ตอนที่ 130 ความร่วมมือเฉพาะกิจ
“ไม่นับอย่างนั้นหรือ?” เสนาบดีฝั่งขวาเอ่ยปากกล่าวอย่างสบาย ๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทุกคนต่างก็เห็นกันหมด เป็นอย่างที่แม่นางผู้นี้ได้กล่าวไว้ หรือว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูด? ที่บอกว่าฝ่าบาทและท่านอ๋องต่างก็ให้ความเคารพและสนับสนุน หรือว่าไม่ใช่คำพูดที่ผู้อารักขาคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าเป็นคนพูด?”
ผู้อารักขาที่ถูกเอ่ยถึงคนนั้นถึงกับเนื้อตัวสั่นเทาอย่างหนัก
ทว่าอาจารย์เสิ่นกลับยังกัดฟันสู้ไม่ยอมรับ “ท่านอ๋องซิว ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ ท่านอย่าได้ฟังคำพูดเหลวไหลของพวกเขา”
เย่ซิวตู๋ยังคงไม่สนใจเขา เพียงแต่มองไปยังเสนาบดีฝั่งขวาที่เพิ่งพูดขึ้นเมื่อครู่ ราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
เสนาบดีฝั่งขวาเห็นเช่นนี้ ในที่สุดก็ไม่ได้ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนอีกต่อไป ก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาหาเขาทีละก้าวอย่างใจเย็น
“คารวะท่านอ๋องซิว” เสนาบดีฝั่งขวายกมือขึ้นคารวะเล็กน้อย ทว่าท่าทางแม้จะดูเหมือนกำลังเคารพ แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่ได้แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ได้ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย เหมือนกับไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชนชั้นล่างแม้แต่น้อย
“เสนาบดีฝั่งขวา ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” เย่ซิวตู๋สำรวจอีกฝ่าย สายตาที่เฉียบคมแอบแฝงด้วยความห่างเหินเล็กน้อย
ภายในใจของเขาไม่เข้าใจเลย เสนาบดีผู้นี้เป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ เย็นชาไม่แยแสต่อสิ่งใด รักษาระยะห่างที่แน่นอนต่อคนอื่น ๆ ไม่รวมตัวเข้ากับใคร ไม่ประจบสอพลอ ไม่ตอบสนองต่อการหยั่งเชิงและตีสนิทของชินอ๋อง มีความเป็นเอกลักษณ์ภายในราชสำนักแต่ก็มิอาจดูหมิ่นได้ คนประเภทนี้ เหตุใดถึงได้ใจดีกับอวี้ชิงโหรวและเฉินจีซินเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะสองแม่ลูกคู่นั้น เขาถึงขั้นเขียนรายงานร้องเรียนเรื่องเย่หลานผิงไปหนึ่งฉบับในวันนั้น
แม้ว่า รายงานฉบับนั้นจะอยู่ภายใต้การตรวจสอบของเสด็จพ่อ ท้ายที่สุดทั้งคู่ต่างก็มีความผิดจึงต้องรับบทลงโทษ ทว่าเสนาบดีฝั่งขวาผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาแบบนี้ย่อมอยู่ในการวิเคราะห์ของเขา เหตุใดถึงได้ออกหน้าให้สองแม่ลูกตระกูลอวี้ด้วย?
ราวกับว่า…ฟังจากปากของสองแม่ลูกตระกูลอวี้แล้ว จึงช่วยอธิบายแทนพวกนาง ทว่ากลับไม่คิดจะสร้างปัญหาให้ใหญ่โต เช้าวันรุ่งขึ้นจึงนำสาส์นส่งเข้าไปในวัง
การกระทำนี้ของเสนาบดีฝั่งขวา เย่ซิวตู๋คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่าเรื่องที่เกือบปล่อยให้ม้าตัวเองทำร้ายหนานหนานกลับเป็นเรื่องจริง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเย่ซิวตู๋จะชื่นชมอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะคบค้าสมาคมด้วย
“ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจจริง ๆ” เสนาบดีฝั่งขวาแย้มยิ้ม ปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจตนเองตามใจชอบ ทว่าสายตาของเขาก็ไม่ละออกจากเย่ซิวตู๋เช่นกัน
เขาเองก็เกิดความสงสัยเกี่ยวกับท่านอ๋องซิวผู้เดินทางออกจากเมืองหลวงเมื่อสี่ปีก่อนเช่นกัน คิดไม่ถึงเลย หลังจากท่านอ๋องซิวกลับมาเมืองหลวงแล้ว พวกเขาจะได้เจอหน้ากันเร็วเช่นนี้
“ข้าน้อยอวี๋จั้วหลินรองเจ้ากรมฝ่ายกลาโหม คารวะท่านอ๋องซิว”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็พูดแทรกเข้ามาท่ามกลางบุรุษทั้งสองที่กำลังสำรวจอีกฝ่าย
เย่ซิวตู๋และเสนาบดีฝั่งขวาหันหน้าไปมองพร้อมกัน คิ้วของพวกเขาถึงกับขมวดมุ่น ราวกับไม่เต็มใจที่จะเห็นหน้าคนที่อยู่ตรงหน้า
อวี๋จั้วหลินค้อมกายเล็กน้อย แสดงมารยาทอย่างทั่วถึง ทั้งยังทำให้เกิดความโปรดปรานเล็ก ๆ ด้วย เขาไม่เห็นสีหน้าของเย่ซิวตู๋ กลับคิดเอาเองว่าตนเองแสดงความจริงใจอย่างมาก
“รองเจ้ากรมฝ่ายกลาโหม?” เย่ซิวตู๋แค่นเสียงเย็น มองไปที่ข้างกายของอีกฝ่าย กลับไม่เห็นเงาของอวี้ชิงลั่ว มุมปากเม้มแน่นขึ้น จากนั้นจึงกระตุกขึ้นอย่างพึงพอใจ ในที่สุดความรู้สึกแสบร้อนดั่งไฟแผดเผาภายในใจก็ค่อย ๆ ดับลง
“ท่านอ๋องซิว ข้าน้อยอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็เห็นสาเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แม่นางท่านนี้พูดถูก อาจารย์ที่เรียกตนเองว่าหมอปีศาจผู้นั้น ใช้ชื่อเสียงของท่านอ๋องเพื่อกดขี่ข่มเหงผู้อื่นจริง ๆ”
ในที่สุดอาจารย์เสิ่นก็เบิกตาโต เขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะปรากฏรองเจ้ากรมฝ่ายกลาโหมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
เย่ซิวตู๋เหลือบมองอาจารย์เสิ่นปราดหนึ่ง สายตาเย็นชาขณะกระตุกมุมปากแย้มยิ้ม “เคารพ? อาจารย์เสิ่น เราเคยเคารพเจ้าตั้งแต่เมื่อไรหรือ?”
“ท่านอ๋อง…” อาจารย์เสิ่นมองเย่ซิวตู๋ที่แตกต่างจากตอนที่เจอกันในวังอย่างสิ้นเชิงด้วยความตกตะลึง เกิดความกังวลขึ้นภายในใจ “ท่านอ๋อง ตอนนั้นข้าน้อยช่วยจับชีพจรให้ท่านอ๋องจริง ๆ แล้วก็…”
“อ๋อ จับชีพจร?” รอยยิ้มที่มุมปากของเย่ซิวตู๋เย็นชายิ่งขึ้น “เช่นนั้นผลลัพธ์จากการจับชีพจรเป็นเช่นไรล่ะ?”
“ข้า…ข้าทราบว่าบนตัวของท่านอ๋องได้รับพิษบางอย่าง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาจารย์เสิ่นมีวิธีรักษาหรือไม่?”
อาจารย์เสิ่นสูดลมเย็นเข้าปากอย่างหนัก ใบหน้าแดงก่ำ ทว่ายังคงเชิดคางพูดด้วยความโกรธเคือง “ท่านอ๋อง ข้าได้พูดไปแล้ว พิษที่ท่านอ๋องได้รับหาได้ยากยิ่ง บนโลกใบนี้นอกจากอาจารย์ของข้าที่ลาลับโลกไปแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถรักษาได้”
เย่ซิวตู๋แค่นเสียงเย็น “ไม่มีความสามารถกำจัดพิษบนตัวของเรา แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาอ้างว่าเราเคารพเจ้า? เจ้ายังมีหน้าเรียกตัวเองว่าหมอปีศาจอีกหรือ?”
เสนาบดีฝั่งขวาเลิกคิ้วขึ้น เรื่องที่ท่านซิวอ๋องได้รับพิษ เป็นเรื่องจริง…
“นั่นสิ อาจารย์เสิ่นมีความสามารถแค่นี้? ยังกล้าเรียกตนเองว่าหมอปีศาจ? อาจารย์เสิ่นแน่ใจหรือว่าตนเองไม่ได้สวมรอยผู้ใด?”
อวี๋จั้วหลินถลึงตาใส่เสนาบดีฝั่งขวาปราดหนึ่ง บัดซบ แย่งคำพูดของเขาไปแล้ว
อาจารย์เสิ่นถูกคนพูดแทงใจดำ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างหนัก ตะโกนด้วยท่าทางอับอายจนกลายเป็นความโกรธว่า “ใส่ร้ายผู้อื่นอย่างชั่วช้าสามานย์ ข้าเป็นถึงหมอปีศาจผู้มีชื่อเสียงโด่งดังใต้หล้า จำเป็นต้องสวมรอยด้วยหรือ? ข้าเป็นหมอมาหลายปี รักษาโรคที่หายได้ยากมาไม่รู้ตั้งเท่าไร คนไข้ที่รักษาหายแล้วก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน เหตุใดต้องโกหกพวกท่านด้วย?”
ในที่สุดอวี๋จั้วหลินก็มีโอกาสได้พูดแล้ว รีบโต้แย้งไปว่า “อาจารย์เสิ่นอาจมีทักษะทางการแพทย์เล็กน้อย หากใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อใช้ชื่อเสียงของหมอปีศาจ เช่นนั้นก็คงทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้นจริง ๆ ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าบนโลกใบนี้มีคนที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหมอปีศาจน้อยมาก พวกเราต่างก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหมอปีศาจมาไม่น้อย ทว่ากลับไม่เคยมีใครได้เห็นนางมาก่อน หากมีหมอสักคนที่มีทักษะทางการแพทย์เล็กน้อยกล่าวว่าตนเองคือหมอปีศาจ คาดว่าก็คงไม่มีใครสงสัยเขาหรอกกระมัง”
คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกมา คนที่อยู่โดยรอบต่างก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ มีคนที่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลอย่างมาก สายตาที่สงสัยมองไปยังอาจารย์เสิ่นแล้ว แม้แต่ผู้อารักขาของจวนเว่ยหยวนโหวเหล่านั้นก็เริ่มเกิดอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า?” อาจารย์เสิ่นถูกสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองมาจึงเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง หันซ้ายแลขวาก่อนจะหันไปถลึงตามองอวี๋จั้วหลิน
เย่ซิวตู๋หันมองอวี๋จั้วหลินปราดหนึ่ง พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร
อวี๋จั้วหลินรู้สึกราวกับได้รับกำลังใจ เขาโค้งกายทำความเคารพเย่ซิวตู๋เล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านอ๋อง อาจารย์เสิ่นผู้นี้มิอาจรักษาพิษบนตัวของท่านอ๋องได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นทำไม่ได้ ข้าน้อยได้ยินมาว่าเมื่อสองวันก่อนภายในโรงหมอซิ่งเซิงที่อยู่ตรงข้ามโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มีแม่นางคนหนึ่งที่มีทักษะทางการแพทย์เก่งกาจนัก สามารถรักษาโรคที่มิอาจรักษาให้หายขาดให้หายได้ถึงสองคน ท่านอ๋อง ข้าน้อยจะตามหาแม่นางผู้นั้นแทนท่านอ๋องเองขอรับ”
ไร้ยางอาย!
ไร้ยางอาย!!!
ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!!!
จินหลิวหลี เสิ่นอิงและโม่เสียนเกิดจิตสังหารภายในหัวอย่างพร้อมเพรียงกัน ขยะแขยงอวี๋จั้วหลินถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าคิดจะใช้อวี้ชิงลั่วเพื่อประจบประแจงเย่ซิวตู๋
อาจารย์เสิ่นชะงัก การแสดงออกทางสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเองก็อยากเห็นแม่นางผู้นั้นเช่นกัน ดูสิว่าจะมีความสามารถรักษาพิษที่ท่านอ๋องได้จริง ๆ หรือไม่ เหอะ คุณชายอวี๋ พูดจาอย่าได้มั่นใจให้มากนัก มิเช่นนั้นคงเท่ากับเป็นการหลอกลวงท่านอ๋อง ถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง”
เขาไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้นอกจากหมอปีศาจแล้ว ยังจะมีใครที่มีความสามารถในการถอนพิษ ‘ไป๋เสี้ยน’ ที่อยู่บนตัวของท่านซิวอ๋องได้
อวี๋จั้วหลินหันกลับไปอย่างเย็นชา ยังไม่ทันให้เขาได้เสียดสีกลับไป เด็กจ่ายยาของโรงหมอซิ่งเซิงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกประตูโรงเตี๊ยมตั้งแต่แรกก็ตะโกนขึ้นเสียงดังภายใต้การนำโดยหมอเจียง “แม่นางผู้นั้นมีทักษะทางการแพทย์ชั้นสูง มีความเก่งกาจกว่าหมอปีศาจที่ไม่รู้ว่าไปขุดออกมาจากไหนอย่างเจ้าไม่รู้ตั้งเท่าไร ท่านหมอเจียงของเราเคยเจอนางมาก่อน หากอาจารย์เสิ่นไม่เชื่อ ก็ลองแข่งกับแม่นางผู้นั้นดูได้”
แข่งขันดู?
“ตกลง เช่นนั้นคุณชายอวี๋ช่วยไปตามหาแม่นางคนนั้นมา หลังจากนี้อีกสิบวัน ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ข้านี่แหละที่จะสั่งสอนแม่นางผู้นั้น” ก็แค่แม่นางคนหนึ่ง อาจารย์เสิ่นไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว เขาเองก็อยากทำให้สตรีที่ถูกทุกคนเลื่อมใสผู้นั้นขายหน้าถึงขีดสุด ทำให้ทุกคนในที่นี้เลื่อมใสเขาอย่างสุดจิตสุดใจ
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
แต่ละฝ่ายไม่เขม่นกันแล้ว หันมาบี้หมอเสิ่นนี่ชั่วคราวอย่างพร้อมเพรียง
ถอนตัวตอนนี้ยังทันนะหมอเสิ่น ถ้าแข่งจริงอาจแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งก็ได้
ไหหม่า(海馬)