“มันรีบเกินไปรึเปล่า ที่เราจะออกเดินทางไปดัชชีอินทรีเงินวันพรุ่งนี้?” วีลาถามแองโกร่า หลังจากที่เธอได้แจ้งผู้ส่งสารมิลเลอร์ว่าพวกเขาจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

ตอนนั้นผู้ส่งสารมีความสุขมากที่ได้ยินคำตอบของแองโกร่า เขาจึงเริ่มเต้นท่าเต้นแปลก ๆ ที่เขาได้เรียนรู้มาจากผู้เล่น มองอีกแง่ ดูเหมือนว่าพลังการเผยแพร่เรื่องงี่เง่าของผู้เล่นนั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ

“เทศกาลหว่านเมล็ดยังอีกนาน จากที่เห็น คาดว่าฤดูหนาวจะดำเนินต่อไปอีกราว ๆ 20-30 วัน…” วีลาสับสน “มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอที่เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ท่านวางแผนที่จะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเพราะคิดถึงครอบครัวงั้นหรือ?”

“ไม่มีทาง ข้าเบื่อหน่ายกับชีวิตที่จำกัดในนั้น ซึ่งไม่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย” แองโกร่ากอดอกและยิ้ม

“ท่านหมายถึงอะไร” วีลาค่อนข้างสับสนในสิ่งที่แองโกร่าพูด “ท่านไม่ใช่ลูกชายของแกรนด์ดยุกหรือ? ทำไมชีวิตท่านถึงถูกจำกัด ไม่ใช่ว่าขุนนางอย่างท่านมักเที่ยวเตร่ไปตามท้องถนน และเล่นหูเล่นตากับสาวใช้ที่ไร้เดียงสาหรือ”

“อะไร นี่เจ้ากำลังหมายถึงลูกชายขุนนางที่เป็นตัวร้ายในนิยายอัศวินพวกนั้นใช่ไหม การที่ข้าถูกจำกัดก็เป็นเพราะว่าตำแหน่งแกรนด์ดยุกถือว่าอยู่ในระดับสูงแม้แต่ในหมู่ขุนนาง เราให้ความสำคัญกับหน้าตาและเกียรติมากกว่าขุนนางชั้นต่ำกว่า พวกเรา 3 คนพี่น้องจึงได้รับการสั่งสอนอย่างเข้มงวดมากกว่าใคร ๆ! เราได้รับการฝึกอบรมมารยาทของชนชั้นสูงอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ยังเด็ก เราต้องทำตัวให้สง่างามอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ครอบครัวเฟาสต์ต้องอับอาย…” แองโกร่าถอนหายใจ “พูดตามตรง มันลำบากมาก ชีวิตของข้าในเมืองเล็ก ๆ นี้มีความสุขและผ่อนคลายที่สุดแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ…” วีลาอดไม่ได้ที่จะมีความสุขจนแสดงออกมาทางสีหน้า “แล้ว ทำไมต้องรีบขนาดนั้นล่ะ”

“เพื่อลดเวลาเตรียมการของศัตรู…ถ้าศัตรูอยู่ที่นั่นล่ะก็นะ”

ปกติแล้ว จะมีคนประเภทหนึ่งที่ชอบบรรยายแผนการของตัวเองให้ศัตรูฟัง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่า หรือไม่ก็เพราะพวกเขาชอบพูดมาก

อย่างเช่น วายร้ายหลายคนในอนิเมะหรือภาพยนตร์ที่มักจะมีนิสัยแบบนี้ พวกเขาจะหยุดการโจมตีลงเมื่อพวกเขาคิดว่าสามารถฆ่าตัวเอกได้ด้วยการเคลื่อนไหวเดียว และเริ่มเล่าแผนการทั้งหมดของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ บางคนถึงกับบอกจุดอ่อนของตัวเองให้กับตัวเอกฟัง แต่สุดท้าย พวกเขาก็จะถูกสังหารโดยตัวเอกในที่สุด

บังเอิญแองโกร่าก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน แต่โชคดีที่เขาไม่มีงานอดิเรกอย่างการเล่าแผนการทั้งหมดให้ศัตรูฟัง เขาเพียงแค่เล่ามันให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจที่สุดเท่านั้น “เมืองนี้เป็นของข้า พวกมันคงรู้ว่ายากที่จะสังหารข้าที่นี่ เพราะผู้เล่นได้กำจัดชุมนุมลับดวงตาที่อยู่ใกล้ ๆ ไปแล้ว แต่เมื่อข้ากลับไปที่ดัชชีอินทรีเงิน การลอบสังหารข้าที่นั่น เห็นได้ชัดว่าง่ายว่าที่เมืองไร้ชื่อแห่งนี้มาก!”

“ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นยิ่งเราออกเดินทางเร็วเท่าไหร่ ศัตรูก็จะมีช่วงเวลาที่ยากขึ้นในการเตรียมการลอบสังหารเรา!” วีลาเข้าใจทันทีว่าแองโกร่าหมายถึงอะไร

การลอบสังหารไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ พวกเขาต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายเพียงพอ ทั้งตารางเวลาของเป้าหมาย เส้นทางที่เลือก และแม้แต่งานอดิเรกส่วนตัวของเป้าหมาย ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้อย่างมาก!

ถ้าแองโกร่ามุ่งหน้าไปยังดัชชีอินทรีเงินก่อนเทศกาลหว่านเมล็ดพันธ์เพียงไม่กี่วัน ศัตรูก็จะมีเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนในการวางแผนลอบสังหาร

บางทีความตายอาจไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในภายหลัง แต่แองโกร่าไม่เคยตายมาก่อน เนื่องจากระบบที่เขามีนั้นไม่เหมือนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วยวิธีเดียวกันหรือไม่

ในกรณีนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือ ไม่ปล่อยให้ศัตรูของเขาได้มีโอกาสเตรียมตัว

“ไม่เพียงแค่นั้น ยิ่งการลอบสังหารมีความเร่งด่วนมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งเปิดเผยเบาะแสของผู้บงการมากขึ้นเท่านั้น หากมีใครที่ต้องการฆ่าข้า ข้าสาบานในนามของเทพเจ้าแห่งเกมเลยว่า ข้าจะต้องลากมันออกมาจากเบื้องหลังให้จงได้!” แองโกร่าตอบอย่างจริงจัง

“แต่…มันจะไม่อันตรายเกินไปรึ ถ้ามีแค่พวกเราสองคน” วีลาค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในฐานะ NPC ของแองโกร่า วีลาให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเขามากกว่าการทำเควสและลงดันเจี้ยน ทำให้เธอยังอยู่ที่เลเวล 14 และเหลืออีก 15% ก่อนที่เธอจะสามารถเปลี่ยนคลาสได้

“แน่นอนว่าไม่ใช่ เราจะรับสมัครผู้เล่นมาเป็นคนคุ้มกันของเรา!”

แองโกร่ายิ้มราวกับว่าเขามีทุกอย่างอยู่กำมือแล้ว “ไม่ต้องกังวล ด้วยชื่อเสียงและเสน่ห์ของข้า ข้าสามารถรับสมัครปาร์ตี้ผู้เล่น 30 คนได้สบาย ๆ!”

[จำนวนผู้เล่นที่ยอมรับเควสคุ้มกัน: 0]

แองโกร่ามองไปที่หน้าต่างระบบตรงหน้าเขา และจำนวนตัวเลขที่ว่างเปล่า มือของเขาสั่นเบา ๆ “ทำไม!”

“ก็เพราะผู้เล่นทุกคนที่ชอบการผจญภัย ได้ออกไปสำรวจพื้นที่รอบเมืองแล้วไง” เอ็ดเวิร์ดที่บังเอิญมาส่งเควสพูดทำลายความหวังของแองโกร่าทันที “ตอนนี้ผู้เล่นทุกคนที่ยังอยู่ในเมือง ล้วนแต่ต้องการมีชีวิตที่มั่นคง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนเควสนี้ซึ่งกินเวลานานเกือบ 10 วัน”

“แล้วมาร์นี่ล่ะ เขาจะรับเควสไหม?”

“เขาถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตในงานเลี้ยงที่แลงแคสเตอร์ ตอนนี้เขายังบ่นเกี่ยวกับแผนสกปรกของคู่แข่งขณะรอเวลาฟื้นคืนชีพอยู่เลย”

“ถ้างั้น เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจในแลงคาสเตอร์ได้อีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ เขาจะกลับไปที่นั่นในอีก 3 วันต่อมา และบอกคนอื่น ๆ ว่าคนที่เสียชีวิตเป็นตัวตายตัวแทนของเขา หรืออะไรทำนองนั้น และยังคงทำธุรกิจต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง จนผู้คนในแลงแคสเตอร์เริ่มเรียกเขาว่า ‘วิลฟ์ผู้ไม่มีที่สิ้นสุด’…”

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่ใช่ปีศาจบ้าเควสเหรอ!” แองโกร่าถามขณะที่เขาชี้ไปที่เอ็ดเวิร์ด “ทำไมเจ้าถึงไม่รับเควสหายากแบบนี้ล่ะ”

“นั่นเป็นเพราะเอลีน่าไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับขุนนาง ดังนั้นปาร์ตี้ของเราเลยไม่รับเควสนี้” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่ สีหน้าของเขาอ่านได้ว่า ‘ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน’

“เอลีน่า…โอ้นั่น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปาร์ตี้ของท่านสินะ” เขาเคยได้ยินเรื่องความแข็งแกร่งของเอลีน่าจากวีลา เขาจึงลูบคางอย่างครุ่นคิด “ในอดีตเธอเคยถูกรังแกโดยขุนนางรึเปล่า”

“ไม่ เป็นเพราะแม่เธอเป็นขุนนาง พ่อของเธอเลยสอนมารยาทของชนชั้นสูงให้เธอมาตั้งแต่ยังเล็ก และนั่นทำให้เธอมีบาดแผลในใจ ตอนนี้เธอเลยไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับขุนนาง” เอ็ดเวิร์ดตอบขณะที่เขาเคี้ยวขนมปังแข็ง ๆ 2-3 ก้อน ก่อนที่เขาจะจากไป “ลาก่อน ข้ามีเควสอื่นที่ต้องไปทำ…”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” แองโกร่าแตะคางขณะที่เขาจ้องไปที่เอ็ดเวิร์ด ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกนิด ๆ

“มะ มีอะไร”

“ถ้าข้าสามารถเกลี้ยกล่อมเอลีน่าได้ ปาร์ตี้ของเจ้าจะมาช่วยข้าไหม” แองโกร่าถาม

เอ็ดเวิร์ดคิดอยู่พักหนึ่งและรู้สึกว่า ถ้าแองโกร่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้เอลีน่าได้จริง ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลอร์ด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า

“ตกลง!”