ตอนที่ 189 ล้วนเป็นคนหนทางมาร

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“บิดายังไม่ตาย เจ้าประมาทเกินไปแล้ว! ”

ฉินจิ่วเกอฟาดฝ่ามือพร้อมเคล็ดลมปราณ ฝ่ามือประทับลงบนทรวงอกของเทียนหมิงเสียอย่างถนัดถนี่ แทบตัดลมหายใจอีกฝ่ายไป

ปง!

เทียนหมิงเสียถูกฝ่ามือนี้ของฉินจิ่วเกอฟาดเอาจนลมหายใจปั่นป่วน สะเก็ดศิลาปลิวว่อน ร่างปลิวไปไกลนับร้อยเมตรก่อนจะตกลงบนเศษซากพฤกษาที่สลายกลายเป็นผงไปแล้ว

“พรู่ด” ฉินจิ่วเกอพ่นเอาลิ่มเลือดออกจากลำคอ

พลังกัดกร่อนจากกะโหลกทมิฬเมื่อครู่ ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งทั่วไปก็ยังต้องเนื้อหลุดหนังร่อน แต่เคราะห์ดีที่ฉินจิ่วเกอพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าตัวเองก็เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจเช่นกัน

ช่างเป็นตัวอย่างของคนที่ลืมตนอย่างแท้จริง เคล็ดหมื่นมารทมิฬของตนก็เป็นถึงเคล็ดลมปราณชั้นเจตจำนงสวรรค์อันล้ำค่า และก็คือเคล็ดที่เฒ่าเสียเยว่เผอิญได้มาจากมรดกตกทอดของสมรภูมิบรรพกาลอีกที

เพียงโคจรเคล็ดลมปราณ พลังของกะโหลกทมิฬและไอพลังลบคมกริบนั้นก็สามารถย่อยสลายได้โดยตรง กระทั่งเป็นยาบำรุงชั้นดีต่อผู้ฝึกวิชาปีศาจด้วยซ้ำ

ดังนั้น ฉินจิ่วเกอจึงวางแผน กัดฟันทนต่อพลังของกะโหลกทมิฬภายในร่าง รอจังหวะให้เทียนหมิงเสียเข้ามาใกล้แล้วฟาดฝ่ามือออกไป

“เจ้า เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ? ” เทียนหมิงเสียตะลึงลาน ตะกุยร่างขึ้นจากพื้น ทรวงอกยุบลงไปเล็กน้อยอย่างผิดธรรมชาติ ซี่โครงหักไปสองท่อน

พลังฝ่ามือที่ฉินจิ่วเกอฟาดใส่มันนั้นแฝงไอวิญญาณบริสุทธิ์เอาไว้ด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีพลังขั้วลบอันดำมืดอยู่เช่นกัน หากไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาปีศาจแล้วจะเป็นอะไรได้อีก

ฉินจิ่วเกอเป่าปาก สูดลมอย่างเจ็บระโหย “ตาเฒ่า ข้าบอกเจ้าไว้ตรงนี้ เกิดเป็นคนต้องรู้จักผ่อนคลาย เจ้าไม่ยอมเชื่อเอง”

“เจ้าเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจจริงๆ! ” เทียนหมิงเสียยังคงชี้นิ้วมาทางฉินจิ่วเกอ คิดที่จะเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่ายเพียงนั้น

ฉินจิ่วเกอกลอกตา “ผู้ฝึกวิชาปีศาจแล้วอย่างไร ทำอย่างกับว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่”

เทียนหมิงเสียตบศีรษะตัวเอง เออ จริงของมัน

ผู้ฝึกวิชาปีศาจแล้วไง มันเองก็เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่ใช่รึ แต่ทำไมอยู่ๆ มันถึงรู้สึกอยากขจัดมารผดุงธรรมขึ้นมาซะงั้น?

“เพ้ย ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี! ”

เพื่อที่จะริเริ่มคลื่นสัตว์อสูร พรรคโลหิตนภาได้กลบฝังเลือดเนื้อของซากสัตว์อสูรเอาไว้ทั่วป่าบรรพกาลทุกผืนในปริมาณมหาศาล

เลือดเหล่านี้ก็จะกลายเป็นไอพลังลบ แทรกซึมผ่านลมหายใจ ชำแรกสู่ภายในร่างของสัตว์อสูรที่ยังมีชีวิตอยู่

สติปัญญาของสัตว์อสูรที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ก็จะค่อยๆ ถูกกัดกร่อน จนเริ่มเกิดความกระสับกระส่าย

ดั่งที่ว่ากองทัพที่ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะแห่งความชอบธรรมย่อมได้รับชัยชนะ การปะทุของสัตว์อสูรเองก็มีมูลเหตุมาจากการที่เผ่ามนุษย์ไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรอย่างไม่หยุดหย่อน

โทสะบ่มเพาะเป็นความแค้น สรรพชีวิตอาดูรสิ้นสูญ!

เทียนหมิงเสียดูดซับพลังขั้วลบจากฟ้าดิน ไม่คาดฉินจิ่วเกอกลับพุ่งปราดเข้ามาด้วยเคล็ดมารมายา พริบตาก็มาโผล่อยู่ข้างตัว “สวะเฒ่า ขาเจ้าเหยียบโลงแล้วข้างหนึ่ง รีบตายไปได้แล้ว! ”

เคล็ดหมื่นมารทมิฬ เคล็ดลมปราณชั้นเจตจำนงสวรรค์

ด้วยสิ่งนี้ เคล็ดลมปราณปีศาจขั้นหนึ่งถึงเก้าล้วนถูกสะกดข่มไว้ใต้ล่าง ไม่อาจผงาดขึ้นมาได้

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เคล็ดวิชาปีศาจของฉินจิ่วเกอจึงสะกดเทียนหมิงเสียเอาไว้ได้ชะงัด นี่ไม่เกี่ยวกับขอบเขตพลัง แต่เป็นรากฐานทางระดับชั้นของเคล็ดวิชา

“ดูดกลืน! ”

เพียงพริบตาไอพลังลบที่เทียนหมิงเสียรวบรวมมาอย่างยากลำบากก็ถูกฉินจิ่วเกอแย่งเอามาจนหมดสิ้น

โคจรเคล็ดหมื่นมารทมิฬ เปลี่ยนพลังขั้วลบเหล่านี้เป็นไอวิญญาณ เสริมบำรุงจุดตันเถียนของตัวเอง

“ทลาย! ”

เทียนหมิงเสียถูกฟาดอีกฝ่ามือ ข้อเท็จจริงตรงหน้าสร้างความตกตะลึงพรึงเพริดแก่มันอย่างใหญ่หลวง เนิ่นนานยังไม่อาจหุบปากลงได้

อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจนั้นช่างปะไร แต่ใครจะคาดว่าเจ้าหนูนี่กลับมีเคล็ดลมปราณปีศาจที่สูงล้ำกว่าตน อย่าบอกนะว่าพรรคโลหิตนภามาทาบทามมันแล้ว แถมยังให้ความสำคัญถึงขนาดนี้?

แต่สถานการณ์ไม่อำนวยให้มันได้คิดต่อ นอกจากไม่อาจเอาชัย เคล็ดวิชายังถูกสะกดข่ม ตัวมันในตอนนี้ไม่อาจพลิกมาเป็นฝ่ายได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย อีกไม่กี่ลมหายใจมันอาจถูกกระทิงคลั่งตัวนี้ขวิดตายได้ทุกเมื่อ

หนี!

ในสมองของเทียนหมิงเสียพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นทันที มันยังไม่อยากตาย มันยังอยากเฝ้าดูศัตรูกลุ่มนั้นร่วมกลบฝังไปพร้อมกับมันอยู่

วาบ!

บรรทัดตารางนิ้วมาโผล่อยู่ในมือของฉินจิ่วเกอ ตัวบรรทัดยาวสองฉื่อ ไร้คม หนักพันจวิน

จังหวะที่เนื้อกระดูกบนตัวส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ เทียนหมิงเสียก็สับขาวิ่งโดยไม่เหลียวหลัง ไม่เหลือบแลแขนครึ่งท่อนที่ทำหล่นเอาไว้

เพียงพริบตาก็เน่าสลายไปบนพื้น หนอนแมลงสีเหลืองปกคลุมยั้วเยี้ย

ฉินจิ่วเกอไล่กวดอย่างเอาเป็นเอาตาย ในห้วงคำนึงตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

เป็นเพราะไอพลังลบที่ตกค้างจากตอนดูดซับด้วยเคล็ดหมื่นมารทมิฬ ทำให้ภาวะอารมณ์ในแง่ลบอันเป็นแก่นฐานวิชาปะทุขึ้น ดวงตาของฉินจิ่วเกอยามนี้จึงแดงฉาน ไม่ต่างจากนัยน์ตาแห่งมารร้าย

สะเก็ดหินตามรายทางกระจุยกระจาย พฤกษาใหญ่ยักษ์หักโค่น ฉินจิ่วเกอไล่ล่าเทียนหมิงเสียอย่างไม่ลดละ ยิ่งมายิ่งคืบใกล้

คั่งแค้น กำสรด โกรธา พยาบาท

หลากหลายอารมณ์ในทางลบดังก้องอยู่ในศีรษะ อารมณ์รุนแรงเหล่านี้ไม่อาจสะกดยับยั้งลงได้ สุดท้ายก็เริ่มประทับลงสู่หัวใจ ชำแรกเข้าสู่เส้นเลือด ราวกับจะสลักลึกถึงไขกระดูก

เทียนหมิงเสียตาแทบถลน ในดวงตาที่มีแต่ความดำมืด พลันเกิดประกายตื่นตระหนกสาดวูบ

หรือเจ้าเด็กนี่จะกินยาแล้วลืมเขย่าขวด?

ไอพลังลบของมัน ไอปีศาจของมัน กวาดกราดออกไปอย่างไม่เหนี่ยวรั้ง แม้แต่เทียนหมิงเสียที่ฆ่าคนเหมือนผักปลา ยังต้องหวาดผวา สั่นคลอนไปถึงแก่นพลัง จนไม่กล้าประมืออีก

ฉินจิ่วเกอยังไล่กวดเทียนหมิงเสียอย่างเดือดคลั่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจไล่ตามทัน ต้นไม้ภูผาตามข้างทางระเบิดกระจุยกระจาย ไอสังหารสีดำทมิฬกัดกร่อนสัญญาณชีวิตสีเขียวชอุ่มไปจนหมด

คั่งแค้นผืนฟ้าคั่งแค้นผืนดิน โทสะไร้สิ้นสุด!

สำรวจหกวิถี วัฏสงสารไร้สิ้นสุด ชะตาอาดูรล้ำ!

ฆ่าฆ่าฆ่า ฆ่าจนเทพผีปีศาจต้องหน้าเปลี่ยนสี นภาอาบย้อมด้วยโลหิต ทำลายทำลายทำลาย ทำลายจนสรรพชีวิตล้วนกลัวเกรง สั่นเขย่าทั่วผืนพสุธา

ทลายทลายทลาย ทลายมหามรรคาจวบแดนสวรรค์ ทลายทั้งจักรวาลไร้คู่เปรียบ

ใต้ผืนฟ้าผืนดิน มีข้าเป็นราชัน!

“ใกล้เข้ามาแล้ว! ”

เทียนหมิงเสียเห็นฉินจิ่วเกอกระชั้นเข้ามาทุกขณะจิต ราวกับว่าในอีกวินาทีต่อมา อีกฝ่ายก็จะจับตนฉีกออกเป็นชิ้นๆ

จากนั้นขย้ำกินเนื้อหนังของมัน ดื่มกินเลือดเนื้อของมัน เอาหนังมาห่มนอน สุดท้ายเอาไขมันบนตัวมาจุดไฟแทนเชื้อเพลิง

ป่าบรรพกาลในละแวกหมื่นลี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ฝึกวิชาปีศาจสิ้น เทียนหมิงเสียจำต้องงัดไพ่ตายออกมาใช้ ส่งสัตว์อสูรชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายสามตัวออกมาสกัดทาง ใช้สังขารอันใหญ่ยักษ์ราวขุนเขาบดบังทัศนวิสัยของฉินจิ่วเกอไว้

อาศัยจังหวะที่อสูรคลั่งสามตัวขวางมือขวางเท้าอีกฝ่ายอยู่ เทียนหมิงเสียก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นไอทมิฬหอบหนึ่ง พุ่งหายเข้าไปในป่า ระลอกสีเขียวพลันหยุดนิ่ง เหมือนปลาที่เข้าสู่ผิวน้ำ

ฉินจิ่วเกอเบิกตามองเทียนหมิงเสียหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา โทสะในใจพลุ่งพล่านสุดระงับ คลื่นความแค้นไหลบ่าเข้าสู่ภายในหลิงไถ

“ไสหัวไป เจ้าพวกเดรัจฉาน! ”

โฮกโฮก!

หัตถ์ยักษ์ครอบคลุมเหนือศีรษะของสัตว์อสูร สุดท้ายสัตว์อสูรขนาดเท่าภูเขาเลาเกาทั้งสามก็ถูกฉินจิ่วเกอเลาะกระดูกเนื้อหนังออกมาทั้งเป็น โลหิตสดๆ ซ่านกระเซ็นไปทั่วพื้นที่

“เทียนหมิงเสีย ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ ไสหัวออกมา! ”

ฉินจิ่วเกอคำรามอย่างคั่งแค้น ความพยาบาทในใจพุ่งทะยานถึงขีดสุด ความแค้นบดบังนัยน์ตาจนไม่อาจถอนตัวได้

ความอึกทึกทางฝั่งนี้ได้ชักนำสัตว์อสูรจากบริเวณรอบด้านมาไม่น้อย

ฉินจิ่วเกอที่ตาแดงก่ำ ผมเผ้าแผ่สยายเห็นดังนั้นก็กุมบรรทัดตารางนิ้วในมือบุกล่าสังหาร

เกิดเสียงโหยหวนดังระงม เศษเลือดเศษเนื้อปลิวว่อนไปทุกหย่อมหญ้า ราวกับเป็นขุมนรกบนดิน

โฮกกก!

ความอึกทึกครึกโครมได้ชักนำสัตว์อสูรชั้นกลั่นดวงธาตุมาถึง สัตว์อสูรพวกนี้จับกลุ่มกันลึกเข้าไปในป่า เมื่อเวลาที่เฝ้ารอมาถึง พวกมันก็จะออกอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง เสาะหาเผ่ามนุษย์เพื่อชำระแค้น

ทหารผู้อุทิศตกตายด้วยน้ำมือของสหายร่วมอุดมการณ์ อาชญากรตกตายด้วยการตัดสินโทษ นี่ก็คือวัฏจักรของวิถีฟ้า!

สวบ สวบ!

เทียนหมิงเสียที่มีพลังรบเพียงกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง ฉินจิ่วเกอยังปะทะห้ำหั่นอย่างยากลำบาก กระทั่งกล่าวได้ว่ายากจะกำชัย หากไม่ใช่เพราะเคล็ดหมื่นมารทมิฬสะกดอีกฝ่ายเอาไว้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับชัยชนะ

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสัตว์อสูรที่ผนึกดวงธาตุ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ในระดับเดียวกันยามพบเจอยังต้องปวดเศียรขนานหนัก

ฉินจิ่วเกอเพิ่งประมือไปได้สามกระบวน ก็ต้องใช้เคล็ดมารมายาพุ่งหนีไป สัตว์อสูรเหล่านั้นเองก็ไม่ได้ไล่ตาม

เมื่อถึงเวลาออกอาละวาด สัตว์อสูรที่บ่มเพาะความแค้นเหล่านี้ก็จะออกไล่ล่ามนุษย์ตามหัวเมืองต่างๆ

เมื่อมารวมตัวกัน ก็จะกลายเป็นกองทัพสัตว์อสูรนับสิบนับล้าน เริ่มจากเผ่ามนุษย์ และกระจายไปถึงทั่วมหาทวีปเหนือใต้

เหมือนกับการอพยพของสรรพสัตว์ พวกมันปรารถนาที่จะกลับคืนสู่เผ่าอสูร กลับคืนอัตลักษณ์ดั้งเดิมเหนือยอดสุดบรรพตวนาสวรรค์

ฉินจิ่วเกอที่ถูกสัตว์อสูรกลั่นดวงธาตุไล่ตะเพิดมา นัยน์ตาจึงยิ่งทอประกายคั่งแค้น

เพลิงแห่งความแค้นนี้ เมื่อใดที่พบเห็นเทียนหมิงเสียก็จะปะทุออกมาอย่างหักห้ามไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายได้ฝากมารในใจเอาไว้ในจิตของตนแล้ว!

ความอยุติธรรม ก่อกำเนิดความชั่วร้าย!

ยามที่คนถูกโทสะครอบงำ เว้นแต่จะสงบจิตลงได้ ล้วนร่วงหล่นสู่วิถีปีศาจอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ฉินจิ่วเกอตอนนี้ยังวิ่งพล่านไปทั่วป่า สัตว์อสูรที่ต้องตายในเงื้อมมือมันล้วนมิอาจนับคำนวณได้

บรรทัดตารางนิ้วที่เคยเป็นสีทองศักดิ์สง่า ยามนี้กลับแผ่หมอกโลหิตออกมาบางๆ ชัดเจนว่าถูกโลหิตมหาศาลอาบย้อมจนเปลี่ยนสี

ฉินจิ่วเกอพยายามที่จะดึงสติตัวเองกลับมา มันมีลางสังหรณ์ว่า ขืนปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป มันจะต้องกลับกลายเป็นมารร้ายที่ใครเห็นใครก็กลัว จนสุดท้ายก็นำไปสู่การไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฉินจิ่วเกอเกลียดชังการฆ่าฟันจากก้นบึ้งของจิตใจ และไม่อยากร่วงหล่นสู่สภาพเช่นนั้น

แต่ทุกครั้งที่เห็นโลกตรงหน้า มันล้วนไม่อาจควบคุมตัวเองได้

มีแต่ความคิดที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง ให้พวกมันร่วงหล่นสู่นรกอเวจีไปให้หมด เมื่อนั้นกลิ่นอายความพยาบาทในใจมันจึงจะสลายไป

“อ๊าา! ”

ฉินจิ่วเกอทุบศีรษะตัวเองอย่างแรง ข่มตาให้แน่น ไม่มองไม่คิดสิ่งใดอีก พยายามสะกดแรงปรารถนาฆ่าฟันในใจ แต่แรงฆ่าฟันนั้นกลับยิ่งถูกกระตุ้น จนเริ่มที่จะกำเริบเสิบสานไปใหญ่โต

ยิ่งห้าม ก็ยิ่งทำให้โทสะในใจทะลักทะล้นเป็นเท่าทวี จนระเบิดปะทุออกมา!

“เจ้าหนู สงบสติลงซะ”

ท่ามกลางความมืด เกิดเสียงใสกังวานดังทะลุขึ้นกลางปล้อง เสียงนี้สะท้อนทั่วสี่ทิศแปดทาง ค่อยๆ ประเดประดังเข้าสู่โสตประสาทของฉินจิ่วเกอ จนแก้วหูเลื่อนลั่น

“เจ้า เจ้าเป็นใคร? ”

ฉินจิ่วเกอลืมตา นัยน์ตายังคงแดงฉาน เรืองรองด้วยประกายโลหิตน่าหวาดกลัว

“เจ้าไม่ต้องมองหาเรา ที่มามีเพียงสัมผัสเทวะของเราที่ใช้ส่องสำรวจสถานการณ์คลื่นสัตว์อสูรเท่านั้น ตอนนี้เจ้าจงสำรวมจิตตั้งมั่น อย่าปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นสู่วิถีปีศาจ ไม่อย่างนั้นต่อให้เราไม่ใช่คนจากทั้งสามเผ่าพันธุ์ ก็จำต้องกำจัดเจ้าทิ้งเสีย”

“ใคร เจ้าเป็นใคร” ฉินจิ่วเกอกุมหัว รู้สึกเหมือนศีรษะใกล้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บปวดเจียนตาย “เจ้าไม่ใช่ยืนอยู่หน้าข้าหรอกหรือ? ”

ตรงหน้าคือเงาแสงสีแดงสายหนึ่ง ยืนอยู่อย่างสงบเงียบ ฉินจิ่วเกอเบิกตามอง พบเห็นประกายแสงนั้นเรียกตนให้เข้าไปหา ทางฝั่งนั้นมีบุปผาแมกไม้งามบานช่ออยู่ เป็นเหมือนแดนสุขาวดี

“ตั้งสติ! ” เสียงละมุนดั่งลมวสันต์เพียงพริบตาก็เดือดพล่านดั่งอสนีบาต “ร่างหลักของเราอยู่ห่างจากที่นี่ไปหมื่นลี้ ไกลโพ้นทะเลไร้ขอบเขต ที่เจ้าเห็น เป็นเพียงมารในใจ รูปลักษณ์และน้ำเสียงเกิดจากปรารถนากิเลสในดวงจิต เท่ากับเจ้ากำลังก้าวสู่วิถีปีศาจ พึงสังวรไว้! ”

ฉินจิ่วเกอเร่งปิดตา ปิดสัมผัสรับรู้ทุกอย่าง ท่ามกลางความมืด พลังจิตขุมนั้นส่องสำรวจ ไม่มีเงาแดงที่ว่า จะมีก็แต่นรกบนดิน ซากศพกระจายกลาดเกลื่อนอยู่เท่านั้น

“เมื่อมีวาสนาพบพาน ช่วยเจ้าไขความกระจ่างสักอย่างสองอย่าง นั่งลง! ” สุ้มเสียงเก่าแก่คร่ำคร่า หลุดพ้นจากลาภยศ ตัวตนว่างไร้

ฉินจิ่วเกอรับคำ นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น ผนึกสำรวมจิต ระลึกรู้ว่าแถวจุดตันเถียนเกิดความเย็นกระจ่างขึ้นขุมหนึ่ง เพียงพริบตาเลือดลมเดือดพล่านก็เย็นตัวลง

จากนั้นไอวิญญาณเย็นระรื่นก็ไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์ ชำแรกเข้าสู่ภายในตันเถียน สะกดความพยศคลั่ง

“หนึ่งลมปราณพิสุทธิ์ ท่องเสพสุขนับพันลี้!” (ยอดคนขั้นสูงสุดอาศัยเพียงหนึ่งลมปราณพิสุทธิ์ขัดเกลาชำระจิตกายา ท่องทะยานพันลี้)

สิ้นคำ ยิ่งมายิ่งแผ่ไกล ก่อนจะเงียบงันไร้สำเนียง ฉินจิ่วเกอพลันได้สติจากความตกตะลึง “หรือจะเป็นอาวุโสเรืองปัญญา? ”

“อ๋า? เจ้ารู้? ” สุ้มเสียงนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์ เบาบางเหมือนปุยเมฆ เสมือนสายลมจากสรวงสวรรค์