ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 129 ออกกระบี่ในสภาพอับจน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 129 ออกกระบี่ในสภาพอับจน

สองคนที่ลอยออกปากทาง ตัวลอยขึ้นลงช้าๆ กลาง ‘น้ำทะเล’ จมลงช้าๆ สุดท้ายมาถึง ‘พื้นดิน’

ยันต์กั้นน้ำขาดไปแล้ว น้ำทะเลที่ผนึกแสงดาราพวกนี้ทะลักเข้ามา ในห้วงอากาศสามฉื่อ อากาศพังทลาย ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ต่างกับยอดปีศาจที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาพวกนั้น ต้องหายใจเอาอากาศเข้าไป เว้นแต่จะเป็นยอดผู้บำเพ็ญที่เหนือกว่าดาราชะตาขึ้นไปถึงกลั้นหายใจได้ กินแสงดาราไอวิญญาณฟ้าดินอยู่รอด หรืออาจจะเป็นคนแปลกที่มีกลอุบายพิเศษ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางต่อสู้ที่นี่ได้

หนิงอี้ไม่ใช่ดาราชะตา ในเรื่อง ‘กันน้ำ’ ก็ไม่ใช่คนแปลกที่มีกลอุบายพิเศษ

จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีชิงเยี่ยน

แต่หนิงอี้มียันต์มากพอ

ก่อนเดินทาง เด็กสาวทำยันต์ให้เขาเยอะมาก ยันต์เขาไท่ซาน ยันต์ขนห่าน ยันต์กันน้ำ ยันต์อัสนีปัญจธาตุ มีหลากหลาย ระดับสูงต่ำ เล็กใหญ่ มีหลายร้อยแผ่น และยันต์กันน้ำก็มีเกือบยี่สิบแผ่น ใช้ไปแผ่นหนึ่งยังมีอยู่เหลือๆ

ปลายนิ้วหนิงอี้จุดแสงไฟขึ้น ยันต์เปล่งแสงอ่อนๆ อากาศสามฉื่อพลันมีแรงกั้นน้ำดันออก เข้าไปในพื้นที่ไร้ธุลีดิน ต่อให้เป็นกระแสน้ำที่ราดลงมาบนศีรษะสวีชิงเยี่ยน ก็ยังแยกตัวเป็นหยดๆ และสั่นสะเทือน ก่อนจะถูกแรงมหาศาลเบียดออกไป

สวีชิงเยี่ยนโล่งอก นางหันไปมอง ข้างหลังเป็นเงามืดสูงใหญ่และเสื่อมโทรมตั้งอยู่ เพ่งมองไปข้างหลังตนเป็นเสาหินถล่ม รูปปั้นทรุดโทรมสูงตระหง่าน โซ่เก่าแก่ตกลงมาจากโดยรอบ ลากสี่มุมของเงายักษ์ เมื่อสายน้ำไหลหลาก ก็เกิดเสียงชนดังสนั่นขึ้น

ที่นี่คงจะเป็นสุสานของเจ้าของภูเขาแดง…มีกลิ่นอายที่เก่าแก่และไม่อาจสืบรู้ได้จริงๆ

ทางด้านหนิงอี้จิตใจไม่สงบลง

ตอนที่เขาตกลงมาก็เหยียบบน ‘อัญมณี’ ที่ไม่รู้ทำมาจากอะไร พลังภายนอกพาโถมเข้ามา ทำให้อัญมณีก้อนนี้แตกทันที หลังหนิงอี้เพ่งมองก็พบว่านี่ไม่ใช่อัญมณี แต่เป็นไข่มุกตะวันคร้านราวๆ พันปี

จนเมื่อเขาตั้งสติกลับมาถึงพบว่าในน้ำทะเลที่นี่ รอบๆ มีอัญมณีคล้ายๆ กันนี้ลอยอยู่ เล็กใหญ่มีเยอะเหมือนขนวัว เจ้าของสุสานแห่งนี้จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ ผู้บำเพ็ญปีศาจจะไม่ใช้ไข่มุกตะวันคร้านมาทะลวงพลัง!

ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณอยู่ภูเขาแดง จะต้องรวบรวมไข่มุกตะวันคร้านไว้เยอะมาก มอบให้กับเจ้าของสุสานเพื่อทะลวงพลัง…หนิงอี้มองอัญมณีพวกนี้ที่ถูกตนเหยียบแตก ไฟโทสะทะลักขึ้นในใจ ไม่อยากเชื่อว่าที่นี่จะมีทรัพยากรมากขนาดนี้ ทว่านี่หมายความว่าอย่างไร

ตนยังไม่ได้กินทรัพยากรทะลวงพลังก็มียอดปีศาจสูงสุดในรุ่นเยาว์มาหรือ

ยอดปีศาจกิเลนนั่นอยู่ระดับเดียวกับเฉาหลัน อย่างน้อยเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบ แม้แต่เขายังใช้ได้แค่พลังสายเลือดในกายสู้กับตน นั่นหมายความว่าผนึกแสงดาราที่นี่แข็งแกร่งจริงๆ

หนิงอี้ถอนหายใจเงียบๆ ถ้าอย่างนั้น ตนทะลวงพลังไปก็สำแดงพลังที่นี่ไม่ได้

แต่เขายินดีที่เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นยอดปีศาจจุดสูงสุดขอบเขตที่สิบมาพร้อมกับสายเลือดโบราณและดาบปีศาจระดับสูงสุด ตนคงจะสู้ไม่ไหวจริงๆ

เด็กหนุ่มที่ส่องดูภายในตันเถียนก็สั่นเทิ้มเหยียดหลังตรงเงียบๆ เขานำขลุ่ยกระดูกใส่เข้าไปในพินิจเหมันต์ จากนั้นคิดอยู่ชั่วครู่ มือข้างหนึ่งลูบปลายกระบี่ช้าๆ ยกขึ้นเล็กน้อย…ปลายนิ้วเหมือนจะแนบกับแสงสีขาวเล็กน้อย จากนั้นรวมเป็นลักษณ์ไม่แน่นอน

ดูเหมือนใบไม้ชำรุดครึ่งซีก ลอยขึ้นลง นี่คือขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งของหนิงอี้ อีกส่วนจมอยู่ในตันเถียน สองสิ่งนี้ต่อให้อยู่ห่างกันไกลยิ่งก็ยังสัมผัสกันและกันได้

หนิงอี้ได้แต่กัดฟันพูด

“แม่นางสวี ช่วยข้าหน่อย!”

……

สวีชิงเยี่ยนที่ถือขลุ่ยกระดูกกับยันต์กันน้ำไม่เข้าใจความหมายของหนิงอี้เท่าไร

ปากทางมืดไกลๆ เงายาวทะลวงผ่านน้ำทะเลพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน

ใต้ดินสุสานไม่เงียบสงบอีก

หนิงอี้พลันพุ่งไปข้างหน้า พริบตาก่อนที่ปะทะกับยอดปีศาจหนุ่ม เขาได้กางใบร่มออก ระหว่างสองฝ่ายไม่มีคำพูดที่มากกว่านี้ และไม่ต้องการคำพูดใด

แก้มของยอดปีศาจหนุ่มถูกใบร่มที่กางออกตบ เสียสมดุลไปชั่วขณะ ก่อนจะปรับสภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว ตังเขาแข็งแรงดุจมังกร กลับมาได้ก็กระโดดเบาๆ เหวี่ยงแขนทุบหมัดใส่ใบร่ม

หนิงอี้ที่กางใบร่มพินิจเหมันต์ร้องมาทีหนึ่ง ขาสองข้างเหยียบบนพื้น น้ำทะเลแตกเป็นใยแมงมุม หินแตกมากมายถูกกระแสน้ำทะลวง ไหลไปรอบๆ พลันแตกกระจายภายใต้พลังไร้รูป

กำปั้นนั้นทุบที่ใบร่ม เว้าลงไปก่อนจะถูกประกายสายฟ้าดังเปรี๊ยะๆ กระแทก เกิดเสียงดังพรึ่บดูกินแรงอย่างยิ่ง

ยอดปีศาจหนุ่มหรี่ตาลง รู้สึกว่าตนมีกำลังแต่ใช้ไม่ได้ น้ำทะเลที่นี่ขัดขวางไว้ ใบร่มก็ไม่รู้วางผนึกระดับใดไว้ ถึงทุบไม่ขาด

ไม่รู้เลยว่าหนิงอี้กดมือข้างหนึ่งกับใบร่ม ฝ่ามือแนบกับยันต์เขาไท่ซาน หวังว่าจะใช้มันต้านการโจมตีดุดันของอีกฝ่าย

ยอดปีศาจหนุ่มชกมาอีกหมัด

ยันต์เขาไท่ซานที่แนบกับใบร่มสลายเป็นเถ้าถ่าน ถูกน้ำทะเลพัดพาไป

หนิงอี้กดมือข้างหนึ่งบนใบร่ม อีกมือจับด้ามร่มไว้แน่น ใช้ท้องน้อยเป็นจุดค้ำยัน ยันไว้อย่างยากลำบาก

ยอดปีศาจหนุ่มออกหมัดที่สาม หมัดที่สี่ หมัดที่ห้า

ตัวกระบี่พินิจเหมันต์มีที่ราบกระดูกอยู่ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ทนทานยิ่ง ภายใต้เสียงสั่นสะเทือน โครงร่มเริ่มพัง ใบร่มที่เด็กสาวทำให้หนิงอี้เกิดรอยฉีกด้วยแรงกดมหาศาลที่กำราบผู้หลอมกายในขอบเขตพลังเดียวกันส่วนใหญ่ได้

สถานการณ์ดูเหมือนเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

หนิงอี้กลั้นลมหายใจ กำลังรบยอดปีศาจหนุ่มนั่นแรงหมด การต่อสู้ก้นทะเลครั้งนี้ก็เหมือนการต่อสู้ของผู้ฝึกหลอมกาย ศึกหมัดเท้าระหว่างผู้ฝึกหลอมกายเผ่ามนุษย์ วิชาเลิศล้ำอะไรใช้ในสุสานก้นทะเลนี้ไม่ได้ แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนไป

ศึกหมัดเท้า ศึกของพลัง ใครหมดแรงก่อน เผยแนวโน้มอ่อนกำลังก่อน ก็จะเสียเปรียบ ถูกอีกฝ่ายชิงโอกาสได้เปรียบ

ช่วงที่ปะทะกันหนิงอี้พลันกางร่มก็เพื่อชิงโอกาสได้เปรียบ แต่ไม่นึกเลยว่าการต่อสู้ระยะประชิดของยอดปีศาจหนุ่มนี่จะดุดันเพียงนี้ ชกสองสามหมัดผ่านใบร่มพินิจเหมันต์ยังทุบจนสมองตนงุนงงไปหมด

ทุกหมัดเหมือนมีม้านับหมื่นวิ่งผ่าน มังกรคชสารคำราม ไม่อาจต้านทานพลังได้

หนิงอี้มีเลือดไหลมาจากมุมปากแล้ว พลังมหาศาลกระแทกเข้ามาทีละระลอก แทบจะยกตนลอยขึ้นจาก ‘พื้นดิน’ เขายื่นมือเปลี่ยนยันต์ไม่ทัน ตอนนี้หากตนยันร่มกระดาษมันไว้ไม่อยู่ ศึกหมัดเท้านี้ก็จะตกเป็นรองอย่างมาก

เขาหน้าซีดขาว หันไปมองเด็กสาวที่ถือใบไม้ขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งของตน

การต่อสู้ระยะประชิด คลื่นพลังทำลายหินแตกได้ ด้วยกายและจิตของหนิงอี้ตอนนี้ ยังใช้พินิจเหมันต์ต้านการเหยียบย่ำของยอดปีศาจนี่ไม่ไหว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพาสวีชิงเยี่ยนมาสู้ด้วย…การแบ่งขลุ่ยกระดูกออกครึ่งหนึ่งเป็นความคิดแปลกในช่วงจวนตัวของหนิงอี้ หากขลุ่ยกระดูกครึ่งหนึ่งส่งความเป็นเทพได้ เช่นนั้นสวีชิงเยี่ยนถือขลุ่ยกระดูกไว้ครึ่งหนึ่ง ก็จะเสริมความเป็นเทพให้กับตนได้ตลอด เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ก็อาจจะสู้ได้

สวีชิงเยี่ยนที่หน้าซีดขาวเช่นกันแต่แววตาแน่วแน่ สองมือกำใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาว หนิงอี้ไม่ได้พูดชี้แนะเลยตั้งแต่ต้น นางไม่เข้าใจการใช้วิชาของผู้บำเพ็ญด้วย…แต่นางเข้าใจว่าตนต้องทำอะไร

จับไว้

ใช้ความคิดขับเคลื่อน

สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนในสายเลือดนางเริ่มปะทุขึ้นช้าๆ เดือดพล่านในกายนางดังปุงปัง เหมือนสัมผัสได้ถึงอันตรายระหว่างความเป็นตาย ตอนนี้ยอมศิโรราบอย่างยิ่ง หลั่งไหลเข้าไปในใบไม้ขลุ่ยกระดูกนั้นอย่างเชื่อฟัง…

กลางกระแสน้ำไกลออกไป

ยอดปีศาจหนุ่มหน้าดำมืด

ชั่วครู่ก่อนหน้านี้เขาตามหลังสองคนตลอด สังเกตสภาพการณ์ต่างๆ เช่นกายและจิตของหนิงอี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่มีทางสู้ตนได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลงมือ ตอนนี้กลับถูกมนุษย์ที่ไม่รู้นามยื้อไว้ อาศัยกระบี่ร่มนี่ต้านหมัดเท้าของตนได้

น่าเหลือเชื่อนิดๆ เขาอยู่ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจ เรื่องความแกร่งของกายและจิตไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะทำอะไรไม่ได้

แต่ก็ไม่เป็นไร

หนึ่งกำลังชนะหมื่นวิชา ตนทุบร่มนี่แตกใช้เวลาไปเพียงครู่เดียว พลังบำเพ็ญแสงดาราของผู้บำเพ็ญมนุษย์นี่อ่อนแอมาก แต่ในแดนผนึกแห่งนี้ ทำให้เขาได้เปรียบ ไม่อย่างนั้นจะยื้อมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร

ยอดปีศาจหนุ่มกำหมัดอีกครั้งชกเข้ามาไม่หยุด ทำให้กำปั้นเขารู้สึกชานิดๆ ก่อนเขาจะทุบลงอีกครั้งด้วยความโกรธลับๆ

เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนพื้นราบ

ครั้งนี้ ร่มกระดาษมันที่พังเละเทะไม่ได้กางออกอย่างหัวดื้อเหมือนก่อนอีก

หนิงอี้พลันหุบร่ม

ความรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นส่งมาในตันเถียน

หยดความเป็นเทพแน่นขนัดไหลผ่านตัวกระบี่ ส่องสว่างขึ้น

กระบี่นี้ ฟันออกไปในสภาพอับจน

หนิงอี้มีสีหน้าสงบนิ่งถึงที่สุด สองมือชา สั่นไหวเล็กน้อยจากการรัวทุบอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าคงกำยันต์ไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ

แต่มีเพียงถือกระบี่ ที่เขาจะมั่นคงกว่าทุกคน

ทั้งยังแม่นยำ

กระบี่นี้โจมตีเข้าที่กำปั้นที่ยอดปีศาจหนุ่มทุบลงมา ตรงจุดตัด ก้นทะเลระเบิดเป็นคลื่นสีดำมหึมา

สวีชิงเยี่ยนที่กำใบไม้ขลุ่ยกระดูกสีขาว ทัศนวิสัยข้างหน้าเลือนรางทันที

เสาหินของสุสานเก่าแก่ก้นทะเลพังทลายลง รูปปั้นคนถูกปราณกระบี่ที่เป็นคลื่นมาฟันขาด ถูกยกลอยขึ้นจากพื้น ใยแมงมุมขยายออกไปตามปราณกระบี่เป็นระลอก

ในความคิดยอดปีศาจหนุ่มมีเพียงความคิดเดียว

นี่ไม่ใช่กระบี่ที่มนุษย์คนนี้จะออกได้!

หนิงอี้ที่ออกกระบี่นี้พุ่งไปอย่างกล้าหาญ

พินิจเหมันต์ทำลายล้างทุกสิ่ง

ความเป็นเทพเสริมพลัง อำนาจเทพไม่อาจต่อต้าน

คลื่นน้ำก้นทะเลระเบิดเป็นชุ่นๆ

สองร่างเงาถอยไปสองทิศทางด้วยความเร็วสูงยิ่ง

คนนั้นที่ถอยมาข้างสวีชิงเยี่ยนใช้ปลายกระบี่พินิจเหมันต์ปักลงพื้น ต้านแรงถอยไว้ ถอยเข้าไปในเขตยันต์กั้นน้ำ

สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ด้วยใบหน้าซีดขาว

ในตัวเด็กหนุ่มมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง วนเวียนไม่ขาดหาย

หนิงอี้รู้ว่าสวีชิงเยี่ยนคิดอะไร

เขายื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดมุมปาก ก่อนแสยะปากยิ้ม “ไม่ใช่ของข้า”