อ๋องซุนมองดูจานเปล่าด้วยความโกรธด้วย เขาเผลอกินมันจนหมดอีกแล้ว และความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นในหัวใจ เขาประณามหยวนชิงหลิง “ข้าบอกให้เจ้าเตรียมแค่สามอย่าง ทำไมเจ้าถึงเตรียมเยอะขนาดนี้ เจ้ามันสิ้นเปลืองฟุ่มเฟือย กินกระดูกและเลือดของคนประชาชน เจ้ามันหนอนดูดเลือด”

ด่าเสร็จ ก็อิ่มแบกท้องที่จุกเดินไปอย่างยากลำบาก

หยวนชิงหลิงถูกด่าอย่างไม่มีเหตุผล ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ “ใครใช้ให้เขากินเยอะขนาดนั้น?”

ไม่ใช่นางกินเยอะสุดสักหน่อย ทำไมต้องด่านางเป็นหนอนดูดเลือด? ไม่ใช่เขาหรอกเหรอ?

นางมองหยู่เหวินเห้า “ท่านพี่รองของท่านสมองมีปัญหาหรือเปล่า?”

หยู่เหวินเห้าตอบด้วยสีหน้าที่หนักแน่น “ใช่”

ก็ได้ ไม่โกรธคนที่สมองมีปัญหา

แม่นมสี่ก็มารายงาน “อ๋องฉีกับพระชายาฉีก็ไปแล้ว สั่งให้ข้าน้อยมาเรียนท่าน”

หยวนชิงหลิงถามไปอย่างนั้น “พระชายาฉีไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”

แม่นมฉีกล่าว “หมอหลวงบอกว่าพระชายาเครียดไปหน่อย ธาตุไฟโจมตีไปที่หัวใจทำให้ไม่สบายไปชั่วขณะ กลับไปพักฟื้นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”

หยวนชิงหลิงมองหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นเดินออกไป ใบหน้าไร้ความรู้สึก

หยวนชิงหลิงยักไหล่ ทำเป็นไม่สนใจ!

นางสั่งแม่นมฉีไปเก็บข้าวของกลับไปให้อาหารตอเป่า เล่นกับตอเป่าที่ลานสักพัก ก็เห็นทังหยางเข้ามา “พระชายา ท่านอ๋องบอกให้ท่านไปพักผ่อน” พักผ่อน?” “ข้าไม่เหนื่อยนี่นา” หยวนชิงหลิงกำลังเล่นสนุกกับตอเป่าอยู่ ยื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

ไม่เหนื่อยเหรอ? ทังหยางยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องบอกว่าหากไม่เหนื่อย ก็ให้พระชายาคัดบทสวดวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรหนึ่งร้อยจบ”

หยวนชิงหลิงทุบมือ “พูดขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว งั้นข้าเข้าไปพักผ่อนก่อนนะ รบกวนใต้เท้าทังเรียนท่านอ๋องด้วย”

“ขอรับ!” ใต้เท้าทังหัวเราะอย่างเงียบๆ

หยวนชิงหลิงเข้าไปคลานนอนอยู่บนเตียง ไม่เหนื่อยเลยจริงๆ แต่ว่ากินยาเยอะไปหน่อย ก็เลยรู้สึกว่าง่วงนอน ไม่นานนักก็หลับไป

ทังหยางกลับไปรายงานหยู่เหวินเห้า “พระชายาไปพักผ่อนแล้วขอรับ”

“เชื่อฟังขนาดนั้นเลย?” หยู่เหวินเห้าไม่ได้เงยหน้าขึ้น กำลังคัดลายมืออยู่

“แผนท่านอ๋องใช้ได้ดี พระชายาไม่ยอมคัดบทสวดมนต์”

“ก็รู้อยู่แล้ว!” หยู่เหวินเห้าวางพู่กันลง มองดูลายมือของตัวเองครู่หนึ่ง ส่ายหัวกล่าว “ช่วงนี้หัวใจหงุดหงิด ลายมือก็ไม่ได้ดั่งใจ”

ทังหยางกล่าว “ท่านอ๋องเป็นห่วงพระชายามาก”

“บัดนี้นางรักษาอาการบาดเจ็บตามราชโองการ ข้าจะกล้าขัดราชโองการเหรอ?”

แถได้ดีมากเลย

“วันนี้พระชายาฉี………..” ทังหยางลังเลไปครู่หนึ่ง มองหยู่เหวินเห้า ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่

หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “ต่อไปนี้เอ่ยถึงพระชายาฉีน้อยๆหน่อย ข้าไม่อยากรู้เรื่องครอบครัวของน้องหก”

“ขอรับ!” ทังหยางก็อยากจะได้ยินคำตอบแบบนี้ รู้สึกดี

ตอนที่ทังหยางหันหลังเดินออกไปนั้น รู้สึกว่าชีวิตงดงามมากจนไม่อะไรจะมาเทียบได้ แม้ว่าเมื่อก่อนจะไม่ค่อยชอบพระชายา แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของพระชายาเขานั้นก็เห็นอยู่ ไม่ได้แย่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

เสียนเฟยสั่งคนส่งของบำรุงมาให้หยวนชิงหลิง ให้หยวนชิงหลิงบำรุงร่างกาย

หยวนชิงหลิงถูกปลูกจากความฝัน ได้ยินว่าแม่นมที่มาจากวังได้นำคำพูดของเสียนเฟยมาด้วย บอกให้นางเวลาจะพูดจะจา ให้นางระมัดระวังคำพูดด้วย อย่าทำให้จวนอ๋องฉู่ขายหน้า และก็อย่างทำให้นางที่เป็นเสียนเฟยขายหน้าด้วย

หลายวันมานี้หยวนชิงหลิง พักฟื้นอาการบาดเจ็บอยู่ในวัง ไม่ได้ออกไปไหนเลย

อ๋องซุนมาหานางทุกวัน เขาก็ค่อยๆสนิทกับหยวนชิงหลิงแล้ว เพราะหยวนชิงหลิงมีสิ่งหนึ่งที่เขาชอบ นั่นก็คือเป็นคนชอบกิน

อันที่จริงหยวนชิงหลิงก็กินไม่ค่อยเก่ง เพียงแต่ ผู้หญิงในสมัยนี้ นางถือว่าเป็นคนที่กินเก่ง และพฤติกรรมการกินก็ค่อนข้างเปิดเผย

อ๋องซุนพูดว่าผู้หญิงกินข้าวเหมือนนก กินไม่กี่คำก็อิ่ม มีความคิดว่าผอมแล้วจะดูสวย ทำให้ผู้หญิงนั้นกินข้าวไม่อิ่ม

วันนี้หยวนชิงหลิงสั่งให้พ่อครัวในวังทำกับข้าว อ๋องซุนไม่มาสักที โดยปกติจะมาถึงนานแล้ว วันนี้เลยเที่ยงไปแล้ว ยังไม่เห็นเขามา

หยวนชิงหลิงคิดว่าเขาคงกินจนเบื่อแล้ว หรือไม่ก็กำลังตั้งปณิธานในการลดความอ้วน จึงได้แบ่งอาหารออกไป ให้แม่นมสี่กับลู่หยากิน

สองสามวันนี้นางกินจนเบื่อแล้ว ไม่ค่อยอยากอาหาร กินข้าวต้มไปหน่อยก็ไปจุงหมาเดินเล่น

อ๋องซุนมาถึงในยามบ่าย เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรี่ยวแรง

หยวนชิงหลิงที่นั่งอยู่บันไดหิน ตอเป่านอนทับขาของนางอยู่ คนหนึ่งหมาหนึ่งกำลังเพลิดเพลินกับการตากแดด อ๋องซุนเข้ามาแล้ว ก็นั่งลงที่บันไดหินอีกฝั่งหนึ่ง สองมือกุมแก้มเอาไว้ ครุ่นคิด ไม่ทักไม่ทาย

“เป็นอะไร?” หยวนชิงหลิงถาม “ลดความอ้วนอีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

“หิวเหรอ? งั้นข้าจะสั่งพ่อครัวทำให้กับข้าวให้ท่านพี่รอง”

“กินไม่ลง!”

หยวนชิงหลิงแปลกใจ จอมตะกละกินข้าวไม่ลง? เรื่องน่าจะหนักเอาการ

“เป็นอะไร?” หยวนชิงหลิงลูบหัวตอเป่า บอกให้มันไปเล่นที่อื่น

ตอเป่าลากร่างอันขี้เกียจ ค่อยๆเดินจากไป

อ๋องซุนเอียงหน้ามองนาง “น้องห้าไม่ได้พูดเหรอ? ว่าน้องหกจะไม่ไหวแล้ว”

เจ้าหก? หยวนชิงหลิงจึงได้นึกถึงอ๋องหวยผู้น่าสงสาร หยู่เหวินหวย

เขากับหยู่เหวินเห้าเกิดปีเดียวกัน หยู่เหวินเห้าแก่กว่าไม่กี่เดือน เป็นลูกที่เกิดจากหลู่เฟย เมื่อสองปีก่อนป่วย หลังจากที่ฮ่องเต้ประทานจวนให้ ก็ไม่ได้ออกจากจวนอ๋องของเขาแม้แต่ก้าวเดียว

“เขา……..เขาเป็นโรคอะไรกันแน่? หยวนชิงหลิงถาม

“วัณโรค!”

“วัณโรค? วัณโรคปอด?”

“อืม!”

หยวนชิงหลิงหัวเราะ “วัณโรครักษาได้ ไม่ตายหรอก ทำไมถึงไม่ไหวแล้วล่ะ?”

อ๋องซุนมองนางแวบหนึ่ง “เจ้าเก่งน้อ วัณโรคยังรักษาได้ หมอหลวงยังเก่งสู่เจ้าไม่ได้เลย”

หยวนชิงหลิงตกใจ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะ วัณโรคเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำได้เพียงรอความตาย

“อาการหนักมากมั้ย?” หยวนชิงหลิงถาม

อ๋องซุนกล่าวด้วยความเศร้า “เสด็จได้สั่งคนเตรียมงานศพแล้ว ข้าเห็นในจวนโลงศพยังได้เตรียมเสร็จแล้ว ปีนี้ต้นปี เสด็จพ่อก็ได้สั่งคนไปที่สุสานจักรพรรดิสร้างสุสานให้น้องหกแล้ว บัดนี้ น่าจะสร้างเสร็จแล้ว ต่อไป น้องหกก็ต้องไปอยู่ในสุสานจักรพรรดิ พี่น้องต้องห่างกันร้อยลี้แล้ว”

หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ รู้สึกว่าเรื่องนี้สำหรับอ๋องหวยนั้นถือว่าโหดร้ายทีเดียว

คนยังมีชีวิตอยู่ ก็ใช้เวลาหลายเดือนไปเตรียมงานศพเพื่อเขา

งั้นเขาในช่วงหลายเดือนนี้ ก็น่าจะมีชีวิตอยู่ในเงาแห่งความตาย?

หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าที่เศร้าของเขา ก็กล่าวปลอบใจ “อย่าเศร้านักเลย ช้าเร็ว พี่น้องก็ได้เจอกันในยมโลก”

“……….”อ๋องซุนมองนาง ปากหมาๆของเจ้าพูดจาดีๆหน่อยไม่ได้เหรอ?

“คนเราล้วนต้องตาย” หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง นางก็ตายเคยตายแล้วครั้งหนึ่ง

อ๋องซุนลุกขึ้น “คุยกันไม่รู้เรื่อง ช่างเถอะ ข้า………..กินสักมื้อละกัน ไปสั่งพ่อครัวในวัง ข้าจะกินเนื้อสัตว์ จะดื่มเหล้าด้วย”

“ไม่ใช่บอกว่ากินไม่ลงเหรอ?” หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเขา

“กินไม่ลงก็ต้องกิน เหมือนที่เจ้าพูด คนเราล้วนต้องตายทั้งนั้น และคนก็ต้องกินข้าวเหมือนกัน ในเมื่อเรื่องตายเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ เรื่องกินก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้เหมือนกัน”

หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะนับถือ เขาไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถไปโยงกับเรื่องกินได้ เพียงแต่นี่มันเป็นนิสัยของคนจีน ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็ต้องกิน

การเกิด ครบเดือน ครบขวบ สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่งงาน งานศพ ล้วนไม่พ้นเรื่องกิน ไม่เพียงแต่ตัวเองกิน ยังจะเรียกญาติเพื่อนพ้องมากินด้วย

“หมอหลวงว่ายังไง?” หยวนชิงหลิงถาม

“หมอหลวง? ในเวลาสำคัญแบบนี้ กลับไม่เอาไหนเลย เสด็จพ่อก็รับสั่งแล้ว หากรักษาไม่หาย ต้องถูกตัดหัวทุกคน”

หยวนชิงหลิงสะดุ้งตกใจ “ตัดหัว?”

“แต่ละคนไม่มีหนทางเลย ไม่ตัดหัวแล้วจะเอาไว้ทำไม?”

“หมอไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ว่าโรคอะไรก็จะสามารถรักษาหายได้ ตอนนั้นที่ไท่ซ่างหวงป่วย หมอหลวงก็ไม่มีหนทางรักษาเหมือนกัน”

“โชคดีที่ไท่ซ่างหวงไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นหัวคงหลุดจากบ่าแล้วจริงๆ”

หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะตกใจ ช่วยราชวงศ์รักษาอาการป่วยเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายจริงๆ