บทที่ 150 เซเลอร์มูน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 150 : เซเลอร์มูน

มุมปากของหลินเจี๋ยกระตุก เขาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขายังมีจิตสำนึกอยู่ หลินเจี๋ยก็พึมพำกับตนเอง “การระเบิดสองครั้งแรกนั้นค่อนข้างใกล้ และบางทีก็อาจเป็นเพราะเราเป็นตัวซวย แต่ครั้งนี้มันห่างจากเราไปหลายถนนเลย คิดว่ามันคงไม่เกี่ยวอะไรกับเราแล้ว…มั้งนะ?”

ชายหนุ่มยังจำได้อยู่ที่เขาเคยพูดว่า ‘หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น’ แล้วคืนนั้นก็มีเหตุแก๊สระเบิดบนถนนฝั่งตรงข้ามเขาพอดี ซึ่งเปลี่ยนให้ทุกอย่างที่นั่นเป็นเศษซากไปหมด…

เราไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ปากอัปมงคลพูดอะไรออกไปแบบนั้นในช่วงนี้นะ…

หลินเจี๋ยส่ายแล้วแล้วรูดม่านปิด จากนั้นก็กลับไปที่โต๊ะของเขา

อืม…แก๊สระเบิดในนอร์ซินดูจะเกิดขึ้นบ่อยแฮะ

หลินเจี๋ยเคยเห็นข่าวลักษณะนี้ทุกเดือนในตลอดสามปีที่ผ่านมาและโรงกลั่นแก๊สที่ระเบิดขึ้นเป็นครั้งคราว บางทีหลินเจี๋ยก็สงสัยว่าพวกเขากำลังทำระเบิดอยู่มากกว่าจะเป็นแก๊สด้วยซ้ำ

แม้ว่าเขาจะพูดเล่นไปเช่นนั้น สำนักข่าวเล็ก ๆ บางแห่งในนอร์ซินกลับตีความไปไกลกว่านั้นอีก พวกเขากระทั่งสงสัยว่าโรงกลั่นแก๊สที่ว่านั่นที่จริงแล้วจะเป็นโรงงานทำอาวุธสงครามที่บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ซุกไว้

และการระเบิดในแต่ละครั้งนั้น ที่จริงก็คือพวกเขาที่กำลังทดสอบอาวุธใหม่…

สำนักข่าวที่น่าเชื่อถือกว่านั้นนิดหนึ่งพูดว่าพวกเขาแอบไปสัมภาษณ์ผู้บริหารอาวุโสของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์มาแล้วและได้รับข้อมูลมาว่า ‘แก๊ส’ นี่ที่จริงแล้วเป็นพลังงานแบบใหม่ที่ไม่เสถียรเอามาก ๆ ที่พวกเขาค้นพบในเมืองเขตล่างและกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ดังนั้นจึงเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

ความเห็นมีหลากหลาย แต่สรุปสั้น ๆ ก็คือการระเบิดซ้ำ ๆ นี่เป็นหนึ่งในเรื่องพื้นบ้านประจำเมืองนอร์ซิน…

ไม่ว่ากรณีใด เมื่อสำนักงานฝ่ายปกครองเขตกลางถูกสอบถามเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ คำตอบก็มีเพียงคำตอบเดียวเสมอ ‘อย่าถามเลย มันคือแก๊สระเบิด’

สายตาของหลินเจี๋ยกลับมาที่หนังสือบนโต๊ะ และนิ้วของเขาก็กลับไปพลิกหน้ากระดาษอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มมักจะไปนอนในเวลานี้ แต่วันนี้เขาอ่านหนังสือติดลมมากจนแทบไม่ทันสังเกตวันเวลาเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะแก๊สระเบิดรบกวนเขา หลินเจี๋ยก็อาจจะอ่านหนังสือยันสว่าง

“หายากนะที่เราจะอยู่ดึกขนาดนี้…” หลินเจี๋ยทอดถอนใจ

จากนั้นเขาก็เสียบที่คั่นหนังสือ ปิดหนังสือลงแล้วเตรียมตัวไปนอน

พูดจริง ๆ แล้ว ภาพวาดประกอบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองอัลฟอร์ดในหนังสือนั้นมีรายละเอียดและความชัดเจนสูงมาก มีการแสดงให้เห็นถึงภาพอำนาจวิเศษและเรื่องเพ้อฝันที่ดูราวกับเป็นเรื่องในตำนานมากมาย ซึ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนการรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบของตำนานจีนและประวัติศาสตร์ที่อ่านสนุกมากจริง ๆ

ทว่าเมื่อคำบรรยายส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องที่แคนเดลา ราชาองค์สุดท้ายแห่งอัลฟอร์ตได้ทำไว้นั้นเหมือนกับสิ่งที่เขาได้เห็นมาก่อนในความฝัน หลินเจี๋ยในตอนนี้ก็รู้สึกว่าเนื้อหาของหนังสือนั้นส่วนใหญ่คงจะจริง แค่ว่าพวกเขาไม่สามารถยืนยันได้แล้วว่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วจริง ๆ หรือไม่

เขาอ่านมาจนถึงช่วงที่เกี่ยวกับการมาถึงของยุคมืดที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ถูกความมืดกลืนกินไปด้วยกัน ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเคลือบแคลงเล็กน้อย

นี่เป็นเพราะว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังคงอยู่บนฟ้าเหมือนปกติ และมันก็ดูไม่เหมือนว่าพวกมันถูกกลืนมาก่อนเลย

ทว่าไม่นานชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเทพบางตน และส่วนนี้ของหนังสือก็หมายถึงการตายของเขา

“ดวงอาทิตย์ถูกดับลงอย่างเงียบเชียบในขณะที่สัตว์ร้ายขโมยผิวหนังของดวงจันทร์ไป”

คำอธิบายที่ทั้งแปลกประหลาดและคลุมเครือนี้มีความเป็นไปได้มากมายแค่จากการสันนิษฐานของเราคนเดียว…

หลินเจี๋ยรู้สึกเหมือนหัวของตัวเองเริ่มปวดในขณะที่เขาคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ แล้วพึมพำกับตนเอง “ซิลเวอร์บอกว่าเธอจะบอกความจริงกับเราต่อเมื่อหลังจากที่เราบรรลุวิชาดาบแล้ว อาา…เราโดนหลอกแล้วสิเนี่ย!”

“แต่การสร้างแดนนิมิตของเราเองนี่ยิ่งแหกตากันหนักเข้าไปใหญ่!” หลินเจี๋ยบ่นอุบพลางปิดไปแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียง

เขาขึ้นโครงร่างของแดนนิมิตแรกของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่มันเป็นเพียงพื้นที่สุดลูกหูลูกตาที่เต็มไปด้วยความมืดโดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรที่นั่นเลย และหลินเจี๋ยก็ทำได้แค่เดินไปเดินมาในนั้น

หลินเจี๋ย ‘วาง’ อีเธอร์ทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ในแดนนิมิตของเขา และต้องเป็นตอนที่เขากำลังฝันอยู่เท่านั้นที่เขาจะอยู่ในสภาวะที่เห็นหรือสัมผัสอีเธอร์ได้

ยิ่งกว่านั้น…ความคืบหน้านั้นขึ้นช้าพอ ๆ กับหอยทากคลาน

มันยากจริง ๆ ที่จะสร้างสิ่งของที่ใกล้เคียงความเป็นจริงในแดนนิมิตจนกระทั่งตัวเขาเองยังเชื่อว่าของสิ่งนั้นเป็นของจริง

ทว่าในวันนี้หลินเจี๋ยได้จุดประกายแรงบันดาลใจในครั้งนี้ และคิดออกถึงทางที่อาจจะช่วยลดความยากและทำให้การสร้างแดนนิมิตง่ายขึ้น

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หลินเจี๋ยก็ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดแล้ว

แล้วชายหนุ่มก็ยื่นมือกดออกไปข้างหน้าเล็กน้อยและสัมผัสกับพื้นผิวเรียบ ๆ ในขณะที่มองลงไป เขาก็เห็นโต๊ะไม้มะฮอกกานีเก่า ๆ ปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่าง

มีกองหนังสือเละ ๆ กองหนึ่ง แผนการเรียนสองสามชิ้น แว่นตาคู่หนึ่ง อุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ กับปากกาสองสามอย่าง และกระดาษเก่า ๆ อีกหนึ่งแผ่น

หลินเจี๋ยยิ้มแล้วเคาะข้อนิ้วของเขาบนโต๊ะ เสียง ความรู้สึกและผิวสัมผัสนั้นเหมือนของจริงทุกประการ

“มันได้ผลแฮะ”

เขาพูดแล้วนั่งกลับลงไปอย่างใจกล้า แล้วเก้าอี้ตัวหนึ่งก็ปรากฏจากอากาศธาตุมารองรับตัวเขาไว้โดยอัตโนมัติ…

เก้าอี้ที่หลินเจี๋ยสร้างขึ้นมาให้ตนเองเป็นพิเศษนั้นให้ความรู้สึกสบายเหมือนเดิม เขาหลับตาลงแล้วเอนตัว ในตอนนี้ เท้าของชายหนุ่มก็สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นไม้

เพดานที่คุ้นตาทักทายสายตาเขาเมื่อมองขึ้นไป

แล้วหลินเจี๋ยก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นว่าความมืดนั้นได้กลายเป็นห้องทำงานที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่มีกลิ่นราโชยมาจาง ๆ

ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานนัก แสงจากธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาจากทางหน้าต่าง ฝุ่นคลุ้งไปบนอากาศ และหมู่ใบไม้เขียวชะอุ่มด้านนอกก็พริ้วไหวเสียดสีกันในสายลม…

หลินเจี๋ยแน่ใจว่าตัวเองจะเห็นเถาวัลย์เลื้อยไปตามกำแพงได้ถ้าเขาไปเปิดหน้าต่าง และเขาจะเห็นทางเดินยาวที่นำไปสู่บันไดหากเขาเปิดประตูที่อีกด้านหนึ่งออก

ความคุ้นเคยนี้…แน่นอนว่ามันคือบ้านของเขาเองที่เขาใช้ชีวิตอยู่มานานกว่ายี่สิบปีก่อนที่จะย้ายโลกมา มันเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุด

แดนนิมิตแรกของเขาถูกสร้างขึ้นสำเร็จแล้ว!

หลินเจี๋ยรู้สึกว่าในอนาคต การสร้างแดนนิมิตอื่น ๆ จะไม่ยากเกินไปสำหรับเขาแล้ว

ความรู้สึกคิดถึงที่ท่วมท้นครอบงำใจหลินเจี๋ยเมื่อเขาทอดสายตามองกระดาษโบราณบนโต๊ะของเขา แล้วเขาก็พลันมีความคิดหนึ่งขึ้นมา เราจะ…สร้างคนขึ้นมาในแดนนิมิตได้ไหมนะ?

เขาส่ายหน้าทิ้งความคิดที่คงอยู่แค่เพียงวินาทีนี้ไป

มูเอนตื่นขึ้นเมื่อแสงแรกส่อง เธออาบน้ำ สวมผ้ากันเปื้อนแล้วเริ่มทำอาหาร แล้วเธอก็ทำตัวเป็นนาฬิกามนุษย์แล้วไปปลุกเจ้าของร้านหลินในเวลาที่ตั้งไว้

ในขณะที่กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ มูเอนก็แอบเหลือบมองหน้าของหลินเจี๋ยซ้ำ ๆ ระหว่างเคี้ยวอาหาร

แล้วเธอก็พลันสบตาเข้ากับหลินเจี๋ย

มูเอนหยุดลงทันทีแล้วจ้องหลินเจี๋ยอย่างไม่กะพริบตา แก้มของเธอยังป่องเพราะข้าวในปาก แต่เธอก็ดูมั่นใจและใจกล้า

มุมปากของหลินเจี๋ยกระตุก เขาวางตะเกียบลงแล้วยิ้มอย่างใจเย็น “มีอะไรจะพูดหรือเปล่าครับ?”

เขาเข้าใจว่าเด็กอายุประมาณนี้บางครั้งก็จะมีคำถามน่าอายที่จะถามพ่อแม่ของตน บางทีเรื่องพวกนี้ก็ต้องการการชี้นำอย่างใจเย็นจากบุพการีเพื่อที่เด็ก ๆ จะสามารถผ่านช่วงวัยรุ่นของพวกตนไปได้อย่างราบรื่น

มูเอนลังเล แล้วพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “นะ…หนูอยากเป็นดวงจันทร์ค่ะ!”

…ช่าย แบบนี้แหละ รอยยิ้มของหลินเจี๋ยแข็งค้างไปเล็กน้อย

ยัยบ๊องนี่ เธอก็อยากจะเป็นเซเลอร์มูนด้วยเหรอ?