ฝูงแพะวิ่งมาด้านนี้ ไม่ใช่เรื่องพบยาก
ฉีโจวกับเป่าโจวเขตแดนเชื่อมติดกัน ถึงขั้นมีหมู่บ้านบางแห่งครึ่งหนึ่งอยู่ที่ฉีโจวครึ่งหนึ่งอยู่ที่เป่าโจว ยามปกติทุกคนก็ไม่แบ่งแยกข้าเจ้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
“มาหลายครั้งแล้วหรือ? ไม่หาให้พวกเขาเล่า?” ผู้บัญชาการทหารหลี่ลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
จางจือเฉิงถลึงตาทันที
“อาศัยอะไร” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงเคยสอนพวกเรา ต้องไร้หัวใจอย่างสิ้นเชิงกับชาวจิน เจ้าพวกลูกสัตว์ฝูงนี้ล้วนเป็นพวกไม่ตีไม่จำนน”
ผู้บัญชาการทหารหลี่สีหน้าลังเล
“ตอนนี้ไม่ใช่เฉิงกั๋วกงไม่อยู่รึ” เขาเอ่ย “ชิงเหอปั๋วหลายวันก่อนหน้านี้เพิ่งออกคำสั่งบอกว่าต้องรักษาความกลมเกลียวที่ชายแดน หลีกเลี่ยงก่อเรื่องจุดความขัดแย้ง”
จางจือเฉิงไม่ชอบฟังคำนี้
“อะไรคือก่อเรื่อง?” เขาเอ่ยขึ้น “แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่ใช่พวกเราก่อเรื่อง พวกเราปกบ้านป้องเมืองกลายเป็นก่อเรื่องได้อย่างไรแล้ว?”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ก็ไม่ชอบฟังคำนี้เช่นกัน
“ใครว่าพวกเจ้าก่อเรื่อง? อย่าพูดเหลวไหล นี่ข้าแค่เตือนนิดหน่อย วันนี้โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกคนทำงานก็ต้องเปลี่ยนสักหน่อย” เขาบอกกล่าว
ได้ยินคำนี้ จางจือเฉิงยิ่งหดหู่
“กฎไร้สาระยิ่งมากขึ้นทุกทีจริงๆ” เขาเอ่ย “ก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงนอกจากเรื่องฝึกทหารกับการป้องกันที่ไม่อนุญาตให้หละหลวมสักนิด เรื่องอื่นล้วนเป็นไปตามโอกาส ไหนเลยมีกฎมากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังพูดถึงกฎกับชาวจินอีก กำปั้นก็คือกฎ”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ตบโต๊ะทีหนึ่ง
“เจ้านี่เรียกว่ากฎอะไร? ตะโกนอะไรกับข้า” เขาหน้าบึ้งตวาดแล้ว “ยังมีกฎระเบียบหรือไม่?
จางจือเฉิงยืนตัวตรงสีหน้าเคร่งขรึมขานขอรับทันที
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าตอนนี้ปรับตัวไม่ค่อยได้” ผู้บัญชาการทหารหลี่ผ่อนเสียงลงอีกครั้ง “แต่ตอนนี้กับก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกัน เจรจรสงบศึกกับชาวจินแล้ว ไม่อาจเผชิญหน้าก็ทำร้ายเข่นฆ่าเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ได้”
จางจือเฉิงอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกก็ยังอดกลั้นไม่อยู่
“ใต้เท้า เจรจาสงบศึกแล้วก็เจรจาสงบศึกแล้ว แต่ชาวจินก็ยังเป็นชาวจินนะขอรับ พวกเราอยู่กับพวกเขามานานปี ยังไม่รู้สันดานของพวกเขาหรือ” เขาเอ่ย “เจ้าพวกนี้รู้จักแต่ไม่แข็งไม่รู้จักไม้อ่อน ไม่มีทางคุยเรื่องความสงบกับพวกเขาได้เด็ดขาด”
ผู้บัญชาการทหารหลี่ตบโต๊ะอีกครั้ง
“เจ้าหุบปาก” เขาถลึงตาตวาด “สรุปคือเบื้องบนมีคำสั่ง ห้ามทำลายกฎระเบียบ”
จางจือเฉิงก้มศีรษะขานรับทราบ
ด้านนี้กำลังพูดจากัน พลันมีนายทหารก้าวเร็วไววิ่งเข้ามาในโถงที่ว่าการ
“ใต้เท้า ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งคนมาขอรับ” เขาตะโกน
ผู้บัญชาการทหารหลี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“รีบเชิญ” เขาเอ่ยอย่างเคารพ พลางก้าวไวไปข้างนอกต้อนรับ เดินไม่กี่ก้าวก็คล้ายเพิ่งคิดถึงจางจือเฉิงที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ “เจ้าไปเถอะ”
จางจือเฉิงขานรับมองผู้บัญชาการทหารหลี่แล้วก้าวเร็วไวจากไป
“จริงๆ เลย ต้องเคารพเช่นนี้หรือ? ก่อนหน้านี้ใครเห็นขุนนางพลเรือนเจ้าพนักงานเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ” ตอนนี้เขาถึงเงยศีรษะพึมพำทีหนึ่ง
ผู้ตรวจการชั่วคราวของมณฑลฉีโจวเป็นขุนนางพลเรือน คนที่เขาส่งมาย่อมเป็นขุนนางพลเรือนเช่นกัน หากเป็นก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการทหารหลี่คงไม่เห็นอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว
นี่ล้วนเพราะเฉิงกั๋วกงไม่อยู่
“ท่านกั๋วกงจะกลับมาเมื่อไร?”
นอกป้อมปราการ นายทหารกลุ่มหนึ่งบ้างนั่งยองบ้างยืนมองจางจือเฉิงแล้วเอ่ยขึ้น
“วันเวลานี้คงไม่สั้น”
“ใช่แล้ว แม่ทัพของที่อื่นล้วนกลับมาแล้ว เหลือเพียงท่านกั๋วกง”
จางจือเฉิงถ่มหญ้าแห้งที่คาบอยู่ในปากออก
“ใกล้แล้วกระมัง” เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือ
เพิ่งพูดจบนายทหารคนหนึ่งก็ก้าวเร็วไววิ่งมา
“ใต้เท้าจาง ใต้เท้าผู้บัญชาการทหารให้ท่านพาคนไปหาแพะที่ชาวจินทำหายขอรับ” เขาเอ่ย
คำนี้ออกมาปุบ นายทหารที่อยู่ที่นั่นตกตะลึงอย่างยิ่ง
“อาศัยอะไร!” นายทหารที่อยู่ที่นั่นก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเช่นกัน
“อาศัยอะไร!” จางจือเฉิงถลึงตา กระโดดลุกขึ้นมาตะโกน
นายทหารหวาดกลัวอยู่บ้างถอยหลังก้าวหนึ่ง
“ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวทราบเข้าขอรับ บอกว่าชาวจินน่าสงสาร เพื่อความสงบของชายแดนและความสัมพันธ์ที่ดีของสองแคว้น ให้ช่วยเหลือให้ดี” เขาเอ่ยอย่างรีบร้อน คำพูดสละสลวยเหล่านั้นเขาก็เลียนแบบไม่ได้ “สรุปคือให้พวกท่านไปหา หาพบหาไม่พบล้วนต้องมีคำอธิบาย”
พูดจบก็วิ่งจู๊ดไปแล้ว กลัวจะถูกจางจือเฉิงตีสักยก
จางจือเฉิงโกรธจนอยากตีคนจริงๆ
“ข้าจะไปถกกับพวกเขา” เขาตะโกน “ครั้งนั้นโจรจินปล้นวัวแพะของพวกเราไปเท่าไร ย่ามันสิจริงๆ ตอนนี้จะให้พวกเราไปหาแพะให้เขา”
นายทหารทั้งหลายรีบขวางเขาไว้ แม้โกรธเกรี้ยวแต่ก็รู้ว่าคำสั่งของเบื้องบนไม่อาจขัดขืนได้
“แค่เพราะชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยชาวจิน ใต้เท้าจะทะเลาะกับขุนนางเบื้องบนไม่ได้นะขอรับ นั่นย่อมยกประโยชน์ให้พวกเขา”
ทุกคนพากันเอ่ยกล่อม
จางจือเฉิงก็รู้ว่าตนเองคนต้อยต่ำวาจาแผ่วเบา คำสั่งที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวสั่งลงมา เขาโวยวายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ได้แต่สะบัดมืออย่างขุ่นเคือง
“อีกอย่างให้หาก็หาสิ ใครบอกว่าจะต้องหาพบ” มีนายทหารเอ่ยปลอบ
แต่บางครั้งเรื่องก็ไม่ได้เป็นไปดังคนหวังเช่นนั้น แพะสองตัวที่ชาวจินทำหายนั่นหาเจอแล้วจริงๆ แต่สิ่งที่พบคือแพะตายสองร่าง
ที่ระบุออกมาได้ เพราะหางแพะของแพะทั้งสองตัวนี้ย้อมเป็นสีแดง
ในท้องถิ่นไม่มีธรรมเนียมประการนี้
“พวกเราไม่ทราบว่าเป็นแพะของใคร ถูกสุนัขไล่จนขาหัก ถือโอกาสเก็บกลับมาก็ตายเสียแล้ว” ชาวหมู่บ้านสองคนตัวสั่นระริกเอ่ย “พวกเราถามในหมู่บ้าน ก็บอกว่าไม่ใช่แพะของบ้านตน คิดไม่ถึง…”
แม้บอกว่าสงบสุขเหลือเกิน แต่ชาวจินอย่างไรก็เป็นคำที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก วันนี้ได้ยินว่าแพะตายสองตัวนี้เป็นของชาวจิน พวกเขาก็ตกใจจนหน้าซีดขาวแล้ว
พวกเขาจะถูกจับไปฝังตามแพะของชาวจินหรือไม่?
จางจือเฉิงในใจด่าคำหนึ่ง เดินวนรอบแพะตาย ลูกตากลอกไปมา
“แพะในโลกนี้ก็หน้าตาเหมือนกันหมด” เขาเอ่ย ฉับพลันชักดาบที่เอวออกมา
ชาวบ้านทั้งสองตกใจคุกเข่าลงไป สายลมดาบวาดผ่าน หางแพะพลันลอยขึ้น
“นี่ไม่ใช่เรียบร้อยแล้วรึ” จางจือเฉิงวางดาบกลับไปข้างเอว มองแพะตายสองตัวที่ถูกตัดหางบนพื้นอย่างพอใจอยู่บ้าง พลางยกมือขึ้น “มา ในเมื่อสหายร่วมภูมิลำเนาทั้งหลายมีน้ำใจ พวกเราก็ไม่เกรงใจ คืนวันนี้กลับไปกินแพะย่าง”
ชาวบ้านกับนายทหารล้วนตะลึง จากนั้นก็เข้าใจ
ชาวบ้านทั้งหลายสีหน้าซาบซึ้งโขกศีรษะไม่หยุด นายทหารทั้งหลายก็จงใจโห่ร้องยินดีเกินจริงหัวเราะเฮฮาหิ้วแพะตายขึ้นมา
ยามม่านราตรีมาเยือน ใต้ป้อมปราการก่อกองไฟ นายทหารสิบกว่าคนล้อมวง มองดูทหารพลาธิการทำงานยุ่ง แพะย่างสองตัวบนราวน้ำมันชุ่มกลิ่นหอมฟุ้งรอบด้าน แค่กลิ่นนี้ก็มีคนไม่น้อยดื่มสุราหลายชามนักแล้ว จางจือเฉิงยิ่งถูกผู้ใต้บังคับบัญชาเป่ายิ้งฉุบกรอกเหล้า
“ย่างเสร็จแล้ว” นายทหารด้านนั้นพลันตะโกนเสียงดัง พลางตัดเนื้อตรงขาแพะออกมา “เชิญใต้เท้าชิมก่อน”
จางจือเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังลุกขึ้นยืน ตอนที่กำลังจะเตรียมรับเนื้อแพะนั่นเอง ก็มีขบวนคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งขี่ม้าเร็วรี่มา
“จางจือเฉิง” เสียงผู้บัญชาการทหารหลี่ตวาดแหลมอยู่บ้าง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร?”
ที่แท้เป็นใต้เท้าผู้บัญชาการทหารมา
จางจือเฉิงเมากึ่มๆ ชูสุราขึ้น
“ใต้เท้าหลี่มาเร็วกำลังจะเชิญท่านเลย” เขาเอ่ย “มาๆ กินเนื้อแพะ”
ผู้บัญชาการทหารหลี่กระโดดลงจากม้าหน้าแข็งทื่อ ส่งสายตาให้จางจือเฉิงไม่หยุด
“ใครให้เจ้าดื่มสุรา” เขาตะโกนไปพลาง
แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง มีคนก้าวหนึ่งก้าวแซงมาจากด้านหลังเขา
“แพะนี่ของพวกเจ้าได้มาจากที่ไหน?” คนผู้นั้นเสียงแหลมตวาดเอ่ย
กองไฟสาดส่องชุดขุนนางพลเรือนของเขา สีหน้าทะมึนไม่นิ่งดูไปแล้วน่ากลัวอยู่บ้าง
จางจือเฉิงส่างเมาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง รู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นขุนนางที่ใต้เท้าผู้ตรวจการชั่วคราวส่งมาสอบถามเรื่องแพะที่หายไปของชาวจิน
“สหายร่วมบ้านเกิดทั้งหลายมอบให้พวกเรา” เขาเอ่ยเสียงดัง “หากใต้เท้าไม่เชื่อไปลองถามดูก็รู้”
เสียงเขาจบลงก็เห็นมีคนพุ่งออกมาจากด้านข้างคุกเข่าลงดังตึก
“ใต้เท้า ผู้น้อยขอเรียน นี่คือผู้ที่ปล้นแพะของชาวจิน” เขาตะโกนเอ่ยพลางชูมือขึ้นสูง
ในมือเขาชูหางแพะสองตัวไว้ในมือ ใต้แสงกองไฟสาดส่องสีแดงที่ย้อมด้านบนยิ่งแสบตา
………………………