บทที่ 197 ยอดนักแสดง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 197 ยอดนักแสดง

ฟ้าราตรี ลึกล้ำ

แสงจันทรา เย็นเยือก

ฝนโปรย พัดสาด

จันทร์ส่องสกาวสูงเด่นราวจานเงินบนท้องฟ้าราตรีสุดลึกล้ำ มาพร้อมกับแสงจันทร์เย็นเยือกวูบหนึ่ง หลอมรวมเข้ากับน้ำฝนที่หลั่งรินลงมากะทันหัน ส่องสะท้อนอ่าวท่าเรือของเจ็ดเนตรโลหิตจนส่องแสงระยิบระยับ เฉกเช่นเดียวกับที่กำลังหลั่งไหลเป็นหยาดหยดอยู่บนชายคาด้านนอกหอตระหนักฝัน

หยาดฝนรวมเป็นสาย สายฝนก่อตัวเป็นม่าน

แสงจันทร์ไม่ทันได้เบี่ยงหลบ ส่องสะท้อนเงาสลัวออกมา

ราวกับเป็นภาพวาดราตรีที่สีลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมสะท้อนบ้านเพียงครึ่งหลังอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะภาพที่แสงจันทร์และสายฝนอยู่ด้วยกัน เห็นได้ไม่บ่อยนัก

ตอนนี้ บนถนนที่เลือนรางด้วยม่านฝน ร่างในชุดนักพรตสีเทาร่างหนึ่ง กางร่มกระดาษสีขาว สาวเท้าเดินเข้ามา

มองไม่เห็นหน้าค่าตาของคนที่อยู่ใต้ร่ม แต่ร่างกายที่สูงชะลูดท่วงท่าองอาจ จนถึงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านขณะที่ก้าวเดิน ทำให้หลังจากที่น้ำฝนเข้าใกล้กลายเป็นหมอกฝนผ่านข้างกายไปแผ่วเบา

หลั่งไหลไปในระลอกที่เกิดขึ้นจากการเหยียบย่างบนพื้นของพื้นรองเท้า ทีละวง ทีละผืนติดต่อกัน

ร่างเงาใต้ร่มฝั่งหนึ่ง ในเงามืดใต้ชายคาหัวมุมถนนยังมีคนอีกสองคน คนหนึ่งถือร่ม อีกคนหนึ่งไม่สนใจฝนที่สาด รีบร้อนเดินตามมา

คนที่มาคือสวี่ชิง

ส่วนใต้ชายคานั้นคือเจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ย

แม้ตอนนี้จะเป็นกลางคืน แต่สำหรับเขตถนนที่คึกคักสายนี้ สิ่งบันเทิงทั้งหมดก็เหมือนจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ร้านรวงทั้งสองด้านแต่เดิมมีเสียงผู้คนจอแจ เสียงชนแก้ว หัวเราะเบิกบาน เสียงประจบประแจงเชื้อเชิญก็ยังมี

โดยเฉพาะนอกจากร้านรวงที่หรูหราแล้ว ยังมีศิษย์ที่กลิ่นอายไม่ธรรมดาอีกไม่น้อย ราวกับกำลังพิทักษ์ที่นั่นอย่างไรอย่างนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นพวกผู้ติดตามคนใหญ่คนโตที่กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่ด้านในร้านเหล่านี้

เป้าหมายที่สวี่ชิงค้นหา ก็อยู่ในนี้ด้วย

นั่นเป็นชายหนุ่มผอมแห้งคนหนึ่ง เขายืนอยู่ใต้ชายคาหอตระหนักฝัน เดิมทีกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับศิษย์หญิงข้างกายคนหนึ่ง แต่พริบตาต่อมา จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เงยหน้ามองไปทางหัวมุมถนน

ไม่เพียงแค่เขา ร้านรวงทั้งหมดทั้งถนนสายนี้ ก็เงียบสงัดกันหมดทันที

การมาของสวี่ชิง ไม่ได้มีเจตนาที่จะแผ่พลังบำเพ็ญออกมา แต่ปราณพิฆาตบนตัวเขารวมถึงคลื่นพลังที่เกิดจากช่องเวททั้งหกสิบห้าช่อง ก็ยังทำให้คนที่สังเกตเห็นทั้งหมดพากันใจสั่นสะท้าน

ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงค่อยๆ จดจ้องมาจากสถานที่ที่ต่างกัน

สวี่ชิงยังสีหน้าปกติท่ามกลางสายตาของคนเหล่านี้ สาวเท้าเดินไปด้านหน้าหอตระหนักฝัน

ร่างของงูใหญ่ยื่นออกมาจากด้านในจากหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสองที่เปิดออก ส่งเสียงฟ่อๆ อย่างดีอกดีใจไปหาสวี่ชิง สวี่ชิงเลื่อนร่มออกไป เงยหน้าขึ้นมองงูใหญ่

เขาอมยิ้ม

ใต้แสงจันทร์ กลางสายฝน รอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำให้เสียงของงูใหญ่หยุดลงครู่หนึ่ง

ราวกับว่าทั้งร่างอ่อนยวบ จะเลื้อยออกมาหาตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกชายชราถนนทองผุดด้านหลังคว้าเอาไว้ จ้องมองสวี่ชิงเคืองๆ อย่างระมัดระวังสุดขีด

สวี่ชิงถอนสายตากลับมา มองไปที่ชายหนุ่มผอมแห้งที่กำลังสั่นเครือด้านนอกหอตระหนักฝัน

จิตใจชายหนุ่มมีเสียงครืนครันโถมฟ้าก่อตัวขึ้น ลมหายใจเขาหอบถี่จนควบคุมไม่ได้ ดวงตายิ่งเจ็บปวด ร่างเงาสวี่ชิงที่ดวงตามองเห็นก็ราวกับเป็นเทพเจ้า บิดเบี้ยวความว่างเปล่ารอบด้าน

ราวกับว่า ร่างกายของอีกฝ่ายกลายเป็นกระแสวนขนาดยักษ์ สามารถกลืนกินตนเองทั้งหมดได้ในเสี้ยววินาที

ความหวาดกลัวรวมถึงความน่าสะพรึง ก็เอ่อล้นออกมาอย่างบ้าคลั่งไปทั้งตัวชายหนุ่มคนนี้ ขณะที่ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเลือดเนื้อทั้งหมดก็ส่งเสียงกรีดร้อง กำลังบอกกับเขาว่าตอนนี้กำลังอันตรายถึงขีดสุด

เพราะว่า เขาไม่เพียงแต่มองเห็นสวี่ชิง และยังมองเห็นสวีเสี่ยวฮุ่ยที่ติดตามสวี่ชิงมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังเขา!

เขาเคยเจอสวีเสี่ยวฮุ่ย สามเดือนก่อนหลังจากที่จัดการมดปลวกโจวชิงเผิงคนนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีคนกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ จึงแอบจับตาดู และก็พบกับสวีเสี่ยวฮุ่ยที่กำลังหาเบาะแสเหมือนลูกกวางบาดเจ็บไร้ที่พึ่ง

เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจคนอ่อนแอที่ตบให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียวเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทีเปราะบางในสถานการณ์นั้นของสวีเสี่ยวฮุ่ย เขาก็รู้สึกสนใจจึงแสร้งเข้าไปช่วยเหลือ เล่นด้วยสักพักก็เบื่อหน่ายไม่สนใจนางอีก

แต่ตอนนี้ ใจของเขาสั่นเทา

เขารู้จักสวี่ชิง รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายชื่อเสียงเลื่องลือไร้เทียมทาน ก่อนที่เขาจะสังหารโจวชิงเผิง ก็รู้มาว่าสวี่ชิงกับโจวชิงเผิงเข้ามารุ่นเดียวกัน แต่ก็แค่รุ่นเดียวกันเท่านั้น

ในเจ็ดเนตรโลหิต รุ่นเดียวกันไม่สำคัญ ที่นี่ล้วนเป็นที่เลี้ยงกู่ จะไปมีสิ่งที่เรียกว่ามิตรไมตรีอยู่ได้อย่างไร

ดังนั้นต่อให้เป็นตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงเลย กระทั่งรู้สึกว่าบางทีน่าจะไม่ใช่อย่างที่ตนเองคิดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงเดินมา ขาจึงฝืนกลั้นอาการสั่นเทา ก้มหน้าคารวะทันที

“คา…คารวะ..อาจารย์อาสวี่”

“เป็นเขาใช่หรือไม่” สวี่ชิงเบนสายตาไปหาเจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ย

เจ้าใบ้พยักหน้าอย่างนอบน้อม สวีเสี่ยวฮุ่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างเคียดแค้น ก่อนหน้าตอนที่เห็นแผ่นหยก นางก็เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาตนเองช่างโง่เง่าเสียจริง เวลานี้จึงพยักหน้าแรง

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ จิตวิญญาณชายหนุ่มผอมแห้งที่ยืนอยู่หน้าหอตระหนักฝันคนนี้ก็ส่งเสียงครืนครัน ถอยหลังด้วยสัญชาตญาณแล้วรีบร้อนเอ่ยขึ้น

“นายท่านช่วยข้า…”

แทบจะตอนที่เสียงของเขาเพิ่งเปล่งออกมาก็ชะงักหยุดไปทันที เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศข้างกายสวี่ชิงในพริบตาที่เขาอ้าปาก เข้าประชิดฉับพลัน แทงทะลุลำคอของเขาไป

พลังอัสนีที่แฝงอยู่ด้านใน แผ่ซ่านไปตามบาดแผลทั่วร่าง ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดวงวิญญาณแตกสลาย ร่างกายแห้งแตกในพริบตา เหมือนกับจะแตกสลาย

และอัสนีในน้ำฝนก็นำสายฟ้าในชั้นเมฆบนท้องฟ้า ฟาดอัสนีครืนครันสายหนึ่งมาจากท้องนภาในพริบตา ราวกับงูสีเงินตัวหนึ่งจุติลงมาบนร่างของชายหนุ่มผอมแห้งที่เดิมทีกลายเป็นศพไปแล้ว

เสียงตูมดังขึ้น ศพที่แห้งแตกของเขาก็แตกสลายกลายเป็นเนื้อแห้งสีดำหลายก้อนที่ปล่อยควันออกมา ร่วงลงกับพื้น และถูกสายฝนพัดดับไป

ภาพนี้ สั่นสะเทือนเกินไป จนทำให้คนที่มองเห็นทั้งหมดมีคลื่นยักษ์โถมสวรรค์ก่อขึ้นมาในจิตใจ

แม้ว่าการที่สร้างฐานสังหารรวมปราณ เดิมก็ควรจะเรียบร้อยหมดจดเช่นนี้ แต่การลงมือของสวี่ชิงน่าตกตะลึงเกินไป กระทั่งดึงสายฟ้าสวรรค์มาด้วย สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่เห็นจิตวิญญาณสั่นสะท้าน

เหล็กแหลมสีดำกลับมาในพริบตา ลอยอยู่เงียบๆ ด้านหลังสวี่ชิง ผสานรวมอยู่กับเจ้าเงา

และยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนที่มองเห็นรอบๆ จิตใจสั่นสะท้านเข้าไปอีก

ตอนนี้รอบๆ เงียบสงัดลง สวี่ชิงกำลังจะจากไป แต่ตอนนี้เอง เสียงประหลาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ชั้นสองของหอตระหนักฝัน ดังมาจากหน้าต่างที่หลิงเอ๋อร์เปิดไว้

“ไอ้หยาเสี่ยวเจี้ยนเจี้ยนที่ตายไปคนนั้นเป็นคนติดตามที่เจ้าพามาก่อนหน้านี้ เมื่อครู่เขาขอความช่วยเหลือจากเจ้านี่”

เสียงนี้เป็นของนายกอง

สวี่ชิงก่อนหน้าตอนที่มองไปทางงูใหญ่กับชายชราถนนทองผุด ก็สังเกตเห็นว่าในห้องส่วนตัวยังมีกลิ่นอายอีกสองสาย คนหนึ่งเขาคุ้นเคยอย่างมาก ส่วนอีกคนเขาก็ใช่ว่าจะไม่รู้จัก

สวี่ชิงจึงเงยหน้า มองไปทางหน้าต่างห้องส่วนตัวด้านบน

ในห้องส่วนตัว อู๋เจี้ยนอูอัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งเหลือบมองนายกองที่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม หลังจากนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ เขาก็แค่เสียงเย็นชา สะบัดชายเสื้อลุกขึ้น คลื่นไฟชีวิตดวงหนึ่งระเบิดขึ้นครืนครันในร่างกายเขา ท่วงท่าพลังราวสายรุ้ง จนทุกทิศทางสั่นสะเทือน

“ว้าว~” นายกองโห่ร้องเสียงสูงตามมาติดๆ

อู๋เจี้ยนอูรู้สึกว่าคนผู้นี้โง่เสียจริง และการที่ตนเองจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่ก็ดูน่าขายหน้าเกินไป ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะมองนายกองเลย ปรี่ไปที่หน้าต่างด้วยสีหน้าอึมครึม

เมื่อไปถึงหน้าต่าง คลื่นพลังกลิ่นอายทั่วร่างเขา พลังบำเพ็ญปะทุขึ้นถึงขีดสุด สายอัสนีครืนครันบนท้องฟ้า และมีกระบี่ใหญ่ทองสัมฤทธิ์เล่มหนึ่งปรากฏออกมาจากชั้นเมฆ พุ่งเป้ามายังสถานที่แห่งนี้

ราวกับมีความโมโหโกรธาโหมขึ้นท้องฟ้ากำลังก่อตัวขึ้นในร่างอู๋เจี้ยนอู พร้อมระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นมีจิตสังหารที่น่าตกตะลึงก็กำลังแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา สุดท้ายก็ผสานเข้าไปในดวงตา จ้องมองสวี่ชิง

“ทำไมเจ้าจึงสังหารคนติดตามของข้า!!”

ประโยคนี้ เขาพูดอย่างแข็งกร้าว

มาพร้อมกับความน่าเกรงขามจนถึงสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ท่วงท่าพลังประดุจสายรุ้งก็รู้สึกถึงความอัจฉริยะฟ้าประทาน

โดยเฉพาะขณะพูดจา เสียงครืนครันของสายอัสนีบนท้องฟ้าก็แล่นแปลบปลาบไปทั่วสารทิศ กระบี่ใหญ่ทองสัมฤทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นเล่มนั้นแผ่ความคมกริบไร้ที่สิ้นสุดออกมา

ภาพนี้ ทำให้คนทั้งหมดในร้านรวงรอบๆ จิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง

เวลานี้จึงพากันออกห่างอย่างรวดเร็ว พวกเขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าถัดจากนี้…น่าจะมีการต่อสู้ศึกใหญ่เกิดขึ้นที่นี่

ถึงอย่างไรสวี่ชิงคนนี้ก็สังหารคนติดตามต่อหน้าเจ้านาย เรื่องนี้ก็เหมือนกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญของยอดเขาลำดับหนึ่งก็รักหน้าตากันทั้งนั้น จะต้องไม่ปล่อยผ่านไปแน่ๆ

ขณะเดียวกันงูใหญ่ในห้องส่วนตัวนี้ ดวงตาก็เผยความดุร้ายพุ่งเป้าไปที่อู๋เจี้ยนอู เหมือนคิดจะฉกเขาอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ถูกชายชราถนนทองผุดกอดเอาไว้แน่น

ในใจชายชราตอนนี้ก็เบิกบานอยู่สักพักแล้ว แอบคิดว่าสวี่ชิงเอ๋ยสวี่ชิง จากนี้เจ้าจะทำอย่างไร ยอดเขาลำดับหนึ่งเป็นพวกเข้าข้างพรรคพวกมากที่สุด แล้วศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหน้าอู๋เจี้ยนอูทั้งแปดคน พวกเขาก็ชอบยกพวกอาละวาดเป็นที่สุดด้วย

ขณะเดียวกัน เจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ยข้างๆ สวี่ชิงก็จิตวิญญาณสั่นสะท้านเช่นกัน

เจ้าใบ้เงยหน้า ต่อให้ร่างกายจะสั่นเทาใต้แรงกดดันของอู๋เจี้ยนอู แต่ก็ยังแยกเขี้ยวแหลมออกมา จ้องที่คอของอีกฝ่ายเขม็ง

ส่วนสวีเสี่ยวฮุ่ยก็กัดริมฝีปากล่าง ก้นบึ้งจิตใจร้อนรนยิ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องของตนเองเรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงลำบากเสียแล้ว

ทว่า…ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของคนทั้งหมดนี้ มีเพียงสวี่ชิงที่ยังสีหน้าปกติ

เขามองไปยังอู๋เจี้ยนอูที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเย็นเยียบ ไม่พูดเลยแม้แต่ประโยคเดียว ขณะที่ยกมือขวาเหล็กแหลมสีดำก็ลอยหวึ่งออกมาจากเงาที่อยู่ด้านหลัง

ตอนนี้เอง เสียงหัวเราะยาวของอู๋เจี้ยนอูก็ดังออกมาจากหน้าต่าง

เขาเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่าพลางพยักหน้า และส่งเสียงที่หมายถึงว่ายอมรับด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเสียงยังดังมากราวกับจะให้คนทั้งหมดได้ยินอย่างไรอย่างนั้น

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้าพูดมามีเหตุผล เรื่องนี้ในเมื่อเป็นความแค้นส่วนตัวของพวกเจ้า เช่นนั้นสกุลอู๋ก็ไม่ควรไปก้าวก่ายจริงๆ”

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรเลย

“เรื่องดื่มสุราก็ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้สกุลอู๋เข้าใจ” อู๋เจี้ยนอูอ้าปากหัวเราะร่า

“ฮ่าๆ สหายสวี่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ช่วงนี้ข้าไม่มีเวลาจริงๆ ช่างเถิดๆ สกุลอู๋ก็ชื่นชมความสำเร็จในเผ่าสิงซากสมุทรของเจ้า แต่เจ้าก็ยังเกรงใจเช่นนี้ เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้กับข้า สกุลอู๋เองก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณจากการสังหารคนผู้นี้ สกุลอู๋จะจ่ายให้เจ้าเอง!”

หลิงเอ๋อร์เบิกตากว้าง มองอู๋เจี้ยนอู จากนั้นก็มองไปยังความว่างเปล่ารอบตัวเขา ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร

“อืมอืม ได้ ไว้มีเวลาพวกเราค่อยมาพบกัน สกุลอู๋ขอตัวก่อน วันนี้ได้พบสหายสวี่ข้ายินดีมาก”

ในห้องส่วนตัว อู๋เจี้ยนอูเอ่ยขึ้นเสียงดังลั่น น้ำเสียงร่าเริง จากความน่าเกรงขามแต่แรก ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเริงร่า สุดท้ายบนใบหน้าก็มีรอยยิ้ม ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าประหลาด ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้พูดอะไรเลยสักประโยค

อู๋เจี้ยนอูกวาดมองสีหน้าสวี่ชิง ก้นบึ้งจิตใจสั่นเทา รีบร้อนสะบัดชายเสื้อ ยังคงหัวเราะร่า เดินออกจากห้องส่วนตัว

มุ่งหน้าสู่ขอบฟ้าห่างไกล ฝ่าสายอัสนีลมฝนก้าวเท้าออกไป

ร่างของเขาลอยขึ้นราวเทพเซียน ประดุจม้วนภาพงดงาม เผยภาพที่น่าตื่นตะลึงออกมา

“ผู้ยอดเยี่ยมหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ กลืนกินทะเลเมฆข้าจะขึ้นกลายเป็นเซียน”

กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดบนฟากฟ้าติดตามอยู่รอบๆ จากการที่เขาทะยานไปเบื้องหน้า เสียงนั้นดังก้องไปทั่วสารทิศ ห่างออกไปเรื่อยๆ