ตอนที่ 269 ข้ามีร้านโรงศพหนึ่งร้าน
ฉินหลิวซีเห็นว่าเสร็จธุระแล้วกำลังจะกลับไป ส่วนหยกขาวไขมันแพะคู่ใจเดียวนั่น นางไม่แม้แต่จะมอง อย่าว่าแต่อยากได้เลย
ทว่าสะใภ้เซี่ยมองกล่องเล็กๆ นั่น ชี้นิ้วไป เอ่ยว่า “ท่านแม่ ถอนหมั้นไปแล้ว ของสิ่งนี้เล่าเจ้าคะ”
สิ่งของที่เอามาเป็นของหมั้นได้ แน่นอนว่าราคาไม่ธรรมดา ตอนนั้นตระกูลฉินก็ไม่น้อยหน้า และแม้ฉินหมิงมู่จะเป็นเชื้อสายรอง แต่ก็เป็นหลานชายคนแรกของพวกเขา เป็นหลานชายเชื้อสายรอง ยิ่งเป็นหน้าเป็นตาให้เขา จึงไม่ได้ให้ของที่แย่มากนัก
ตอนนี้เขาถอนหมั้นแล้ว หากเอาของหมั้นนี้ไปขายก็คงได้หลายร้อยตำลึง
นายหญิงผู้เฒ่าเพียงมองปราดเดียวก็รับรู้ถึงความคิดของสะใภ้เซี่ย กอดกล่องเล็กๆ นั่นเอาไว้ เอ่ย “ในเมื่อถอนหมั้นแล้ว ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงของหมั้นอะไรแล้ว เพราะหยกหนึ่งชิ้นเท่านั้น”
นางเอ่ยพร้อมยื่นให้ติงหมัวหมัว เอ่ย “เก็บเอาไว้ อนาคตต้องมียามที่ได้ใช้ประโยชน์”
สะใภ้เซี่ยเห็นเช่นนั้น ดวงตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับถูกคนฉกเงินจำนวนมากออกจากกระเป๋า ปวดใจยิ่งนัก
ในเมื่อถอนหมั้นบุตรชายคนโตของบ้านพวกเขา ของหมั้นที่ส่งกลับคืนมา อย่างไรก็ควรเป็นนางที่เป็นมารดาต้องเก็บรักษาเอาไว้มิใช่หรือ
ในใจไม่พอใจ ทว่าปากกลับไม่กล้าต่อต้านแม้เพียงประโยคเดียว
“ท่านแม่ สิ่งที่เจ้าเด็กซีบอกท่านคิดว่ามีความแม่นมากเพียงใดเจ้าคะ คุณหนูตระกูลเวินผู้นั้น หาข้ออ้างมาขอถอนหมั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ” สะใภ้เซี่ยกระซิบ
นายหญิงผู้เฒ่าฉินเอนตัวลงกับหมอนอิง เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เป็นข้ออ้างหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว เพียงแต่บุตรสาวขุนนางขั้นสี่ ตอนนั้นได้เกี่ยวดองกับตระกูลเรา นับว่าไม่อาจเอื้อมแล้ว ตอนนี้ตระกูลของเราตกต่ำก็มาถอนหมั้น ตอนนั้นเราก็ตาบอดไป”
นายหญิงผู้เฒ่าฉินชายตาขึ้นมอง “การหมั้นที่ไม่ได้แม้แต่จะแลกหนังสือแต่งงาน มาถึงตอนนี้จึงถอนหมั้น ตระกูลเวินนับว่ามีจิตใจที่ดีงามแล้ว เจ้าดูเหมยเหนียงสิ มีลูกถึงสองคนแล้ว ก็ยังหย่าร้างกลับมา”
สะใภ้เซี่ยเม้มริมฝีปาก
“จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง การเกี่ยวดองแท้จริงก็ยังแยกจากกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงการแลกของหมั้นเกี่ยวดองเท่านั้น” นายหญิงผู้เฒ่าเข้าใจ นางไม่โกรธ เพียงรู้สึกเศร้ารันทดอยู่ในใจ คิดว่าพวกเขาใช้ความจริงมาเตือนนางอีกครั้ง
ตระกูลฉินไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
นางปิดเปลือกตาลงไปอีกครั้ง เอ่ย “เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ต่อให้ตระกูลเวินไม่มาถอนหมั้น หญิงสาวถึงวัยแล้ว จำต้องเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน หมิงมู่อยู่ทางนั่นไม่รู้สถานการณ์เป็นอย่างไร ตระกูลฉินยังเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะมีสินสอดไปสู่ขอให้เขาได้”
ล้วนแล้วแต่เป็นโชคชะตา เพียงต้องดูหลังจากนี้
สะใภ้เซี่ยไม่สนใจ นางเพียงเจ็บใจกับหยกชิ้นนั้น
…
ทางซีเป่ยที่อยู่ห่างไกล ฉินหมิงมู่กำลังแบกก้อนหินเดินไปข้างหน้า จู่ๆ พลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา น้ำตาก็ไหลริน ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบลงกับพื้น
“ทำอะไรของเจ้า แบกก็แบกเสียสิ ไม่ไหวก็ไสหัวกลับบ้านไปกินนม” ผู้คุมงานถือแส้เดินเข้ามา สะบัดลงกับพื้น ย้อนกลับมาเอ่ยปากถากถาง
ฉินหมิงมู่กัดฟัน เก็บกักความรู้สึกปวดใจเอาไว้ เช็ดน้ำตาที่หางตา ฝืนลุกขึ้นมาด้วยขาที่สั่นระริก เดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง
…
ฉินหลิวซีตามสะใภ้หวังเข้ามาในเรือนของนาง หางตาเห็นชายกระโปรงอนุวั่นรีบกลับห้องด้านข้างไป มุมปากลอบยกขึ้น
เสิ่นหมัวหมัวยกน้ำชามาให้ทั้งสอง เดินออกจากประตูไป
สะใภ้หวังเอ่ยถาม “ดวงชะตาของพี่ใหญ่เจ้า เจ้ามั่นใจหรือไม่”
“หากเป็นตัวเลขดวงชะตาที่หมัวหมัวให้มา ไม่ถึงสิบส่วนก็แปดส่วนได้เจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ เอ่ย “ตอนพี่ใหญ่ของเจ้าเกิด อาสะใภ้รองเจ้าอ้างว่าไม่สบาย เป็นข้าที่พาเสิ่นหมัวหมัวไปเฝ้ารอคลอด เวลาดวงชะตานั้นไม่ผิด ดวงชะตาหยางบริสุทธ์ไม่แท้ ที่เจ้าว่า อย่าได้เอ่ยออกไป เลี่ยงที่ต่อไปเขาจะแต่งงานไปได้ยาก”
“ข้าไม่ได้ปากมากหรอกเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซียู่ปาก เอ่ย “ท่านก็ไม่ต้องกังวล เขาใช่ว่าจะได้อยู่ตัวคนเดียวจนชั่วชีวิต ต้องได้เจอกับสตรีที่มีดวงสมพงษ์กับเขาอย่างแน่นอน เพียงรอดูโอกาสและเวลาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังตอบรับในลำคอ ถอนหายใจ เอ่ย “พวกเจ้ารุ่นนี้ มีเพียงพี่ชายใหญ่ของเจ้าที่ถึงเวลา ดังนั้นจึงได้หมั้นหมาย ความจริงเพิ่งตกลงกันในเดือนห้าปีนี้ แต่ไม่คิดว่าหนังสือแต่งงานยังไม่ทันได้แลกเปลี่ยน ตระกูลเราก็เกิดเรื่องขึ้น เดิมคิดว่าตระกูลเวินมีเมตตาไม่ถอนหมั้น ไม่คิดว่าจะมาถอนเอาตอนนี้”
“ตระกูลเวินมีเมตตาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นตอนพวกท่านมาจากเมืองหลวง ก็คงมาถอนหมั้นไปแล้ว”
หวังซื่อย่นจมูก จ้องมองนาง เอ่ย “ครอบครัวของเราเป็นเช่นนี้ เขาจะถอนหมั้นก็เป็นเรื่องปกติ แต่เจอการถอนหมั้น อย่างไรก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ เจ้าอย่าเอ่ยต่อหน้าท่านย่าและอาสะใภ้รองของเจ้าให้มากความ จะได้ไม่แทงใจไปมากกว่านี้”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านวางใจเถิด ข้าเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปนั่งพูดคุยเรื่องไร้สาระกับพวกนาง”
“เจ้าเด็กคนนี้” สะใภ้หวังยกนิ้วขึ้นมาจิ้มหน้าผากนาง
ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกพี่ใหญ่ จะได้กลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ วางใจเถิด”
สะใภ้หวังหัวใจกระตุก เบนหน้าไป นางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เก็บกักความดีใจเอาไว้ ส่งเสียงตอบรับเบาๆ
กลับมาได้ก็ดีแล้ว
ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลง เอ่ย “ก่อนหน้านี้ที่อารามได้เปลี่ยนรูปหล่อทองคำของท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ช่วงนี้ข้ายุ่งๆ อีกสองวันบางทีอาจต้องไปเมืองหนิงโจว เกรงว่าคงไม่ได้อยู่บ้านหลายวันเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไปอีกแล้วหรือ” สะใภ้หวังส่งเสียงตกใจ เอ่ย “เช่นนั้นต้องเอาคนติดตามไปด้วยหรือไม่”
“ถึงตอนนั้นจะเอาเฉินผีไปด้วยเจ้าค่ะ ท่านวางใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ฉินหลิวซีเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก ไปเยี่ยมคนคนหนึ่ง คือท่านเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจือเหอในเมืองหลี จองที่เรียนให้กับเจ้าห้าและฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
“ท่านเจ้าสำนักของสำนักศึกษาหรือ” สะใภ้หวังไม่คิดว่านางจะมีเส้นสายถึงเพียงนี้ จึงเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะเตรียมของขวัญเล็กน้อยให้เจ้านำไปด้วย”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าเตรียมเองเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีอธิบายอีกหนึ่งประโยค “ข้ารู้จักเขามานาน เข้าใจว่าเขาชอบอะไรดีกว่าท่าน รอต่อไป ยามถึงเทศกาลต่างๆ ท่านค่อยเตรียมของขวัญดีกว่าเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังพยักหน้า
“ร้านขายผลไม้แช่อิ่มนั่นดำเนินการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ติดขัดอะไรหรือไม่ เงินพอหรือไม่ หากไม่พอ กับข้ายังมีอยู่ แปดร้อยตำลึงที่เจ้าให้มาก่อนหน้านี้ก็ยังอยู่”
“เลือกร้านแล้วเจ้าค่ะ ข้าไปดูด้วยตนเอง ที่ทางก็ไม่เลว ไม่ใหญ่มาก แต่มีเรือนหลัง แต่พวกเราก็ยังไม่เคยทำผลไม้แช่อิ่ม ต้องเปิดร้านดูก่อน หากกิจการไปได้ดีค่อยขยายเจ้าค่ะ” สะใภ้หวังยิ้มพลางเอ่ย “ยามนี้เป็นเวลามองหาคนมีฝีมือและเลือกอุปกรณ์มาทำแล้ว ช้าไปสักหน่อย แต่กิจการก็เป็นเช่นนี้ รีบไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือหาคนมีฝีมือที่สะอาดเชื่อถือได้”
ฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ย “ข้าได้ยินฉีหวงบอกว่า ท่านป้าใหญ่ถูกไล่ออก ท่านมิสู้เรียกนางกลับมาช่วยท่าน คนของตนเองจะได้สบายใจขึ้นมาสักหน่อย ให้ค่าจ้างนางก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“โอ้ นี่เป็นวิธีที่ดีเลยนี่ เดี๋ยวข้าจะเอ่ยกับนางลองดู ที่บ้านยังมีอาสะใภ้สามและอาสะใภ้รองของเจ้าคอยดูแล ข้าก็เพิ่งปลีกตัวออกมาได้ เหนื่อยก็คงเหนื่อยสักหน่อย แต่ถ้ายุ่งก็จะได้ไม่ต้องคิดไปเรื่อย” ดวงตาสะใภ้หวังดูสบายอกสบายใจ เอ่ย “ก่อนหน้านี้ที่เอ่ยกับเจ้าไว้ เงินส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ นั่น เจ้านึกอะไรได้แล้วหรือไม่ เงินจำนวนน้อยเพียงนี้คงจะหาร้านเล็กๆ ได้เท่านั้น”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ามีร้านแล้ว”
“จริงหรือ อยู่ที่ใดหรือ”
“ตรอกโซ่วสี่ ร้านโลงศพร้านหนึ่งเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของสะใภ้หวังแข็งค้าง “?”