ตอนที่ 130 อารมณ์เสีย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ทว่าโสมที่นางใช้ก็มีอายุ 60-70 ปีแล้ว เมื่อรวมกับน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณเข้าไปอีกจึงทำให้น้ำแกงไก่มีคุณสมบัติในการบำรุงร่างกายเพียงพอ ชะตาชีวิตของคนผู้นี้ยังดีอยู่ ไม่มีทางตาย ณ เวลานี้แน่นอน !

หลีชิงซดน้ำแกงไก่จนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว…ฝีมือดีใช้ได้ ไก่ก็สดมาก รสชาติสมุนไพรเยี่ยงโสมผสานเข้ากับน้ำแกงได้อย่างลงตัว ไม่โดดขึ้นมาแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังทำให้รสชาติพิเศษขึ้นด้วย

หลินเว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายซดน้ำแกงหมดแล้วจึงนำขวดยาขึ้นมาเขย่าไปมา “แผลของเจ้าจะต้องใส่ยาใหม่…”

“เจ้าออกไป ประเดี๋ยวข้าทำเอง ! ” เจียงโม่หานคว้าขวดยามาจากมือนางแล้วส่งสายตาให้ออกไป

เอาเถิด ออกก็ออก ใช่ว่านางไม่เคยเห็นรูปร่างของชายชุดดำมาก่อนเสียหน่อย…ดีใช้ได้เลย !

ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ถอดเสื้อของหลีชิงแล้วล้างสมุนไพรที่อยู่ด้านบนบาดแผลออก…เป็นอย่างที่คิดว่าเหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิดเพราะบาดแผลอยู่ใกล้บริเวณหัวใจ ทว่าตอนเขาช่วยหลีชิงเมื่อชาติก่อนนั้นบาดแผลเริ่มเน่าแล้วยังมีไข้ด้วยจึงมีอาการที่ไม่ดีตามมาอีก

เมื่อใส่ยาบนบาดแผลแล้ว เจียงโม่หานก็พบว่ายาในมือของตนเป็นยาที่เหลือจากตอนใช้รักษาบาดแผลตรงศีรษะ เดิมทีมันก็มีไม่มากอยู่แล้ว บาดแผลของหลีชิงทั้งลึกและใหญ่ เขาจึงนำผงยาที่เหลือทั้งหมดใส่บนบาดแผล

ทั้งสองเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อไม่มีหลินเว่ยเว่ยคอยพูดอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ตลอดระยะเวลาการทำแผลจึงเหมือนละครใบ้ที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากสนทนา

“เสร็จหรือยัง ? ข้าเข้าไปแล้วนะ ! ” หลินเว่ยเว่ยคอยคำนวณเวลา บาดแผลของหลีชิงเพิ่งโดนพันเสร็จ นางก็ส่งเสียงบ่นอยู่ที่ลานหน้าบ้านแล้ว

ต่อจากนั้นนางก็วางขวดน้ำบนโต๊ะที่หลีชิงสามารถเอื้อมถึงได้แล้วพูดกับเขาว่า “ในนี้คือน้ำต้ม ถ้าตกกลางคืนแล้วเจ้าหิวน้ำก็ดื่มได้ พักผ่อนเร็ว ๆ ด้วย…”

จากนั้นนางก็หันมาหาเจียงโม่หาน “ตอนเย็นเจ้ากินบะหมี่แค่ไม่กี่คำ ในหม้อยังมีน้ำแกงไก่อยู่ ประเดี๋ยวข้าทำเกี๊ยวให้ดีหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานกำลังรอประโยคนี้อยู่ ฝีมือการทำอาหารบุตรสาวคนโตตระกูลหลินทำให้ยากที่จะกลืนเข้าไปจริง ๆ แค่บะหมี่ครึ่งชามนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะกลืนมันลงไปได้อย่างไร ! เปลี่ยนจากการกินจุเป็นฝืนกินได้ทันที !

เวลาต่อมาหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มสับเนื้อหมูเพื่อทำไส้เกี๊ยวแล้วนำแป้งขาวมาปั้นเป็นก้อน หลังพักแป้งได้สักครู่นางก็เริ่มทำเป็นแผ่นบาง ๆ…

“พี่รอง…” หลินจื่อเหยียนได้ยินเสียงจึงลุกขึ้นจากเตียงเตาปูนแล้วเดินมายังประตูห้องครัว เป็นอย่างที่คิดว่าศิษย์พี่เจียงก็อยู่ด้านใน พี่รองลำเอียงเหลือเกิน ตอนเย็นเขาเองก็ไม่ได้กินไปเยอะเท่าไร เหตุใดนางถึงจุดเตาทำให้ศิษย์พี่เจียงคนเดียว ?

“ยังไม่นอนอีกหรือ อ่านตำราเหนื่อยแย่ล่ะสิ ! มื้อดึกใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้ามากินเกี๊ยวหมูสักชามสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยตักเกี๊ยวออกจากหม้อแล้วนำไปใส่ในหม้อน้ำแกงไก่

“พี่รอง ยังมีข้าด้วย…” ทันใดนั้นที่ประตูห้องครัวก็มีศีรษะน้อย ๆ ยื่นเข้ามา เจ้าหนูน้อยใส่กางเกงตัวเล็กและเอี๊ยมแดงปักลายห้าอสรพิษพลางหัวเราะคิกคักให้นาง

หลินเว่ยเว่ยยิ้มแล้วส่ายศีรษะ จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับหลินจื่อเหยียนว่า “เอาไปให้ท่านแม่ชามหนึ่ง ไม่รู้ว่าน้าเฝิงนอนหรือยัง บัณฑิตน้อย เจ้ายกไปให้น้าเฝิงสักชามสิ”

โชคดีที่นางห่อเกี๊ยวไว้เยอะ หนึ่งคนกินหนึ่งชามยังพอมีเหลือด้วยซ้ำ ส่วนพี่สาวคนโตที่กำลังแกล้งนอนอยู่บนเตียงก็ได้กลิ่นหอมของน้ำแกงไก่และเกี๊ยวต้ม ทันใดนั้นนางก็กำมือจนเล็บแทบจะแทงทะลุเนื้อ ทุกคนได้กินหมด ยกเว้นนางคนเดียว…นางน้องรอง ข้าจะจำไว้ !

หลังทุกคนกินจนอิ่มแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยกชามสุดท้ายเข้ามา นางเขย่าตัวพี่สาวแล้วกล่าวว่า “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ! จะกินหรือไม่ ? ถ้าไม่กิน ข้าจะยกออกไปแล้วนะ ! ”

พี่สาวทนไม่ไหวจึงรีบลุกขึ้นแล้วก้มหน้ารับชามเกี๊ยวน้ำไว้ทันที จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาคีบเกี๊ยวเข้าปากโดยไม่เงยหน้าสักนิด ที่แท้น้องรองก็ไม่ได้ลืมนาง เป็นตัวนางเองที่คิดมากไป ! แต่ถ้าจะให้นางทำเหมือนน้องสามและน้องสี่ที่ไปขอของกินจากน้องรองถึงห้องครัวเช่นนั้น นางก็ทำไม่ได้จริง ๆ

ตอนน้องรองยังโง่เขลาอยู่ ตัวนางก็ไม่ดูแลน้องและแทบอยากทำให้น้องสาวที่เป็นภาระคนนี้หายไปจากครอบครัว แต่ตอนนี้น้องสาวไม่โง่เขลาแล้ว ซ้ำยังเก่งขึ้นทุกวัน ส่วนตัวนางกลับไม่รู้ว่าควรใช้อารมณ์เช่นไรเวลาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย…

“กินเสร็จแล้วอย่าลืมล้างชามด้วย ! ” หลังทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หันไปพูดกับมารดาว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้อยากกินอะไร ? โจ๊กไก่ฉีกใส่เห็ดหอมคู่กับซาลาเปาทอดสดใหม่สามชิ้น เป็นเช่นไรเจ้าคะ ? ”

“อะไรก็ได้ ! ทำอะไรง่าย ๆ ก็ได้ วันนี้เจ้าทำงานดึกอีกแล้ว พรุ่งนี้นอนให้มากหน่อยเถิด” นางหวงสงสารบุตรสาว ตอนนี้การค้าของครอบครัวทำกำไรได้ดี แต่ทุกคนก็ยุ่งเหมือนกัน โดยเฉพาะบุตรสาวคนรองที่ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำจนไม่มีเวลาพักผ่อน ดูสิ สาวน้อยตัวอ้วนกลมบัดนี้ผอมจนเอวบางร่างน้อยไปหมดแล้ว !

“เจ้าค่ะท่านแม่ ฝันดี ! ” หลินเว่ยเว่ยเข้าไปสวมกอดนางหวงแล้วฉีกยิ้มหวาน

ขณะที่พี่สาวถือชามลงจากเตียงก็บ่นพึมพำว่า “อายุเท่าไหร่แล้วยังให้ท่านแม่กอดอีก คิดว่าตนเป็นน้องสี่หรือไร ! ”

ทันใดนั้นเจ้าหนูน้อยก็พูดแก้ต่างให้ตนอยู่อีกด้านหนึ่ง “ข้าไม่ให้ท่านแม่กอดตั้งนานแล้ว ! พี่รองต่างหากที่ทำตัวเป็นเด็กกับท่านแม่ เหมือนตุ๊กตาตัวน้อย ! ”

นางหวงเข้าไปจิ้มจมูกของบุตรชายแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้แม่จะเอาถ้อยคำของเจ้าไปบอกพี่รอง ดูสิว่านางยังจะทำขนมให้เจ้ากินอีกหรือไม่ ! ”

เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นจึงรีบประจบทันที “ท่านแม่ขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ! ข้าไม่ควรว่าพี่รอง ท่านอย่าเอาไปบอกพี่รองเลยนะ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว…”

ส่วนหลินเว่ยเว่ยที่กลับมายังห้องทางฝั่งตะวันตกก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากห้องหลัก ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ยกยิ้มเพราะความสุขที่เกิดขึ้นในใจ…การมีครอบครัวช่างดีเหลือเกิน !

ส่วนพี่สาวคนโตที่เดินเข้ามาในครัวก็ต้องอารมณ์เสียขณะมองข้าวของที่วางกองบนเตา ความรู้สึกซาบซึ้งค่อย ๆ จางหาย…นางน้องรอง เราได้เห็นดีกันแน่ ! ที่ยกไปให้ข้าคนสุดท้ายก็เพราะอยากให้ข้าเป็นคนเก็บกวาดใช่หรือไม่ ?

ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หลินเว่ยเว่ยมอบวันหยุดให้พวกป้าและพี่ ๆ ที่คอยทำงานมาด้วยกัน ดังนั้นพอตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ นางก็เริ่มทำงานคนเดียวจนหัวหมุน

“พี่รอง พี่รอง วันนี้ท่านจะทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ถั่วแดงหรือไม่ ? ” เจ้าหนูน้อยเข้ามาเดินวนรอบหลินเว่ยเว่ยราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่กำลังติดคน

หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือที่เต็มไปด้วยแป้งไปแตะบนจมูกของเขาแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทำสิ มีไส้ธัญพืชห้าชนิด ไส้ถั่วแดง ไส้พุทราแดง…มีหมดเลย ! ”

ตอนนี้นางกำลังทำขนมไหว้พระจันทร์อยู่ใต้ต้นลูกพลับ ขณะเดียวกันเจียงโม่หานที่อยู่ในชุดสีนวลจันทร์ พร้อมตำราเล่มหนึ่งก็นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป

ขณะมองนางอบขนมไหว้พระจันทร์ในเตา คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินวนบริเวณรอบ ๆ ในระยะที่นางพอจะเห็นได้ เพื่อเตือนนางว่า…เจ้าลืมสิ่งใดหรือไม่ ?

“บัณฑิตน้อย ไปนั่งทางโน้น ประเดี๋ยวเสื้อผ้าชุดใหม่ของเจ้าจะเปื้อน” บัณฑิตหนุ่มใส่ชุดสีนวลจันทร์แล้วดูดีมาก ถ้าใส่ชุดของสตรีจะต้องเปล่งประกายยิ่งกว่าเทพเซียนลงมาจุติแน่นอน แต่นางคิดว่าถ้าเขาใส่ชุดสีขาวจะต้องดูเหมือนเทพเซียนมากกว่าอีก

เจียงโม่หานกลับไปนั่งใต้ต้นไม้แต่ท่าทางดูเหมือนอารมณ์เสีย นี่เขาเป็นอันใดไป หรือในช่วงเทศกาลเช่นนี้ก็มีคนมากวนโมโหเขาแล้ว ?

“วันนี้คือวันไหว้พระจันทร์ ช่วยอารมณ์ดีหน่อย อย่าทำหน้ายักษ์สิ ! ประเดี๋ยวข้าทำขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะให้…” หลินเว่ยเว่ยใช้น้ำเสียงออดอ้อนแบบเจ้าหนูน้อยมาพูดปลอบใจบัณฑิตหนุ่ม

ทันใดนั้นความเย็นชารอบตัวของเจียงโม่หานก็ดูจะลดลงทันที หืม ? หรือปัญหาจะอยู่ที่ขนมไหว้พระจันทร์บัวหิมะ ?

ตอนต่อไป