ตอนที่ 66 ทดสอบ

สายตาของเฉียวอวี่เอ๋อเต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน นางเองก็ต้องการทราบว่าใครคืออาจารย์ของเขา เพราะเส้นทางแห่งยันต์นั้นลึกล้ำและกว้างขวางมาก มันไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นกันได้โดยง่ายหากไม่มีผู้แนะนำ ถึงแม้นางยังไม่ได้อยู่ขั้นอาจารย์ แต่ก็ได้ฝึกฝนติดตามกับอาจารย์ยันต์ท่านอื่นมาก่อน

หยางเย่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อยขณะถูกสายตาทั้งสองคู่จ้องมอง ไม่เพียงจะไม่ทราบนามปู่ของเปาเอ๋อแล้ว ปู่ของนางจะรับเขาเป็นศิษย์หรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ! หากใช้ชื่อปู่ของเปาเอ๋อที่นี่ และเขาเกิดทราบเรื่องขึ้นมา เช่นนั้นปู่ของเปาเอ๋อคงไม่ประทับใจในตัวหยางเย่เป็นแน่

เมื่อนึกได้เช่นนั้น “ผู้อาวุโส อาจารย์ข้าห้ามไม่ให้บอกนามแก่ผู้อื่น ต้องขออภัยด้วย!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาจารย์จางจึงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงถอนสายตาจากหยางเย่ก่อนจะชี้ไปที่กระดาษยันต์ตรงหน้าพร้อมกล่าว “ผู้ใดจะเริ่มก่อนล่ะ? ช่างมันเถอะ เพื่อประหยัดเวลา พวกเจ้าทั้งคู่สามารถเริ่มพร้อมกันได้เลย!”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาเดินไปด้านข้างพร้อมนำตำราออกมานั่งดูโดยไม่สนใจคนทั้งสอง

หยางเย่กับเฉียวอวี่เอ๋อมองตากันก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา ทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อยราวกับให้กำลังใจกันเอง

หยางเย่นั่งลง

ตรงหน้าโต๊ะหิน เขาสูดหายใจลึกก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มสร้างยันต์

หยางเย่กดดันอย่างมากในตอนนี้ ตั้งแต่ที่ทราบว่าน้องสาวและมารดาอยู่ในอันตราย แม้ภายนอกเขาดูสงบอย่างมาก แต่ภายในนั้นแทบจะทนไม่ไหว เขาไม่หวังสิ่งใดนอกจากรีบกลับมาที่เมืองทักษิณภิรมณ์ อย่างไรก็ตามหยางเย่ก็ไม่กล้ากระทำโดยประมาท เพราะเขาเองก็เข้าใจหลักการเหล่านั้นดี หากต้องการจัดการตระกูลหลิวให้ราบคาบ มันจะใช้เพียงความแข็งแกร่งไม่ได้ มันยังต้องมีสถานะที่ได้เปรียบด้วย!

ตระกูลหลิวจัดได้ว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองทักษิณภิรมณ์ ยิ่งกว่านั้นยังคบค้าสมาคมกับมหาอำนาจอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับผู้ว่าการเมืองทักษิณภิรมณ์ ดังนั้นหากจะจัดการกับตระกูล สถานะแค่ศิษย์นอกของสำนักดาบราชันมันไม่ยังพอ! มีเพียงสถานะของอาจารย์ยันต์เท่านั้นที่จะรับมือได้! มีเพียงอาจารย์ยันต์เท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับความสัมพันธ์ของพวกมันได้! ดังนั้นเขาจึงมาทดสอบเพื่อเป็นอาจารย์ยันต์ทันทีที่มาถึงเมืองอาทิตย์อุทัย!

ขณะที่หยางเย่กำลังจะเริ่ม อาจารย์จางที่นั่งอ่านตำราได้เงยหน้ามองไปยังหยางเย่ก่อนจะส่ายหัว การสร้างยันต์นั้นต้องมีสมาธิเหนือสิ่งอื่นใด แต่หยางเย่กลับไม่มีทั้งสมาธิ และความสงบก่อนจะเขียนยันต์ มันเร่งรัดเกินไป ดังนั้นอาจารย์จางจึงสงสัยว่าหยางเย่มีอาจารย์จริงหรือ? แม้หยางเย่จะมีอาจารย์ เขาก็คงเป็นอาจารย์ที่ไม่เอาไหนแน่!

อาจารย์จางหมดความสนใจในตัวหยางเย่ จากนั้นหันไปมองเฉียวอวี่เอ๋อแทน เมื่อสังเกตว่านางกำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสงบ เขาพยักหน้าเล็กน้อย เฉียวอวี่เอ๋อมีพรสวรรค์ที่ดี ทั้งยังมีคนนับถือมากมาย นางมีทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เขาต้องการรับนางเป็นศิษย์อย่างมาก โชคร้ายที่นางขาดแค่พลังปราณห้าธาตุ สิ่งนี้มันทำให้เขาหยุดความคิดทั้งหมดลง

การประสบความสำเร็จของอาจารย์ยันต์ที่ไม่มีพลังปราณห้าธาตุนั้นมีข้อจำจัดมากมาย มันอาจจะไม่เป็นอะไรมากในตอนเริ่มต้น แต่หลังจากอยู่ขั้นที่สูงขึ้น ยันต์บางอย่างจะไม่สามารถสร้างได้หากไม่มีพลังปราณห้าธาตุ!

‘ช่างน่าสงสารนัก!’ อาจารย์จางส่ายหัวก่อนจะถอนสายตาจากทั้งคู่ และมองไปที่ตำราอีกครั้ง

เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง หยางเย่ได้เขียนยันต์เสริมกำลังเสร็จเรียบร้อย กล่าวได้ว่าเขามีประสบการณ์ในการสร้างยันต์พอตัว ดังนั้นจึงไม่มีความลำบากใดในการเขียนยันต์ จากนั้นไม่นานเขาเริ่มถ่ายจิตวิญญาณลงไปในยันต์

หากเฉียวอวี่เอ๋อและอาจารย์จางมองไปที่หยางเย่ตอนนี้ พวกเขาคงเห็นว่าหยางเย่มีพลังปราณห้าธาตุในตำนาน แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้มอง เฉียวอวี่เอ๋อไม่มีโอกาส เพราะนางก็กำลังยุ่งกับผลงานของตนเอง ส่วนอาจารย์จางก็ไม่ได้สนใจเขา ถูกต้อง ตั้งแต่ที่เห็นหยางเย่ไม่มีสมาธิในตอนแรก เขาก็ไม่สนใจหยางเย่อีกต่อไป

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หยางเย่ได้สร้างยันต์เสริมกำลังเรียบร้อย เขาวางยันต์ไว้ด้านข้างพร้อมมองไปที่กระดาษยันต์เปล่าแผ่นอื่น หยางเย่ตั้งใจจะสร้างยันต์สื่อสาร เขาต้องการจะเป็นอาจารย์ยันต์ระดับสองตอนนี้!

หยางเย่ไม่เร่งรีบเท่าไหร่ เขามองไปที่เฉียวอวี่เอ๋อแทน เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เฉียวอวี่เอ๋อเป็นอยู่ตอนนี้ หยางเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนางอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบากพอควร ใบหน้าที่งดงามชุ่มไปด้วยเหงื่อ คิ้วของนางขมวดติดกันแน่น มือที่จับพู่กันอยู่สั่นเทาเล็กน้อย

หยางเย่ทราบว่านางกำลังประสบกับความลำบากอย่างมาก เขาหยุดการสร้างยันต์สื่อสารไว้ชั่วครู่ เวลานี้คงหวังแค่ให้เฉียวอวี่เอ๋อผ่านความลำบากในครั้งนี้ให้ได้

เฉียวอวี่เอ๋อประสบกับปัญหาโดยแท้จริง นางสร้างยันต์ฟื้นฟูที่บ้านอยู่หลายครั้ง และโอกาสสำเร็จก็ค่อนข้างสูง จากการสร้างยันต์สำเร็จอยู่หลายครั้ง มันทำให้นางมีความมั่นใจที่จะกล้ารับการทดสอบจากสมาคม แต่ด้วยความประหม่า ถูกต้องความประหม่าเกิดขึ้นในใจของนางอย่างหนักในเวลานี้

เหตุผลเดียวที่ประหม่าก็คือกลัวความล้มเหลว นางเคยล้มเหลวหลายครั้งในอดีต และครั้งนี้จะล้มเหลวไม่ได้เพราะมันขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของตระกูลเฉียวด้วย!

ตระกูลหลิวเติบโตขึ้นรวดเร็วเกินไป ทำให้บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเฉียวไม่ทราบวิธีเอาตัวรอดเมื่อเกิดปัญหา ดังนั้นความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นระหว่างตระกูลเฉียวและตระกูลเก่าแก่ในเมืองอาทิตย์อุทัย ถึงแม้ตระกูลเฉียวจะมียอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับตระกูลอื่น

โดยเฉพาะเวลานี้ ความขัดแย้งของตระกูลทั้งหลายเริ่มใหญ่ขึ้นทุกที มันทำให้ตระกูลหลิวตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง หนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากอันตรายได้คือ นางต้องเป็นอาจารย์ยันต์ให้ได้ มีเพียงการเป็นอาจารย์ยันต์เท่านั้นที่จะทำให้ตระกูลเฉียวมีคุณสมบัติมากพอจะเจรจากับพวกเขาได้

ไม่มีตระกูลไหนกล้าต่อต้านอาจารย์ยันต์ เพราะเครือข่ายของความสัมพันธ์ของอาจารย์ยันต์นั้นน่าสะพรึงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาจารย์ยันต์ที่ประสบความสำเร็จ

เช่นนั้นแล้วนางไม่อาจล้มเหลวได้อีก หากล้มเหลว บรรดาตระกูลเก่าแก่ทั้งหลายจะไม่เกรงกลัวอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลเฉียวจะต้องถูกกำจัดแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นางไม่ทันคิดว่า การนึกคิดหลายอย่างเกินไปจะเป็นการกดดันตนเอง มันทำให้นางสูญเสียความสุขุม ดังนั้นความผิดพลาดบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นจึงได้เกิดขึ้น

‘ต้องไม่เป็นเช่นนี้ เราต้องใจเย็นลงอีก เราจะล้มเหลวไม่ได้แล้ว!’ เฉียวอวี่เอ๋อหยุดเขียนยันต์ นางสูดหายใจลึกขณะรอให้จิตใจสงบลง จากนั้นจึงเริ่มเขียนยันต์อีกครั้ง

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อาจารย์จางกำลังเอนหลังอยู่บนเก้าอี้พร้อมปิดตาเล็กน้อย มันราวว่ากับเขากำลังนอนหลับอยู่ ในอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มและหญิงสาวในห้องกำลังเพ่งสมาธิอย่างหนักในการสร้างยันต์

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม หยางเย่ดึงพู่กันออกพร้อมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้ม ยันต์เสริมกำลังและยันต์สื่อสาร ทั้งสองเป็นยันต์ระดับสูง เหตุใดถึงประสบความสำเร็จในการสร้างยันต์ระดับสูงได้นั้น นอกจากคำว่าอัจฉริยะ หยางเย่ก็ไม่สามารถนึกสิ่งอื่นได้อีก

“โธ่เอ้ย!” ทันใดนั้นเฉียวอวี่เอ๋อถอนหายใจขณะวางพู่กันลงบนโต๊ะ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยท่าทีเคร่งเครียด

เมื่อเห็นเช่นนั้น หยางเย่วางยันต์ทั้งสองแผ่นไว้ จากนั้นเดินไปหานางพร้อมกล่าว “คุณหนูเฉียว เกิดอะไรขึ้น?”

เฉียวอวี่เอ๋อหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าล้มเหลว ข้าประหม่าเกินไป น้องหยาง เจ้าก็ล้มเหลวเช่นกันหรือ? ไม่เป็นอะไรนะ เจ้ายังมีโอกาสอีกสองครั้ง ไว้ครั้งหน้ามาพยายามใหม่!”

หยางเย่มองไปที่ยันต์ของเฉียวอวี่เอ๋อที่ล้มเหลว ดูเหมือนจะกล่าวบางอย่างขณะมองมัน เขาหยิบยันต์ขึ้นพร้อมชี้ไปยังจุดที่นางเริ่มเขียนก่อนหน้านี้ “คุณหนูเฉียว ท่าน… ท่านเริ่มเขียนจากตรงนี้งั้นหรือ?”

เฉียวอวี่เอ๋อชะงักไปชั่วขณะ นางไม่ทราบว่าเหตุใดหยางเย่จึงถามเช่นนั้น แต่ก็พยักหน้าตอบในที่สุด

หยางเย่ฝืนยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น “คุณหนูเฉียว มันเป็นวิธีที่ผิด ข้าทราบวิธีที่ดีกว่า เอาละ มันเป็นเช่นนี้ ท่านเริ่มเขียนจากที่นี่ จากนั้น…”

ขณะที่ฟัง เฉียวอวี่เอ๋อเปิดตากว้างพร้อมเอ่ยถามหลังจากหยางเย่กล่าวจบ “วิธีนี้จะสำเร็จจริงใช่หรือไม่?”

หยางเย่พยักหน้าพร้อมกล่าว “ท่านสามารถลองดูก่อน แต่ข้าคิดว่าคงสำเร็จ!”

อันที่จริงหยางเย่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าเหตุใดอัตราความสำเร็จในการสร้างยันต์ของเขาถึงสูง มันเป็นเพราะพรสวรรค์ที่มี และส่วนใหญ่ก็มาจาก ‘วิชาปลุกยันต์ห้าธาตุ’ ที่เปาเอ๋อมอบให้ ตอนนี้หยางเย่ทราบแล้วว่ามันมีค่าสูงเพียงใด เพราะวิชาปลุกยันต์ห้าธาตุฉบับคัดลอกนั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์ และคำอธิบายประกอบจากปู่ของเปาเอ๋อ

หยางเย่ไม่เคยทราบว่าประสบการณ์ และคำอธิบายข้างในนั้นสำคัญเพียงใดในอดีต ตอนนี้เขาทราบแล้ว หากไม่มีวิชานั้น หยางเย่คงไม่สามารถสร้างยันต์เสริมกำลังได้ ด้วยทุกสิ่งที่ถูกบันทึกลงในวิชายันต์ห้าธาตุ มันทำให้เขาไม่ผิดพลาดสักครั้งในการสร้างยันต์ เพราะในคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ

เราควรจับมิงค์ม่วงให้เปาเอ๋อดีไหมนะ? ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นในใจหยางเย่ มิงค์ม่วงข้างในตันเถียนน้ำวนมองเขาด้วยสายตาที่น่าสงสารนัก

หลังจากปลอบสหายตัวจ้อยอยู่ชั่วครู่ หยางเย่หันไปมองเฉียวอวี่เอ๋อที่กำลังลังเลอยู่ “คุณหนูเฉียว ลองดูก่อน ข้าจะมองจากตรงนี้เอง!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวอวี่เอ๋อสูดหายใจลึก จากนั้นนางหยุดลังเลพร้อมเอ่ย “เอาล่ะ!”

นางไม่ทราบว่าเหตุใดถึงเชื่อในตัวหยางเย่ อาจจะเพราะหยางเย่กล่าวด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ หรือเพราะนางไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว