บทที่ 127 ไม่กล้าร้องขออะไรอีก

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

สมองของเหยาซูพลันว่างเปล่า

นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาสู่โลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น ทว่าร่างกายกลับแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน หลินเหราถอนริมฝีปากออกมาและถามด้วยน้ำเสียงขบขันว่า “อาซู… เหตุใดต้องให้ข้าหลับตาด้วย?”

เหยาซูรู้ว่าเขากำลังใช้คำพูดเมื่อครู่ของตนหยอกล้อนาง จึงชกเข้าที่หัวไหล่ของหลินเหราด้วยความโมโห แต่กลับทำให้หญิงสาวเจ็บมือเสียเอง แถมในใจก็ยังขุ่นเคืองไม่น้อย

เหยาซูรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง “ปล่อยข้านะ! ท่านนี่มัน มัน…”

หลินเหราหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็กุมมือขวาของเหยาซูมาวางบนฝ่ามือของตนเอง และก้มลงพรมจูบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้ามันอะไร? เจ็บหรือไม่? ต่อไปถ้าเจ้าโกรธ อย่าลงมือเองอีกเชียว ข้าจะลงมือแทนเจ้าเอง”

เอวของเหยาซูถูกเขาโอบรอบ แม้แต่มือของนางก็ยังถูกชายหนุ่มกุมไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ตระหนักได้ว่าพละกำลังระหว่างตัวเองและหลินเหราต่างกันมากทีเดียว จึงพูดด้วยความเขินอายว่า “ไปเรียนรู้การพูดเฉไฉเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใด?”

หลินเหราไม่อาจควบคุมเหยาซูที่ดิ้นพล่านไม่หยุด จึงเอ่ยเตือนนาง “อาซู หยุดดิ้นได้แล้ว เงียบหน่อยสิ”

ในตอนที่ความรู้สึกของทั้งสองคนยังไม่ปกติ เหยาซูจึงเลือกที่จะเชื่อฟังอย่างชาญฉลาด ปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

อารมณ์ของหลินเหรากลับมาปกติ ก่อนจะพูดเรื่องอื่น “เจ้าอยากฟังเรื่องราวในตอนที่ข้าอยู่ซีเป่ยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ไม่อยากฟังแล้ว?”

เหยาซูรีบพยักหน้า

ขอแค่เขาไม่ทำตัวรุ่มร่าม ให้ทำอะไรนางก็ยอมทั้งนั้น

อื้อ แม้ว่านางจะชอบเขา แต่ก็กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของทั้งสองคน จึงไม่กล้ารู้สึกกับอีกฝ่ายไปมากกว่านี้

ชายหนุ่มค่อย ๆ เล่าประสบการณ์ครั้งเมื่อเป็นทหารให้หญิงสาวฟัง “ซีเป่ยมีอากาศที่หนาวเย็น ช่วงกลางวันนั้นดีหน่อย หากเมื่อกลางคืนมาถึง แม้จะก่อไฟแล้วก็ยังไม่สามารถคลายความหนาวที่เย็นไปถึงขั้วกระดูกได้ ก่อนเข้านอนทุกคืนจะมีผู้คนจำนวนมากต่างพากันออกมาวิ่งวนอยู่สองรอบ เมื่อร่างกายอุ่นขึ้น จึงกลับเข้าไปห่อตัวในผ้าห่ม”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ทั้งยังเจือแววสั่นเครือที่ไม่ปกติอีกด้วย “ทุกวันจะต้องฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีทหารจำนวนมากที่อดทนไม่ไหว ขนาดชายฉกรรจ์ร่างสูงโปร่งถึงเจ็ดฉื่อกลับต้องมาแอบร้องไห้ในยามกลางคืน”

เหยาซูลืมไปแล้วว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายโอบกอดเอาไว้ จึงโพล่งถามอย่างประหลาดใจว่า “มีคนร้องไห้ด้วยหรือ?”

หลินเหรายิ้มบาง หน้าตาอันหล่อเหลาน่าดึงดูดเป็นพิเศษภายใต้แสงอันอบอุ่น “ที่พวกเราใช้นอนเป็นกระโจม ทหารหลายสิบคนต้องนอนอยู่บนเบาะขนาดใหญ่ ใครที่ทนไม่ได้ก็จะร้องไห้ออกมา คนภายนอกต่างก็ได้ยินกันทั่ว อีกทั้งเมื่อมีคนร้องไห้หนึ่งคน ก็มักจะพากันร้องไห้พร้อมกันทั้งกระโจม”

เหยาซูนิ่งเงียบไป

ภาพร่างในสมองของนางได้ถูกวาดออกมา

ทหารที่มาจากทั่วทุกทิศทุกทางกลุ่มหนึ่ง ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งวัน ตกดึกก็ต้องทนหนาวทนเหน็ดเหนื่อย นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มที่หนาวเย็นราวกับน้ำแข็ง

พวกเขาต่างเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว แต่กลับทนไม่ได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียอย่างนั้น…

ความรู้สึกคงติดต่อถึงกันได้สินะ

ความหวาดกลัวในสมรภูมิรบ ความเหนื่อยล้าของการฝึกฝน ความลำบากของสิ่งแวดล้อม ความคิดถึงที่มีต่อครอบครัว …เหล่าทหารก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ย่อมมีอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้เป็นธรรมดา

หญิงสาวรู้สึกอยากร้องไห้อยู่ในใจ นางยื่นมือขวาลูบลงบนศีรษะของหลินเหราอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านเคยร้องไห้หรือไม่?”

หลินเหราส่ายหน้า “ไม่เคย”

เหยาซูกลอกตาไปมา ริมฝีปากที่แวววาวและชุ่มชื้นกระตุกขึ้นพลางหยอกล้อเขาว่า “ท่านไม่เคยร้องไห้เลยหรือ? ลำบากก็ไม่ร้องไห้งั้นหรือ?”

ชายหนุ่มยังคงส่ายหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว “ข้าไม่ค่อยรู้สึกลำบาก หากต้องร้องไห้ สู้นอนหลับสักครู่เสียยังจะดีกว่า”

“ฮ่าๆๆ” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา กลับเป็นนางที่จินตนาการถึงใบหน้าของผู้ชายที่นอนอยู่เต็มกระโจมกำลังร้องไห้เหมือนเด็กน้อย แต่หลินเหรากลับนอนหลับอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด

หลินเหราพูดต่อว่า “ทหารส่วนใหญ่ร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน ทหารอย่างเราได้รับคำสั่งให้ผลัดเวรกันขึ้นมาเล่าเรื่องของครอบครัวก่อนนอน ยิ่งบ่อยครั้งเข้า ก็ยิ่งเคยชินกับชีวิตที่ไม่มีครอบครัวคอยอยู่เคียงข้าง”

เหยาซูจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ท่านก็เคยเล่าหรือ? เล่าอะไรบ้างล่ะ?”

หลินเหราไม่เคยเล่า

เขารู้สึกว่าครอบครัวของตัวเองนั้นไม่มีเรื่องราวอะไรที่ต้องเล่า

นับตั้งแต่เข้าไปเป็นทหารวันนั้น เขากลายเป็นคนที่ถูกทุกคนในครอบครัวทอดทิ้ง เช่นนั้นแล้วจะมีเรื่องราวอะไรน่าเล่า

แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวในครอบครัวของผู้อื่น ในสมองของหลินเหราที่เดิมทีไม่รู้อะไรกับคำว่า ‘บ้าน’ ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น

เขาไม่ตอบคำถามของเหยาซู กลับพูดต่อ “โดยส่วนใหญ่มักบอกคิดถึงพ่อแม่ที่กำลังแก่ชราในบ้านของตนเอง คิดถึงเด็ก ๆ ที่ยังห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อม ส่วนผู้ที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน ก็ถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร บอกว่าการสู่ขอภรรยาของตัวเองนั้นไม่ง่ายเลย… สุดท้ายเพิ่งจะกอดกันได้สองครั้ง ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้กลับไปเจอภรรยาอีกหรือไม่”

เมื่อพูดคุยถึงหัวข้อนี้หัวใจพลันรู้สึกเจ็บปวด แต่การพูดของหลินเหรากลับหักมุมไปโดยสิ้นเชิง

“ตอนนั้นข้าก็คิด หากได้กลับบ้านข้าจะอยากกอดเจ้าหรือไม่? หากสวรรค์ให้เราได้พบเจอกันอีกครั้ง เราต่างจะทะนุถนอมกันและกันหรือเปล่า?”

น้ำเสียงของเขาจริงจังแต่ก็อ่อนโยนมากเป็นพิเศษในยามค่ำคืนที่มืดสนิท

เหยาซูไม่เอ่ยสิ่งใด นางค่อย ๆ ทิ้งตัวเอนกายพิงร่างของหลินเหรา

อ้อมกอดของชายหนุ่มไม่สบายมากนัก ร่างกายก็แข็งกระด้างคล้ายกับมนุษย์หินทีเดียว

แต่เมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิร่างกายที่ถูกกั้นกลางด้วยเสื้อผ้า ความอบอุ่นของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจอันโดดเดี่ยวอ้างว้างของทั้งสองดวงรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขมากขึ้น

เหยาซูบอกความรู้สึกในใจของตัวเองไม่ได้ หากแต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากพอ นางไม่ได้พยายามหลีกหนีความรู้สึกที่แท้จริง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสน

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หญิงสาวจึงส่งเสียงกระซิบอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้เล่า? ท่านคิดอย่างไร?”

หลินเหราเผยรอยยิ้มที่สบายใจอย่างแท้จริงออกมาเป็นครั้งที่สองของวันนี้ แขนทั้งสองข้างกระชับโอบรอบตัวของนางไว้

เขาใช้ปลายจมูกซุกไซ้เรือนผมที่อ่อนนุ่มของเหยาซู จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เอ่ยหลังใบหูของนางแผ่วเบา “ไม่เคยกอด วันข้างหน้าขอแค่อาซูยินยอม …ข้าจะกอดเจ้าทุกวัน”

เหยาซูคลี่ยิ้มโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก นางอิงแอบแนบชิดไหล่ของชายหนุ่ม พร้อมกับทอดมองไปยังสถานที่ใดที่หนึ่งพลางครุ่นคิด

หญิงสาวเริ่มคิดถึงอนาคตของทั้งสองอีกครั้ง อนาคตที่เคยคิดจะพยายามอย่างหนัก เคยขบคิดอยู่ทั้งคืนสุดท้ายก็เก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจอย่างเงียบ ๆ เหตุผลเพียงข้อเดียวคือนางไม่กล้าเดิมพันในเรื่องที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้

ในชาติที่แล้วหญิงสาวไม่มีผู้ใดต้องดูแล หากแต่ในภพนี้นางมีครอบครัว ซึ่งเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง จนไม่กล้าร้องขออะไรอีก

น้ำเสียงทุ้มต่ำจากคำสารภาพที่เหยาซูได้ยินใกล้ ๆ เมื่อครู่นั้นทำให้รู้โดยพลันว่านางไม่อาจปล่อยเขาไปได้

จังหวะการเต้นของหัวใจในตอนแรกเริ่ม ความหวาดกลัวที่ปรากฏในเวลาต่อมา และความโลภที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเหมือนกับตาข่ายที่กักขังนางไว้….

ทั้งสองคนกอดกันอย่างเงียบ ๆ สำหรับเหยาซูแล้ว การขอร้อง การเสพสุข การเชื่อใจ และการพึ่งพากันและกันชั่วคราวนั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกสงบ

…..

นับตั้งแต่วันรุ่งขึ้น หลินเหราก็ยุ่งมาก แม้แต่เวลากลับบ้านก็ยิ่งดึกมากขึ้นทุกวัน

เหยาซูรู้ว่าเขาและเหยาเฉากำลังยุ่งตัวเป็นเกลียวกับเรื่องการปราบโจร จึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความนัก เพียงแค่ไปร้านขายผ้าสองสามครั้ง แล้วพูดคุยเกี่ยวกับร้านที่อยู่ถัดไป

ยามที่ดอกไม้ผลิบานในต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหยาซูก็ผลิตสีผึ้งทาปากและไขทามือกองแรกออกมา

ในช่วงเริ่มแรกที่ผลิตสีผึ้งทาปาก มีพี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาในนามของผู้ร่วมลงทุนออกเงินช่วยเหลือเหยาซู ต่อมาพวกนางก็ได้รับส่วนแบ่งไปไม่น้อย

ครั้งนี้ก่อนที่เหยาซูจะทำสีผึ้งทาปากและไขทามือ นางตั้งใจกลับหมู่บ้านตระกูลเหยาโดยเฉพาะ เพื่อถามพี่สะใภ้ทั้งสองคน แต่กลับถูกปฏิเสธ

พี่สะใภ้รองพูดจาตรงไปตรงมา นางโบกมือและเอ่ยกับนางว่า “ครั้งแรกข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ยุ่งเล็กน้อยจึงไม่ได้ช่วยเท่าไรนักเลยออกเงินบางส่วนให้เจ้า แต่กลับได้ส่วนแบ่งกลับมาไม่น้อย… ครั้งนี้ตำลึงเงินที่เจ้ามีก็น่าจะเพียงพอ เราไม่ขอร่วมแล้วกัน!”

พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มและพูดว่า “เงินในครั้งที่แล้วมากพอให้ข้าและอาเว่ยได้ใช้ตลอดทั้งปี บัดนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”

เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ยอมท่าเดียว เหยาซูทำได้แค่ถอนใจ

ช่วงเวลาที่เหยาซูกำลังยุ่ง อาจื้อและอาซือรู้ความมาก พวกเขาช่วยดูแลน้องชาย เก็บกวาดงานบ้าน คลายความยุ่งยากให้เหยาซูมากทีเดียว

ในที่สุดงานใหญ่ทุกอย่างในวันนี้ก็เสร็จสิ้นลง

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น่าจะแค่กอดกันเฉยๆ มั้งคะ คงไม่น่าทำอะไรนอกเหนือจากนั้น แต่ก็เป็นซีนที่เต็มอิ่มแล้ว

ลูกๆ ช่างรู้ใจแม่จริง ๆ เห็นแม่ทำงานหนักก็จัดการบ้านแทนจนเรียบร้อย

ไหหม่า(海馬)