บทที่ 183 กล่องอาหารที่น่าสยดสยอง

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกมาตีจ้านเป่ยเซียวโดยสัญชาตญาณไปครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยความโมโห: “ท่านเล่นบ้าอะไรของท่าน!”

ฝ่ามือนี้นั้นตีลงไปเต็ม ๆ ฮ่องเต้เซวียนถ่งและทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงตีดังชัดเจน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสียงเอ็ดด้วยความโมโหโดยไม่ปิดบังเสแสร้งของเฟิ่งชิงหัว

ทุกคนต่างพอกันจับจ้องไปที่ทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เห็นได้ชัดว่าวินาทีนี้ได้ลืมไปแล้วว่าอะไรคือไม่เหมาะอย่าไปดูอย่าไปฟัง

เฟิ่งชิงหัวเองก็ได้สติกลับคืนมา ท่าทางการหันหลังกลับไปมองราวกับเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้กล้ามองไปทางฮ่องเต้เซวียนถ่ง ท่าทางบนใบหน้ามีทั้งประหม่าทั้งเคอะเขิน

เมื่อสักครู่นี้ เหมือนว่า ตัวเองจะ ทำร้ายร่างพระโอรสของฮ่องเต้เซวียนถ่ง?

พระองค์ทรงรักพระโอรสเช่นนี้ คงจะไม่แตกหักกับตนเองหรอกนะ?

ภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏขึ้นมาในสมองของเฟิ่งชิงหัวอย่างรวดเร็ว พบเพียงว่าฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ตวาดนางขึ้นมา: เจ้ากล้าทำร้ายพระโอรสของข้า ทหาร เอาตัวออกไป โบยให้ตาย! ก่อนที่จะโบยให้ตายให้แล่เนื้อเถือหนังสักรอบก่อน!”

ทันใดนั้นเอง เอวก็ได้ถูกคนบิดหนึ่งครั้ง ความรู้สึกเจ็บทำให้เฟิ่งชิงหัวได้สติกลับคืนมา สบตาเข้ากับแววตาอันลึกซึ้งของจ้านเป่ยเซียว ในนั้นเต็มไปด้วยความสงบ และไม่มีแม้แต่ความโกรธที่ตนเองถูกตีต่อหน้าผู้คนมากมาย

จ้านเป่ยเซียวหรี่ตามองเฟิ่งชิงหัว: “ขอบคุณพระชายาที่ช่วยหนวดหลังให้ข้า เพียงแต่ว่าที่นี่มีคนอยู่เยอะ รอกลับจวนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งไม่ค่อยอยากจะเชื่อ และเอ่ยขึ้นมา: “นวดหลัง? แรงแบบนั้น คนปกติคงโดนตีจนบาดเจ็บหนักไปแล้วกระมัง?”

จ้านเป่ยเซียวกล่าว: “ลูกและพระชายาเล่นกันแบบนี้เป็นปกติแทบทุกวัน หมอเทวดาบอกว่ากระดูกของลูกอยู่ในช่วงฟื้นฟู ค่อนข้างจะแข็ง ไม่อ่อนพอ จะต้องออกแรงนวดถึงจะเป็นประโยชน์ กำลังของพระชายาเองก็ได้เรียนมาตามที่หมอเทวดาแนะนำ มิเช่นนั้นละก็ตรีอ่อนแอเช่นนาง จะมีพลังอะไรกัน”

ได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็เชื่อ ยิ้มพลางลูบเคราบริเวณคางที่ไม่มีอยู่จริง และมองดูเฟิ่งชิงหัวด้วยความชื่นชม: “พระชายาเจ็ดมีความดีความชอบในการดูแลเจ้าเจ็ด สมควรให้รางวัล เมื่อไม่นานมานี้ซีเซี่ยได้ส่งเครื่องบรรณาการใหม่มาเป็นไหมโหรหยุน ประทานให้เจ็ดม้วน รวมทั้งหยกเลี่ยมทองสิบชิ้น หยกมรกตหนึ่งองค์”

เฟิ่งชิงหัวมองดูฮ่องเต้เซวียนถ่งที่โดยปกติแล้วเฉลียวฉลาด ทว่ากลับถูกพระโอรสของตนเองเกลี้ยกล่อมเล้าโลมจนกลายเป็นคนติงต๊อง ก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก

เอวถูกบิดอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำของจ้านเป่ยเซียวได้ดังขึ้น: “ใจลอยอะไรอยู่ ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก”

เฟิ่งชิงหัวได้สติกลับคืนมา โค้งคารวะขอบพระทัยอย่างคล่องแคล่ว พยายามกดมุมปากที่จะยกขึ้นเอาไว้อย่างเต็มที่

ถ้าหากต่อยจ้านเป่ยเซียวสักหมัดแล้วจะได้รับของพระราชทานมากมายเช่นนี้ นางสามารถตีจนเขาตายก่อนวัยอันควรได้

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เสด็จพ่อได้โปรดวางพระทัย ลูกสะใภ้จะต้องดูแลท่านอ๋องอย่างเต็มที่แน่นอนเพคะ” “ดูแล” สองคำนี้นางได้เน้นหนักมาก

ฮ่องเต้เซวียนถ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

จากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ได้ไปยืนอยู่ที่ด้านหลังของเจิ้นเป่ยเซียว ไม่ให้โอกาสเขาลอบทำร้ายตนเองเลยสักนิด

ไม่นานนัก ข้าหลวงก็ได้นำผลการชันสูตรศพของไป๋จื่อหยางส่งเข้ามา หลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งดูอยู่รอบหนึ่งก็ได้ยื่นให้พวกเหยียนหรูชิง จากนั้นก็ได้ส่งถึงมือของเฟิ่งชิงหัว

เฟิ่งชิงหัวมองดูสภาพของด้านในท้องและผิวหนังของคนพวกนั้น และพยักหน้า: “เสด็จพ่อ ผลชันสูตรของไป๋สวี่โจ้วไม่ได้แตกต่างไปจากที่ลูกสะใภ้และท่านอ๋องได้เห็นเลย สีแดงของผิวหนังนั้นเป็นภาวะเลือดคั่งที่เกิดจากการระเบิดของเลือดในชั้นรองลงไปของผิวหนัง ในขณะเดียวกันนั้นอวัยวะภายในอย่างหัวใจรวมทั้งใจและปอดล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ระยะแรกหมอหลวงอย่างมากก็ตรวจพบได้เพียงว่าหัวใจเต้นเร็ว ส่วนอย่างอื่นนั้นตรวจไม่พบ แต่ว่าพระองค์เองก็รู้ดี หัวใจเป็นต้นกำเนิดของร่างกาย หัวใจชราภาพบ่งบอกว่าพลังชีวิตของคนคนหนึ่งกำลังหมดไปอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนกับที่คนเรานับเวลาสามร้อยหกสิบวันเป็นหนึ่งปี คนพวกนี้สิบปีเหมือนหนึ่งวัน ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็จะอ่อนแรงลงจนกระทั่งตายไป”

“บวกกับที่ไตและปอดล้มเหลวทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ มันเกิดได้จากการถูกพิษเท่านั้น โรคระบาดจะทำลายตั้งแต่ภายนอก คนพวกนี้เกิดการชราภาพตั้งแต่อวัยวะภายใน ถ้าลูกสะใภ้ดูไม่ผิดละก็ คนพวกนี้ ต้องมีอายุไม่เกินสามสิบอย่างแน่นอน ไม่ควรมีร่างกายอย่างกับคนแก่อายุนับร้อยปี ลูกสะใภ้คิดว่า สามารถให้ไป๋สวี่โจ้วเข้าพบ”

“ใต้เท้าทุกท่านมีความเห็นเช่นไร?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ฟังฟิ่งชิงหัวกล่าว สีหน้าก็จริงจังขึ้นมาตาม

เหยียนหรูชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม: “หม่อมฉันเห็นด้วยกับพระชายา”

“กระหม่อมเห็นด้วย”

“กระหม่อมเห็นด้วย”

หนานกงจี๋มองดูคนอื่น ๆ อีกสามคน แม้ว่าภายในใจจะไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ได้แต่กล่าวตาม: “กระหม่อมก็เห็ฯด้วย”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็เรียกไป๋จื่อหยางเข้ามา อธิบายพวกนี้ให้ละเอียด”

ไม่นานนัก ไป๋จื่อหยางก็ได้เดินเข้ามา ในมือของเขา ยังได้ถือบางอย่างที่มีขนาดเท่ากับกล่องอาหารเอาไว้

ฮ่องเต้เซวียนถ่งสงสัย: “ในมือของเจ้าถืออะไรเอาไว้?”

ไม่รอให้ไป๋จื่อหยางกล่าว ข้าหลวงที่อยู่ด้านข้างก็ได้กระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเขา ท่าทางของฮ่องเต้เซวียนถ่งแข็งทื่อไปทันที จากนั้น สีหน้าก็ดูแย่เป็นพิเศษ

“บังอาจ! เจ้ากล้าเอาของแบบนี้เข้ามาในวังหลวงได้อย่างไร!” ฮ่องเต้เซวียนถ่งตวาดขึ้นมา มองไปดูอย่างละเอียด แม้กระทั่งมือที่วางอยู่บนโต๊ะยังสั่นสะท้าน

เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว: “เสด็จพ่อโปรดรอสักครู่ หม่อมฉันเป็นคนให้ไป๋จื่อหยางนำของที่อยู่ในนั้นเข้ามาเอง จุดประสงค์ก็คือเพื่อบอกถึงความสำคัญของเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อได้รับทราบชัดเจน”

“ยังมีสิ่งใดพูดไม่ชัดเจน เจ้าถึงจำเป็นต้องนำของสิ่งนี้เข้ามา! ที่นี่คือวังหลวง มิใช่ตลาดสด!” ฮ่องเต้เซวียนถ่งกล่าวด้วยความไม่พอใจอย่างเต็มเปี่ยม หากไม่ใช่เพราะจ้านเป่ยเซียวก็อยู่ที่นี่ด้วย บวกกับที่เมื่อสักครู่ตนพึ่งได้พระราชทานรางวัลแก่นางไป ฮ่องเต้เซวียนถ่งจะต้องไล่เฟิ่งชิงหัวออกไปอย่างแน่นอน

คลับคล้ายคลับคลา เหมือนว่ามีกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ แผ่ซ่านไปทั่วห้องทรงพระอักษร

เฟิ่งชิงหัวไม่ลนลานเลยสักนิด และเอ่ยขึ้นมา: “เสด็จพ่อ พระองค์และใต้เท้าทั้งหลายต่างก็ไม่ใช่หมอมืออาชีพ ดังนั้นจึงยังไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกสะใภ้กล่าวมาในเมื่อสักครู่นัก ดังนั้นเลยได้เลยได้เอาของจริงมาให้ทุกท่านวินิจฉัย”

“ต้องวินิจฉัยเยี่ยงไร? ของพวกนั้นล้วนมีรูปร่างเหมือนกันมิใช่หรือ?” วินาทีนี้ฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกและปากเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย กลัวว่าตนเองจะคลื่นไส้อาเจียนโดยที่ไม่มีอะไรออกมา

เฟิ่งชิงหัวล้วงเอาบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับถุงมือในปัจจุบันออกมาจากอ้อมแขนอย่างไม่รีบร้อน และสวมลงไปที่มือของตัวเอง จากนั้นก็รับเอากล่องมาจากมือของไป๋จื่อหยาง นั่งยอง ๆ ลงไปบนพื้น และหยิบเอาบางสิ่งบางอย่างที่มีสีแดงสดออกมาจากด้านใน”

ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งห้องทรงพระอักษรก็เงียบเป็นเป่าสาก วินาทีต่อมา เสียงคลื่นไส้อาเจียนก็ได้ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ

ที่หนักสุดก็คือฮ่องเต้เซวียนถ่ง หากเมื่อสักครู่แค่เพียงพูดจาไม่ลื่นไหล เช่นนั้นตอนนี้ก็ได้เริ่มเหลือบตามองบนแล้ว แม้แต่พูดยังพูดไม่ออก นอนหงายอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าซีดขาว

ข้าหลวงพลางทำให้เลือดลมไหลเวียนพลางกล่าว: “บังอาจ บังอาจยิ่งนัก!”

เฟิ่งชิงหัวมีท่าทางไร้เดียงสา: “เสด็จพ่อ นี้ก็คือหัวใจของคนอื่น ๆ พวกนั้น พระองค์ดูว่ามีสิ่งไหนแตกต่างหรือไม่?”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าได้บอกว่าดูไม่ออกว่ามีสิ่งใดแตกต่าง หรือบอกว่าเขาไม่อยากจะดูเลยสักนิดกันแน่

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ก็ใช่ เช่นนี้มันดูไม่ออกจริง ๆ ว่ามีสิ่งใดแตกต่าง พระองค์รอสักประเดี๋ยว”

กล่าวไป ก็ได้วางก้อนเนื้อก้อนนั้นลงไปบนพื้น และล้วงออกมาจากด้านในอีกหนึ่งก้อน กล่าวขึ้นมา: “นี่เป็นของชายหนุ่มที่ได้เสียชีวิตไป พอจะดูออกหรือไม่?”

ฮ่องเต้เซวียนถ่งส่ายศีรษะต่อไป

เฟิ่งชิงหัวทำเช่นเดิม หยิบเอาออกมาติดต่อกันสี่ก้อน วางอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียงกันเป็นหนึ่งแถว เป็นภาพที่น่าสยดสยอง

ในทางกลับกัน เฟิ่งชิงหัวกลับมีท่าทางเรียบ ๆ ราวกับว่าที่วางอยู่ตรงหน้านั้นเป็นเพียงผักผลไม้ที่มีสีสันสดในเป็นพิเศษเท่านั้นเอง

ดวงตาทั้งสองข้างของฮ่องเต้เซวียนถ่งแถบจะถลนออกมา มองดูก้อนกลม ๆ พวกนั้น ร่างกายโอนเอน อึดอัดที่หัวใจ

จ้านเป่ยเซียวเห็นนางไม่ขยับเขยื้อน รู้ว่าคนผู้นี้กำลังแกล้งคนอื่นอีกแล้ว ไม่เห็นหรือว่าคนอื่น ๆ นอกจากเขาและไป๋จื่อหยางต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดี

“พอแล้ว รีบพูดจุดสำคัญเถอะ” จ้านเป่ยเซียมกล่าวอย่างสงบ ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความรักใคร่ที่ผู้อื่นไม่อาจพบเจอ

เฟิ่งชิงหัวมองดูเขา และยิ้มให้กับเขา จากนั้นถึงได้เริ่มกล่าวอธิบายขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน: “เสด็จพ่อ และใต้เท้าทุกท่านโปรดดู ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจของ ชายหนุ่ม ชายวัยกลางคน ชายชรา รวมทั้งผู้ที่ตายจากการถูกพิษ เมื่อเทียบกับหัวใจดวงแรกแล้วต่างก็มีจุดที่เหมือนกันและต่างกันอย่างเห็นได้ชัด”