินเซี่ย?
ไหหม่า(海馬)