บทที่ 163 ไม่อยากเสี่ยง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 163 ไม่อยากเสี่ยง

“ใช่ เจ้าเดาไม่ผิด ก็คือผงคัน แต่ผงคันนี้ไม่ใช่ผงคันผิวหนัง เจ้ากลับไปเตรียมยาแก้พิษก่อน ไม่เช่นนั้นจะคันมากขึ้นเรื่อยๆ จะคันจนอยากจบชีวิตตนเอง”

จะตายหรืออยู่ก็อยู่ที่เจ้าสร้างมันขึ้นเอง

แต่!

แต่หากต้องการทำยาถอนพิษ ในเวลาไม่กี่วันซึ่งเป็นไปไม่ได้

หลังจากชายร่างเตี้ยวัยกลางคนจากไป สายตาหลานเยาเยาหันไปจ้องไปที่ชายในชุดคลุมสีม่วงเข้ม ก็คือชายที่ชื่อหานแสผู้นั้น……

“ตอนนี้ตาเจ้าแล้ว ดูสีหน้าซีดจนไม่เป็นปกติ คาดว่าจะป่วยแล้วจริงๆ เจ้าเดินขึ้นหน้ามาเองเถิด!”

การแสดงออกเมื่อครู่

ตอนนี้หลายคนที่อยู่ที่นี่ยังตกใจไม่หาย!

ดังนั้นในเวลานี้ นางจะต้องเล่นตัวในฐานะพระชายาเย่

อย่างไรก็ตามโรคของหานแสผู้นี้มีอยู่จริง แม้ว่าเย่หลีเฉินจะเครียดจนอาเจียนเป็นเลือดก็ตาม จะคว้าโอกาสที่หาได้ยากและมีค่ามากในครั้งนี้อย่างดีแน่นอน ให้เป็นบทเรียนกับเขา

เป็นจริงอย่างที่คาดไว้!

เมื่อนางพูดจบ เย่หลีเฉินขมวดคิ้ว จากนั้นมองไปยังหานแส เขาไม่ได้พูดอะไร แต่หานแสเองที่พยักหน้าเล็กน้อย

จากนั้นก็เห็นหานแสค่อยๆ ลุกขึ้น มองดูผอมแห้งแรงน้อย เวลาที่เดินทรงพลังมาก ให้ความรู้สึกกดดันที่มองไม่เห็น

ความรู้สึกกดดันเช่นนี้กับความรู้สึกกดดันที่เย่แจ๋หยิ่งเคยให้นางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ว่าแต่ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไรนั้น นางเองก็อธิบายไม่ได้

หลังจากหานแสเดินถึงตรงหน้านาง ไม่ได้นั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ นาง แต่ยืนอยู่ตรงนั้น รอนางพูด

“นั่งเถิด!”

เมื่อนางพูดออกมา หานแสผงกศีรษะแล้วนั่งลง

หลานเยาเยาหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ฮัวหยู่อันยื่นให้ จากนั้นวางบนข้อมือของหานแสทำการจับชีพจร

เพียงแค่มือของนางอยู่ที่ชีพจรยังไม่ถึงสามวินาที นางดูหวาดกลัว รีบหยิบผ้าเช็ดไปหน้าทันที เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน สีหน้าจริงจังอย่างมาก

เห็นเช่นนั้น!

ทุกคนคิดว่าหลานเยาเยาก็เหมือนกับหมอคนอื่นๆ ไม่สามารถรักษาได้ มีเพียงหานแสเท่านั้นที่ยังคงดูสงบเป็นปกติ ขยับเล็กน้อย

มีหมอนับไม่ถ้วนที่จับชีพจรให้เขามาแล้ว ไม่ว่าจะมีชื่อเสียง หรือไม่มีชื่อเสียง อาการที่แสดงออกตอนพวกเขาจับชีพจรให้เขา เขายังคงจำได้

มีน้อยคนที่สามารถรู้อาการป่วยได้ในทันที แม้ว่าจะมีหนึ่งหรือสองคนที่อ้างว่าเป็นหมอเทพก็ตาม รู้สาเหตุการป่วยของเขา แต่สำหรับการรักษาของพวกนอกจากการส่ายหน้าแล้ว ก็ถือถอนหายใจ

แต่ยังไม่ผู้ใดที่จับชีพจรแล้ว แสดงออกถึงอาการเช่นนี้

นาง……

ผู้หญิงที่มีอายุประมาณสิบห้าปี วิชาการรักษาล้นหลามเกินหมอผมหงอกเหล่านั้นได้อย่างไร?

“อาการป่วยของเจ้าน่าสนใจมาก!”

ในขณะที่พูดประโยคนี้ หลานเยาเยาก็ยิ้มออกมา

ทำให้ทุกคนคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ!

น่าสนใจ?

พระเจ้า หมอทั่วไปจะบอกได้เพียงว่ามันแปลกไม่ใช่หรือ?

หลานเยาเยากลับใช้คำว่าน่าสนใจมาเปรียบเปรย ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนราวกับเห็นอะไรที่น่าสนุก

“พระชายาเย่หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

เย่หลีเฉินกำลังจะพูด แต่เสียงของเขายังไม่ได้เปล่งออกมา หานแสก็พูดขึ้นก่อน

“พิษก็ไม่ใช่ กู่ก็ไม่ใช่ โรคก็ไม่เหมือน แต่มีความรุนแรงมากกว่าทั้งสามอย่างรวมกันหลายร้อยเท่า

ตามหลักแล้ว แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ไม่เกินสามเดือน แต่ตอนนี้ข้าพบว่า สถานการณ์เช่นนี้ในร่างกายของเจ้ามีมาอย่างน้อยนานสิบปีแล้ว

หากไม่ใช่เพราะมีชีพจร พูดได้ และยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าจะวินิจฉัยอย่างแน่นอนว่าเจ้าเป็นศพเดินได้”

หลานเยาเยามองไปที่หานแสด้วยความสนใจ

สายตามองเขาจากปลายผมจรดปลายรองเท้า แล้วมองจากปลายรองเท้าไปที่เส้นผม ความสนใจมากมายพุ่งออกมาจากดวงตา

เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้เห็นอาการป่วยน่าสนใจเช่นนี้……

“เสด็จอาสะใภ้ เขาเป็นโรคอะไรกันแน่?”

เห็นสายตาของหลานเยาเยาคอยกวาดมองหานแสไปมา ในใจเย่หลีเฉินเต็มไปด้วยความโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก

“ในเมื่อเขาค้นหาหมอเทพในทุกแห่งหนบนโลก และเจ้าก็เป็นมิตรที่ดีของเขา เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร?”

นางไม่เชื่อหรอก ว่าจะไม่มีการวินิจฉัยภาวะโรคดังกล่าวในทวีปนี้

อีกอย่าง

ดูการตอบสนองของหานแสเมื่อครู่ เห็นได้ชัด เขาเพียงแค่แปลกใจ ไม่ได้ตกใจ นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามีผู้วินิจฉัยอาการของเขามากกว่าหนึ่งคน เพียงแค่หาวิธีรักษาไม่ได้เท่านั้นเอง

“ข้าไม่ใช่หมอ จะรู้ได้อย่างไร?”

อีกอย่างเขารู้จักกับหานแสเพียงไม่กี่เดือน รู้จักเขาน้อยมาก

เหมือนว่านอกจากรู้จักชื่อของหานแสแล้ว และภายนอกที่ตระกูลดูเหมือนมีอำนาจ อย่างอื่นไม่รู้อะไรเลย

หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าหานแสมีโรคที่รักษาไม่หาย รวมไปถึงความต้องการแก้แค้นหลานเยาเยา คิดว่าเขากับหานแส

เพียงแค่พบกันโดยบังเอิญก็แค่นั้น

“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

แล้วหานแสผู้นี้เป็นใครกันแน่?

“ไม่ทราบว่าพระชายาเย่มีวิธีรักษาหรือไม่ขอรับ?” สำหรับเรื่องนี้ หานแสเขารู้สึกว่าเป็นเพียงคำถามที่เกินความจำเป็นเท่านั้น

ไม่ว่าอย่างไร!

สิบกว่าปีแล้ว เขาทนทุกข์ทรมานมามาก ความหวังที่ครั้งหนึ่งเคยมีเหล่านั้น ได้สูญหายไปนานแล้วตามกาลเวลา

“เรื่องนี้หรือ……ไม่มี!”

อันที่จริงมันก็ไม่ได้หมดหวังเลยมีเดียว แต่นางไม่จำเป็นต้องทำเพื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้อง และทำให้เย่แจ๋หยิ่งและนางตกอยู่ในอันตราย

แม้ว่าบุคคลนี้จะดูไม่มีอันตราย ก็ไม่ได้

“เป็นเช่นนี้จริงด้วย!”

เย่หลีเฉินทำท่าทางเหมือนว่าเขารู้อยู่แล้ว สำหรับการปฏิเสธของหลานเยาเยา ในสายตาของเขาก็มีการดูถูกมากขึ้น

แต่ เมื่อนึกถึงหมอเทพที่หานแสเคยตามหา สามารถวินิจฉัยโรคได้มีไม่ถึงสามคนแน่นอน และเมื่อคนเหล่านั้นที่มีวิชาการรักษาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ผมหงอกไปหมดแล้ว

และตอนนี้หลานเยาเยาเพิ่งสิบห้าปี อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเหล่าหมอเทพ นี่ถือเป็นอัจฉริยะในโลกของวิชาการรักษาเลยทีเดียว!

รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาทันใด

“อาการก็ดูเสร็จแล้ว ผลก็ออกมาแล้ว เสด็จหลาน! ข้าไม่รั้งพวกเจ้าไว้กินข้าวแล้ว อย่างไรตอนนี้ เสด็จอาของเจ้าก็ไม่อยู่ที่จวน ข้าก็ยุ่งกับเรื่องต่างๆ ในจวน ยิ่งไม่มีเวลาดูแลพวกเจ้าเลย”

จัดการเรื่องดังกล่าวแล้ว นางไม่เพียงแต่รักษาชื่อเสียงของตนเองไว้ได้เท่านั้น ยังไม่ทำให้จวนอ๋องเย่เสื่อมเสียชื่อเสียง

ดังนั้น!

แน่นอนว่านางจะต้องไล่คนออกอย่างโจ่งแจ้ง นางไม่ใช่คนที่เกียจคร้านเหล่านั้น

ในใจของนางยังมีคำถามอีกมากมาย……

เย่หลีเฉินที่ถูกไล่ออกไปก็รู้ตัวเองดีเช่นกัน ลุกขึ้นด้วยความโกรธ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

องค์ชายรัชทายาทก็ไปแล้ว คนที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่กล้าอยู่ต่อให้นานอีกหน่อย

แต่!

แต่หลานเยาเยาให้หานแสทิ้งเลือดสองสามหยดลงในขวดเล็กๆ เอาไว้ กล่าวคำสัญญาเต็มไปความจริงใจ ถ้ามีวิธีรักษาต้องบอกเขาโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน

หานแสจัดการได้อย่างสะอาดสะอ้าน เติมเลือดลงในขวดเล็กๆ จนเต็มก่อนที่จะออกไป

หลานเยาเยาเหลือบมองถังมู่หวั่นที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่ที่นางเข้าไปที่ห้องรับแขก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ

ด้วยสายตาที่ไม่เต็มใจจากไปเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะไม่เห็นเย่แจ๋หยิ่ง!

เหอะๆ !

ให้เจ้าคาดเดา……

“พวกเจ้ารีบไปโรงครัว ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว เนื้อไก่เป็ดปลาทุกอย่างห้ามขาด”

“……” ผู้คนที่เพิ่งก้าวออกจากห้องรับแขก

พระชายาเย่ นี่คือเรื่องที่ท่านบอกว่ายุ่งอยู่งั้นหรือ?