ตอนที่ 131 อาวุธวิญญาณที่แท้จริง

“ถ้าหากข้าบอกเรื่องนี้ไป ท่านนักพรตเต๋าจะยอมถอยออกไปจากเรื่องในตอนนี้หรือไม่?”

ชวี่หยางพูดต่อรองขึ้นมาทันที ทําให้สีหน้าของมู่อี้ดูเย็นชาขึ้นมาและบางครั้งการได้ยินคําถามแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี

มู่อี้เริ่มคิดในใจทันทีแต่ท้ายที่สุดเขาก็ส่ายศีรษะ

ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมู่อี้ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นคนที่ชั่วร้ายคนหนึ่ง เพราะเขาเองก็เคยลองตัดสินใจทําเรื่องที่คิดว่าชั่วร้ายแล้วแต่มีบางอย่างในใจของเขาที่รู้สึกต่อต้านขัดแย้งมาโดยตลอด

มือของมู่อี้ก็เปื้อนเลือดมาเป็นจํานวนมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูนั้นเขาไม่เคยปรานีเลยเมื่อต้องสังหารก็พร้อมที่จะลงมือสังหาร

แต่มู่อี้ก็ไม่ใช่คนที่จะทําทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง อย่างน้อยลึกๆในใจของเขาก็ยังมีหลักการอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าหากว่าใครทําดีกับเขา เขาก็จะทําดีตอบแทนด้วยเช่นกัน

แม้ว่ามู่อี้จะต้องการทราบว่าหลี่เฉียจ่ออยู่ที่ไหนในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะหักหลังมิตรสหายของตนเองเพื่อเป้าหมาย อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขาก็ถือเป็น “มิตรสหาย” ของโม่หรูเยียน

เมื่อเห็นว่ามู่อี้ส่ายศีรษะขึ้นมา สีหน้าของชวี่หยางก็ดูผิดหวังทันที “ในเมื่อท่านนักพรตเต๋าตัดสินใจเช่นนี้แล้วพวกเราก็ต้องต่อสู้กันใช่หรือไม่?”

“เรื่องนี้ยากจะพูดได้ บอกข้ามาว่าหลี่เฉียจื่ออยู่ที่ไหนและข้าจะปล่อยให้ท่านรอดชีวิตกลับไป” หลังจากที่ตัดสินใจแล้วมู่อี้ก็ไม่พูดอะไรอีก

“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้สิ วันนี้ข้าคงต้องรบกวนท่านนักพรตเต๋าแล้วและข้าอยากรู้ว่าถ้าหากข้าไม่ไปแล้วท่านจะทําอย่างไร” สีหน้าของชวี่หยางเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะถูกท่านนักพรตเต๋าที่ยังอายุน้อยคนหนึ่งพูดจาสบประมาทเช่นนี้

เมื่อความเกลียดชังครั้งใหม่และความเกลียดชังในอดีตที่ผ่านมาผสมผสานกัน เขาก็รู้สึกทนไม่ได้อีกต่อไป

ทันใดนั้นชวี่หยางก็ก้าวถอยหลังไปและในเวลาเดียวกันเขาก็ห่อลิ้นขึ้นในปาก จากนั้นเสียงที่เหมือนกับนกหวีดก็ดังออกมาทันที

วี๊ด!”

เสียงนกหวีดที่เล็กแหลมดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่ามันจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้

และมู่อี้ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ศัตรูได้ลงมือ มือขวาของเขาสะบัดออกไปทันทีพร้อมกับยันต์สายฟ้าที่ถูกปล่อยออกไป

” ตู้ม!”

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมาทันทีจากนั้นก็มีสายฟ้าสว่างจ้าที่ผ่าลงมา นี่เป็นครั้งแรกที่มู่อี้ใช้ยันต์สายฟ้าในการต่อสู้หลังจากที่เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ในตอนนี้เสียงระเบิดของยันต์สายฟ้าทําให้ผู้คนที่อยู่รอบๆที่นี่ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

โม่หรูเยียนที่กําลังต่อสู้กับเงาดําตนหนึ่งอยู่ก็รีบถอยกลับไปทันที นางหันหน้าไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก่อนจะหันกลับไปต่อสู้กับเงาดําตรงหน้าของตนเองอีกครั้ง

ส่วนต้าหนิวก็กําลังตามไล่ล่าแฝดผีแห่งเหอเจี้ยนอย่างไม่ลดละ ถ้าหากความเร็วของอีกฝ่ายช้ากว่านี้อีกสักหน่อยน่ากลัวว่าคงถูกต้าหนิวสังหารไปอย่างรวดเร็วแน่นอน

ท่านลุงไฉและผู้คุ้มกันคนอื่นๆก็ไม่ได้อยู่นิ่งเลยตอนนี้ พวกเขากําลังล้อมรอบเงาดํา 3 ตนเอาไว้สภาพของเงาดําทั้ง 3 ตนนั้นดูย่ำแย่อย่างยิ่งแต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันก็มีผู้คุ้มกันหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน

มู่อี้ไม่ได้โจมตีชวี่หยางต่อไปอีกหลังจากที่เขาใช้ยันต์สายฟ้าออกไปแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขามั่นใจในยันต์สายฟ้าของตนเอง แต่เขาก็กําลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้ด้วยเช่นกัน

ร่างที่เรียวงามร่างหนึ่งเข้ามาต่อสู้พัวพันกับมู่อี้และหญิงสาวผู้นี้สวมหน้ากากเอาไว้จนมู่อี้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ แต่มู่อี้ก็จดจําลมหายใจของอีกฝ่ายได้ในตอนนี้

นางคือหนึ่งในผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในรถม้าของพ่อค้าสมุนไพรคนนั้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าหลังจากที่เกิดเรื่องเขาจะไม่เห็นนางอีกเลยแต่อย่างน้อยเขาก็จดจําลมหายใจของนางได้

ทําไมพ่อค้าสมุนไพรคนนั้นถึงกลายเป็นผีดิบเรื่องนี้ไม่จําเป็นต้องอธิบายอีกต่อไป

สิ่งที่ทําให้มู่อี้รู้สึกสับสนขึ้นมาในตอนนี้ก็เพราะว่าสถานะของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขานั้นเป็น เหมือนกับผีดิบก็ไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่เชิง

อย่างน้อยมู่อี้ก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าผีดิบตนไหนจะมีลมหายใจ แต่เมื่อดูจากเล็บและร่างกายของศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติจะมีได้ เว้นแต่ว่านางจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่หลอมรวมไปกับผีดิบจึงจะสามารถอธิบายความเป็นไปได้ทั้ง 2 ข้อนี้

เพราะว่ามู่อี้ไม่รู้ว่าวิธีการสร้างผีดิบขึ้นมานั้นต้องทําเช่นไรบ้าง เขาจึงไม่แน่ใจเรื่องสถานะของอีกฝ่ายในตอนนี้และไม่อาจคาดเดาเพิ่มเติมได้เลย เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไปนั้นจะใกล้เคียงกับความจริงหรือไม่

ศัตรูรวดเร็วมากและรวดเร็วยิ่งกว่าเงาดําที่ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้เสียอีก แม้แต่ยันต์ปราบปีศาจของมู่อี้ก็ไม่อาจสัมผัสร่างกายของนางได้เลย

ในตอนที่เขาพยายามแยกตัวออกมาเพื่อรักษาระยะห่าง ศัตรูก็เข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว

โชคดีที่การที่เขาได้ประลองกับโม่หรูเยียนมาก่อนหน้านี้ทําให้ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นมู่อี้จึงสามารถรับมือกับศัตรูในระยะประชิดได้

แต่เมื่อมู่อี้เห็นสภาพของชวี่หยางในตอนนี้นั้น เขาก็รู้ดีว่าจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะถูกโจมตีจากทั้ง 2 ด้าน

ด้วยเคล็ดวิชาหมัดที่ผสานเข้ากับพลังแห่งจิตใจของเขาศัตรูต้องถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมู่อี้ก็นําตะเกียงทองแดงของตนเองออกมาทันทีและใส่พลังแห่งจิตใจเข้าไป

ตะเกียงทองแดงสว่างขึ้นมาทันทีและหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามและไม่กล้าเข้ามาใกล้มู่ในตอนนี้ แต่นางกําลังเดินอย่างช้าๆอยู่ที่บริเวณปลายขอบของแสงสว่างจากตะเกียงราวกับอสรพิษตัวหนึ่งที่รอเวลาโจมตีอยู่ตลอดเวลา

ในตอนนี้ชวี่หยางก็ยืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและมือขวาของเขาก็ยกขึ้นมาเหนือศีรษะของตนเอง ในตอนนี้มู่อี้ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเขา มันคือกระจกสัมฤทธิ์บานหนึ่งและกระจกสัมฤทธิ์บานนั้นก็กําลังหงายขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อป้องกันอะไรบางอย่างอยู่

” อาวุธวิญญาณ” มู่อี้จ้องมองไปที่กระจกสัมฤทธิ์และพูดออกมาช้าๆ

ตามที่มู่อี้ได้ทราบมาในตอนนี้มันสามารถป้องกันพลังของยันต์สายฟ้าได้และไม่มีความเสียหายใดๆ มีเพียงอาวุธวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถทําแบบนี้ได้และมันต้องเป็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริงแน่นอน ไม่ใช่อาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มอย่างธงราชันย์แห่งวิญญาณ

ต้องรู้ก่อนว่าแม้ว่าอาวุธวิญญาณและอาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มต่างก็เป็นอาวุธวิญญาณเหมือนๆกันแต่พลังของทั้งสองอย่างนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาวุธวิญญาณที่แท้จริงสามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นเจ้าของแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล

ในตอนนั้นมู่อี้ก็สังหารเจียเหรินด้วยตะเกียงทองแดงของเขาไม่ใช่หรือ? แม้แต่ฉือกุยก็ถูกสังหารไปเพราะตะเกียงทองแดงของเขาและชิวเยวี่ยถงก็ต้องพ่ายแพ้ต่อตะเกียงทองแดงด้วยเช่นกัน

แม้แต่ในการต่อสู้กับผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตร ตะเกียงทองแดงก็มีส่วนสําคัญ ถ้าหากว่าเขาไม่มีตะเกียงทองแดงในตอนนั้น มู่อี้คงไม่อาจยกระดับพลังแห่งจิตใจของเขาได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าตะเกียงทองแดงนั้นเป็นอาวุธวิญญาณในระดับใด แต่มู่อี้สามารถใช้พลังของตะเกียงทองแดงได้แค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพียงแค่นั้นมันก็ทําให้พลังของมู่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด..

ในตอนนี้ม่ได้เห็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริงชิ้นที่ 2 ในชีวิตซึ่งนั่นก็คือกระจกสัมฤทธิ์ในมือของชวี่หยางตอนนี้

แต่ไม่นานหลังจากนั้นมู่อี้ก็พบว่ามีรอยร้าวเล็กๆเกิดขึ้นบนกระจกกระจกสัมฤทธิ์ในมือของชวี่หยาง แม้ว่ารอยร้าวนั้นจะเล็กมากแต่ก็เกิดขึ้นบนผิวของกระจกจริงๆ

แต่มู่อี้ก็ไม่คิดว่ารอยร้าวนี้จะเกิดขึ้นเพราะยันต์สายฟ้าของเขา อย่างน้อยที่สุดด้วยพลังของ เขาในตอนนี้เขาไม่อาจทําแบบนั้นได้เลย รอยร้าวที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะมีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่มันก็ทําให้มู่อี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน

เมื่อมันมีรอยร้าวอย่างน้อยก็หมายความว่าอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่ได้คงกระพันค้ำฟ้าและพลังของมันก็ต้องลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้นมู่อี้ก็ไม่กล้าที่จะประมาท

“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินเจ้าต่ำเกินไป” ชวี่หยางพูดกับมู่อี้ทันที แม้ว่า เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆในตอนนี้แต่พลังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ถือว่าน่าสะพรึงกลัวมาก ถ้าหากไม่มีกระจกสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือของเขาหรือว่าเขาตอบสนองได้ช้ากว่านี้ เขาไม่อยากจินตนาการถึงผลที่เกิดขึ้นมาเลย

“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของชวี่ยี่จวงจะมีอาวุธวิญญาณติดตัวอยู่ด้วยเช่นกัน” มู่อี้ก็พูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน

” ทุกๆคนย่อมมีเป็นของตนเอง” ชวี่หยางจ้องมองไปที่ตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของมู่อี้ทันทีและไม่ได้ปิดบังเจตนาบนใบหน้าของเขา

“แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้เจ้าต้องตายแน่นอน” ในตอนที่ชวี่หยางพูดออกมานั้นเขาก็พลิกกระจกสัมฤทธิ์ในมือของตัวเองกลับมาทันที ทันใดนั้นมู่อี้ก็เห็นแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นตรงหน้าของตนเองและเสียงของชวี่หยางก็ดังก้องขึ้นมาในหูของเขาอีกครั้งหนึ่ง

”เป่ยหมิง ฆ่ามันซะ”