ตอนที่ 89-1 วัดฝีมือ มาเยือนถึงบ้าน
จีหมิงซิวผ่านค่ำคืนอันยากจะพรรณนามาจนได้

จีหมิงซิวรู้สึกดั่งปลดภาระหนักอึ้งลง กลับไปถึงห้องนอนก็เตรียมตัวนอนหลับชดเชยสักหน่อย แต่ทันใดนั้นหมิงอันก็เคาะประตู “นายท่าน ท่านตื่นแล้วหรือยังขอรับ เจ้าเมืองมาขอพบ!”

เช้าตรู่ เจ้าเมืองยังไม่ทันเข้างานก็มาขอพบถึงบ้าน…

จีหมิงซิวลุกขึ้นนั่งอย่างเฉยชา “ให้เขาไปรอที่ห้องหนังสือ”

“ขอรับ!”

หมิงอันเชิญเจ้าเมืองเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเรียกลี่ว์จูให้ชงชา เจ้าเมืองมิกล้าดื่มแล้วก็มิกล้านั่ง เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม รอคอยอย่างร้อนรน รอได้หนึ่งเค่อ ในที่สุดจีหมิงซิวก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยออกมาปรากฏตัวที่ประตู

เขารีบก้าวเข้าไปคำนับอย่างอกสั่นขวัญผวา “ใต้เท้า ผู้น้อยมีเรื่องรายงาน!”

“ว่ามา”

ใบหน้าของเจ้าเมืองปรากฏสีหน้าลังเลครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ทำใจกล้าประสานมือเอ่ยว่า “เช้าตรู่วันนี้ ยิ่นอ๋องส่งคนมายังศาลาว่าการ รับคุณหนูเฉียวไปแล้ว! บอกว่า…ยินดีรับประกันให้คุณหนูเฉียว ให้เว้นโทษแก่นาง! ผู้น้อย …ผู้น้อยมิกล้าแข็งขืนกับพวกเขาจึงต้องปล่อยคุณหนูเฉียวออกจากคุกอย่างเชื่อฟัง เมื่อพวกเขาไปแล้ว ผู้น้อยจึงรีบมาแจ้งข่าวกับท่าน!”

พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือเจ้าเมืองมิใช่ขุนนางฝ่ายจีหมิงซิว เขาทำตัวเหมือนโคลนเลว ซ้ายได้ขวาดี เข้าได้กับอำนาจทุกฝ่ายมาตลอด ดังนั้นเมื่อยิ่นอ๋องมาขอคน เขาจึงปล่อยไปอย่างฉับไว แต่หลังจากปล่อยเสร็จก็ยังรู้ว่าต้องมาแจ้งข่าวกับอัครมหาเสนาบดี

จีหมิงซิวกวาดตามองเขาอย่างเฉยชา ทว่าสายตานี้กลับมองทะลุความคิดน้อยๆ ของเขาหมดสิ้น มุมปากยกขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าเมืองใส่ใจแล้ว”

เจ้าเมืองเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ทำงานให้ใต้เท้าเป็นหน้าที่ของผู้น้อย”

จีหมิงซิวคร้านจะรับมือกับความไม่จริงใจของเขาต่อ “ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”

“ขอรับ” เจ้าเมืองถอยออกไปอย่างนอบน้อม

หมิงอันย่นจมูกก่นด่า “สารเลวยิ่นอ๋อง! มาทำลายเรื่องดีงามของพวกเราอีกแล้ว! คราวนี้ทำอย่างไรดีเล่า คนออกมาจากคุกแล้ว คงไม่ตกลงถอนหมั้นแน่แล้ว!” หมิงอันชะงักเล็กน้อยแล้วพึมพำเสียงเบา “ท่านทำนายไม่แม่น”

จีหมิงซิวเอ่ยเรียบเฉย “พนันกันไหม”

“ไม่เอาด้วยหรอก!” หมิงอันปฏิเสธอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ปีกลายพนันกับนายท่านเสียไปตั้งสิบตำลึงเงิน ตอนนี้เขายังปวดใจอยู่เลย “ท่านคิดว่ายิ่นอ๋องสมองมีปัญหาหรือไม่ เขาเกลียดตระกูลเฉียวมิใช่หรือ เหตุใดจึงช่วยตระกูลเฉียวเล่า”

ยิ่นอ๋องเกลียดตระกูลเฉียวก็จริง แต่ยิ่นอ๋องก็เกลียดเขาด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเป็นคลื่นใต้น้ำที่โถมใส่กันมาตลอด เรื่องนั้นเมื่อห้าปีก่อนทำให้ทั้งสองคนมีข้ออ้างเหมาะสมที่จะยกความขัดแย้งทุกอย่างมาไว้เบื้องหน้า ความจริงแล้วไม่ว่าคุณหนูใหญ่เฉียวจะปีนเตียงของยิ่นอ๋องหรือไม่ เขากับยิ่นอ๋องก็ยังต้องเดินตรงข้ามกันอยู่ดี เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น

“นายท่าน เขารู้หรือไม่ว่าพวกเราซ่อนนายท่านหกเอาไว้” หมิงอันเอ่ยถาม

จีหมิงซิวขานตอบเรียบๆ คำหนึ่ง

หมิงอันเข้าใจโดยพลัน “มิน่าเขาจึงรีบเร่งสร้างปัญหาให้พวกเรา ที่แท้ก็อารมณ์ไม่ดีนี่เอง!”

จีหมิงซิวยิ้มหยัน คุณหนูใหญ่เฉียวก็ดี นายท่านหกก็ดี ล้วนเป็นเพียงชนวนเส้นหนึ่งเท่านั้น ต้นเหตุที่เขากับยิ่นอ๋องยืนอยู่ตรงข้ามกันตั้งแต่เริ่มแรกก็ไม่ได้เป็นเพราะคนเหล่านี้ แต่หากคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำลายเรื่องดีงามของเขาได้ ถ้าเช่นนั้นหลี่ยิ่นก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว

เฉียวอวี้ซีถูกขังอยู่ในคุกสิบกว่าวัน จนร่างกายจะขึ้นราอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง

พอออกจากจวนเจ้าเมือง เห็นแสงตะวันแสบตาด้านนอก เฉียวอวี้ซีพลันน้ำตาไหลพรากอย่างตื้นตันใจ “ท่านแม่!”

สวีซื่อตบบนหลังมือของบุตรสาวอย่างดีอกดีใจ “แม่รู้ว่าเจ้าลำบากแล้ว แต่ความลำบากทั้งหมดของเจ้าล้วนคุ้มค่า หากมิใช่ว่าเจ้าอดทน มารดาก็คงถอนหมั้นเพื่อแลกให้เจ้าออกจากคุกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

“ท่านแม่…” เฉียวอวี้ซีกุมมือสวีซื่อเอาไว้ “ท่านไม่ได้ถอนหมั้นจริงหรือ ข้ายังเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีได้อีกจริงหรือ”

สวีซื่อยิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด “แน่นอนสิ! เจ้าออกจากคุกแล้ว ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดียังจะเอาสิ่งใดมาข่มขู่ตระกูลเฉียวให้ถอนหมั้นอีกเล่า”

ได้แต่งกับอัครมหาเสนาบดีก็พอ ความลำบากหลายวันนี้ของนางจะได้ไม่เสียเปล่า!

เฉียวอวี้ซีเห็นขนมเปี๊ยะปูบนโต๊ะก็ใช้มือสกปรกคว้ามากินอย่างตะกรุมตะกราม

“โธ่ เจ้ากินช้าหน่อย ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้าหรอก…มา ดื่มน้ำสักคำ…”

สองแม่ลูกพูดคุยกัน นั่งรถโคลงเคลงกลับมาถึงบ้านตระกูลเฉียว

หลินมามาเชิญนักพรตมารอทำพิธีที่บ้านเพื่อขับไล่ความโชคร้ายที่ติดมาจากคุกให้เฉียวอวี้ซีอยู่ก่อนแล้ว นักพรตให้เฉียวอวี้ซีเดินข้ามกระถางไฟ เผาเงินกระดาษ กราบไหว้ฟ้าดินและบรรพบุรุษ แล้วยังพรมน้ำมนตร์ของเจ้าแม่กวนอิมรดศีรษะของนาง ขั้นตอนวุ่นวายนัก จนกระทั่งม่านราตรีมาเยือน

ตอนที่เฉียวอวี้ซีได้นั่งทานอาหารรสโอชาด้วยกันกับครอบครัวอย่างสบายใจในที่สุดนั่นเอง หลินมามาก็เดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าร้อนรน “แย่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน! นายท่านเกิดเรื่องแล้ว!”

ในพระราชวังเกิดคดีร้ายแรงขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่นานอิงกุ้ยเหรินผู้เพิ่งจะตั้งครรภ์แท้งลูกอย่างไร้สาเหตุ นับตั้งแต่อิงกุ้ยเหรินเข้าวังมาก็เป็นที่โปรดรานของฮ่องเต้ กล่าวว่าเป็นหนึ่งในวังหลังก็ไม่เกินไป นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ไม่ว่าอิงกุ้ยเหรินหรือฮ่องเต้ล้วนใส่ใจอย่างยิ่ง หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฮ่องเต้จึงสั่งให้คนตรวจสอบเงื่อนงำที่มีอยู่ทุกสิ่งโดยทันที สุดท้ายก็พบสิ่งผิดปกติในยาบำรุงครรภ์ของอิงกุ้ยเหริน

“ฟู่จื่อ!” หัวหน้าสำนักหมอหลวงเอ่ยรายงาน

หัวหน้าขันทีถามย้ำ “ท่านหัวหน้าสำนักมั่นใจว่าเป็นฟู่จื่อหรือ”

หัวหน้าสำนักหมอหลวงพยักหน้า “ข้ามั่นใจ”

ฟู่จื่อ มีอีกชื่อหนึ่งว่าอูโถว รสชาติเผ็ดร้อน เมื่อเข้าสู่หัวใจ ม้าม ไต ช่วยฟื้นหยางรักษาโรค บำรุงธาตุไฟเสริมพลังหยาง ขับไล่ความเย็นความชื้น แต่เพราะมันรสเผ็ดร้อนรุนแรงจึงมีความเป็นพิษอยู่ประมาณหนึ่ง นับเป็นยาต้องห้ามของผู้ที่หยินพร่องหยางล้นกับสตรีที่ตั้งครรภ์

หัวหน้าขันทีเอ่ยว่า “ครรภ์ของอิงกุ้ยเหรินผู้ใดเป็นผู้ดูแล”

หัวหน้าสำนักหมอหลวงกล่าวว่า “รองหัวหน้าสำนักเฉียว”

รองหัวหน้าสำนักเป็นตำแหน่งที่เป็นรองเพียงหัวหน้าสำนักหมอหลวงเท่านั้น ฮ่องเต้ส่งเขาไปดูแลอาการของกุ้ยเหรินผู้หนึ่ง ก็เพียงพอเห็นความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีแต่อิงกุ้ยเหรินแล้ว

“สมุนไพรกับเทียบยายามปกติล้วนเป็นรองหัวหน้าสำนักเฉียวรับผิดชอบทั้งหมดหรือไม่” หัวหน้าขันทีถามต่อ

หัวหน้าสำนักหมอหลวงตอบว่า “ใช่แล้ว รองหัวหน้าสำนักเฉียวใส่ใจครรภ์ของอิงกุ้ยเหรินยิ่งนัก เทียบยา สมุนไพร เขาล้วนต้องตรวจสอบเองทั้งสิ้น จึงจะส่งมายังตำหนักฉยงหวา”

หากเป็นเช่นนี้ ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งก็คงเป็นรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวแล้ว

คืนนั้นเฉียวปั๋วถูกขังอยู่ในศาลต้าหลี่ สิ่งที่ควรกล่าวสักหน่อยก็คือตุลาการศาลต้าหลี่ที่เดินทางมาจับตัวเฉียวปั๋วมิใช่ผู้อื่น แต่เป็นหลินซูเยี่ยนสามีของจีหว่าน

“นายท่าน! นายท่าน!” สวีซื่อเดินทางมายังศาลต้าหลี่กลางดึก ศาลาต้าหลี่เข้มงวดกว่าจวนเจ้าเมืองมากนัก นางเสียเวลาเจรจาเนิ่นนานแล้วยังต้องถูกตรวจและลงทะเบียนกว่าจะถูกปล่อยเข้ามาในที่สุด “นายท่าน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ดีๆ เหตุใดท่านจึงถูกจับเข้าคุกได้ล่า”

เฉียวปั๋วยืนอยู่ท่ามกลางห้องขังสกปรก สีหน้าสับสนและเคร่งเครียด “ข้าก็ไม่รู้ชัดเหมือนกัน”

สวีซื่อเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านไม่ได้ทำร้ายครรภ์ของอิงกุ้ยเหรินจริงๆ ใช่หรือไม่”

เฉียวปั๋วคิ้วตั้งตวัดมองอย่างเย็นชา “ไม่ใช่แน่อยู่แล้ว! ข้าจดจำคำสอนของบรรพบุรุษอยู่ตลอดเวลา เป็นหมอรักษาคน ฝีมือยอดเยี่ยมแล้วต้องมีใจเมตตา จะสนใจความละโมบของตัวเองจนลืมเลือนดูแลชีวิตมิได้เป็นอันขาด แล้วข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”

สวีซื่อยิ่งร้อนรนแล้ว “ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันเล่า”

เฉียวปั๋วถอนหายใจ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อศาลต้าหลี่รับคดีนี้มาแล้วก็คงจะตรวจสอบจนความจริงกระจ่างทวงความยุติธรรมให้ข้า”

“หาก…หากตรวจไม่พบความจริงเล่า”

นี่มิใช่คดีธรรมดา แต่เป็น ‘คดีวางแผนฆาตกรรม’ ในพระราชวัง ผู้ที่ถูกสังหารคือว่าที่องค์ชาย ต้องเป็นคนร้ายกาจมากเท่าใดจึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้

แม้นางไม่เคยเข้าวัง แต่เล่ห์กลกินคนเหล่านั้นในวัง นางก็เคยได้ยินจากปากสตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นมาเป็นระยะ

เมื่อตอนนั้นยามอดีตฮองเฮาตั้งพระครรภ์ก็ถูกคนทำร้ายจนเกือบตายท้องกลม

เวลานั้นสามียังเบียดเข้ามาในสำนักหมอหลวงมิได้ พี่ใหญ่เฉียวเจิ้งครองตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง น่าเสียดายพี่ใหญ่ไม่อาจรักษาฮองเฮาได้ ต้องให้เสิ่นซื่อลงมือจึงรักษาแม่กับลูกให้ปลอดภัยสำเร็จ

แต่ถึงกระนั้นอดีตฮองเฮาก็ยังบาดเจ็บถึงฐานรากของร่างกาย อาการปรากฏเด่นชัดขึ้นทุกวัน ไม่กี่ปีก็ทิ้งองค์รัชทายาทจากโลกนี้ไป

สภาพขององค์รัชทายาทเองก็ไม่ดีนัก จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นตัวขี้โรคอยู่

คนร้ายที่ทำร้ายอดีตฮองเฮากับรัชทายาทไม่เคยหาตัวพบ ว่ากันว่าต่อมาเพื่อทำให้จบเรื่องจึงผลักขุนนางสองสามคนออกไปรับผิดแทน แต่คนในวังไหนเลยจะกล้าวางแผนทำร้ายฮองเฮาของแว่นแคว้น คนมีตาล้วนรู้ดีว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน แต่ไม่มีหนทางตรวจสอบได้มากกว่า

สวีซื่อกังวลว่าสามีจะเดินซ้ำรอยคดีอดีตฮองเฮาเมื่อตอนนั้น กลายเป็นแพะรับบาปแทนผู้อื่น จนตายก็หนีความผิดไม่พ้น

สวีซื่อนั่งบนเตียงไม้กระดาน หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาร่ำไห้ “ปีนี้บ้านเราไปล่วงเกินเทพเซียนท่านใดหรือไร เดินเข้าคุกตามกันไปทีละคน กว่าซีเอ๋อร์จะออกมาได้ ท่านก็ดันเข้าไปแทนอีก!”

ได้ยินว่าบุตรสาวออกมาได้แล้ว จะมากจะน้อยเฉียวปั๋วก็โล่งใจเปลาะหนึ่ง แล้วถามแผ่วเบา “ถอนหมั้นเรียบร้อยหรือไม่”

สวีซื่อหยุดร่ำไห้ “ไม่ได้ถอน”

เฉียวปั๋วตกตะลึง “ไม่ได้ถอนหรือ”

สวีซื่อเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วมองเขา “ข้าไม่ได้ไปถอนหมั้นที่จวนอัครมหาเสนาบดี ซีเอ๋อร์ของพวกเรายังมีโอกาสแต่งงานกับท่านอัครมหาเสนาบดีอยู่!” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย “จริงสิ รอซีเอ๋อร์เป็นฮูหยินของจวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว ย่อมช่วยล้างข้อกล่าวหาให้ท่านได้! ท่านต้องขอบคุณข้าจริงๆ ข้าลังเลอยู่ทั้งคืน หากข้าถอนหมั้นตามที่ท่านว่าไปก่อน ท่านอยู่ในคุกยังหวังให้ผู้ใดช่วยท่านออกไปได้อีกเล่า”

เฉียวปั๋วขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้ถอนหมั้น แล้วซีเอ๋อร์ออกมาจากคุกได้อย่างไร”

“ยิ่นอ๋องไปจัดการธุระที่จวนเจ้าเมืองแล้วบังเอิญได้ยินเรื่องของซีเอ๋อร์เข้า รู้สึกว่าซีเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เยาว์วัยจึงขลาดเขลา ขังไว้เท่านี้ก็เพียงพอแล้วจึงให้เจ้าเมืองปล่อยซีเอ๋อร์ออกมา” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ความโศกเศร้าเสียใจของสวีซื่อก็ถูกเยียวยาลงไปบ้าง นางฉลาดนักเชียว ขนาดไม่ได้ตั้งใจยังเหลือทางรอดไว้ให้สามีเส้นหนึ่ง นางยิ้มอย่างลำพอง “เป็นอย่างไร ข้าฉลาดใช่หรือไม่”

เฉียวปั๋วฟังถึงตรงนี้ หากยังเดาไม่ออกอีกว่าเหตุใดตนต้องเข้ามาอยู่ในคุกก็ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว เขาก็ว่าแล้ว เขาอยู่ที่สำนักหมอหลวงทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยทำร้ายผู้ใด ทำงานก็รอบคอบเหมาะสม ไม่มีทางมีใครคิดทำร้ายเขาจึงจะถูก ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าปมอยู่ที่ใดแล้ว

เขาชี้หน้าสวีซื่อ ต่อว่าอย่างเจ็บแค้น “เจ้า นางเมียโง่คนนี้! เจ้าฆ่าข้าแล้ว!”

พักนี้เฉียวเวยยุ่งอยู่กับกิจการของหรงจี้ อยู่ที่หมู่บ้านน้อยนัก เวลาที่อยู่เป็นเพื่อนลูกก็น้อยด้วย วันนี้จึงนางตั้งใจทิ้งเรื่องทางนั้น อยู่บ้านจัดการงานในไร่และอยู่เป็นเพื่อนลูก แน่นอนว่านางไม่มีทางยอมรับว่านางกลัวเถ้าแก่หรงค้นพบว่าตนฉกสุราลายบุปผาของเขามา…

งานก่อสร้างดำเนินไปเร็วกว่าที่คิดว่า น่าจะเป็นเพราะอาหารของนางอร่อยเกินไปกระมัง

โครงสร้างเสร็จแล้ว บ้านหลังใหญ่นัก นายช่างทั้งหลายกำลังก่ออิฐแต่ละชั้นๆ บนนั้น มองดูแล้วรู้สึกถึงความสำเร็จยิ่งนัก

มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อกับป้าจ้าวถูกเชิญมาทำอาหารให้บรรดานายช่างโดยเฉพาะ ฝีมือของทั้งสองเรียกไม่ได้ว่ายอดเยี่ยมนัก แต่ต้านทานความใจป้ำยอมซื้อเนื้อของเฉียวเวยไม่ได้ บางครั้งนางยังล่ากระต่ายป่าไก่ป่าจำนวนหนึ่งมาอีกด้วย เนื้อหมู่สามชั้น เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อกระต่าย…อาหารแต่ละมื้อกลิ่นเนื้อหอมฉุย ทุกคนกินกันอย่างเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก

“เสี่ยวเฉียว” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มแย้มเดินเข้ามา ในมือถือใบตองใบใหญ่ใบหนึ่ง เดินแล้วก็โบกพัดไปพลาง “พักนี้ยุ่งอันใดอยู่หรือ ไม่เห็นเจ้าเลย“

เฉียวเวยหันกลับไปยิ้มละไม “หัวหน้าหมู่บ้าน หลายวันนี้การค้าในเมืองยุ่งเล็กน้อยจึงกลับมาดึกมาก ท่านมาหาข้ามีธุระหรือ”

ไม่มีธุระก็คงไม่ปีนภูเขาขึ้นมาในวันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้

หัวหน้าหมู่บ้านเหงื่อท่วมตัว ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอยู่เล็กน้อย เขาหัวเราะทั้งที่ยังหอบหายใจ “ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้าสิ ได้ยินว่ากิจการของเจ้าเป็นไปไม่เลว ประเดี๋ยวก็จะร่ำรวยแล้ว!”

“ใช่เสียที่ไหนเล่า แค่การค้าเล็กน้อยพอเลี้ยงปากท้องครอบครัวเท่านั้น ได้เงินไม่มากมายอันใดหรอก” เฉียวเวยเอ่ยอย่างเกรงใจ

“โถ เจ้าอย่าพูดจาเกรงอกเกรงใจกับข้าเลย ข้าเคยไปร้านขายกุ้งของพวกเจ้าแล้ว กิจการรุ่งเรืองจนคนแทบล้น นี่เรียกว่าได้เงินเล็กน้อยหรือไร” หัวหน้าหมู่บ้านเบิกตาจ้องนาง

ไม่โอ้อวดชื่อเสียง ไม่แพร่งพรายทรัพย์สมบัติ เฉียวเวยรู้หลักการข้อนี้ดีจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเป็นคนงานคนหนึ่ง เงินที่ได้ล้วนเข้ากระเป๋าเถ้าแก่ ข้าจะได้อันใดเล่า”

หัวหน้าหมู่บ้านย่อมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนงานคนหนึ่ง ไม่มีทางคิดว่าอีกฝ่ายกลายเป็นเถ้าแก่รองของหรงจี้แล้ว เพียงแต่ว่ากิจการนั่นขายดีเกินไปแล้วจริงๆ หัวหน้าหมู่บ้านจึงคิดว่าเงินเดือนอะไรต้องมากกว่าทำนาเป็นแน่ “เดือนหนึ่งๆ เจ้าได้เงินไม่น้อยสินะ”

เฉียวเวยตอบว่า “ดูท่านพูดเข้า จะเป็นไปได้เช่นไรเล่า หากเงินมากเช่นนั้นจริง ข้าก็ไม่ต้องทำไร่ทำนาแล้วไหม”

“เจ้าไม่ได้ทำการค้าด้วยหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านถาม

เฉียวเวยยิ้ม “ท่านหมายถึงขนมน่ะหรือ เงินที่ได้มานั่นล้วนเอาไปสร้างบ้านหมดแล้ว”

“ข้าไม่ได้มายืมเงินเจ้าเสียหน่อย เหตุใดต้องระแวงข้าเสียหนักหนาเช่นนี้เล่า” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยเย้า

เฉียวเวยหัวเราะอย่างกระดากอายเล็กน้อย “ไม่ได้ระแวงท่านเสียหน่อย ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ข้าระแวงผู้ใดก็ไม่มีทางระแวงท่านหรอก ไม่มีท่าน ข้าจะซื้อที่ดินผืนนี้ สร้างบ้านหลังนี้ได้หรือ”

นางเชี่ยวชาญการพูดคุยตามสถานการณ์ยิ่งนัก หลับตาก็พล่ามได้จนชั่วฟ้าดินสลาย มีแต่อยู่ต่อหน้าหมิงซิวเท่านั้นที่ลิ้นติดขัดไปหมด

หัวหน้าหมู่บ้านคลี่ยิ้ม “เจ้ารู้ก็ดี ตอนแรกที่เจ้ามาถึงหมู่บ้านของพวกเรา ตอนแรกข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้เจ้าอยู่ เจ้าพาเด็กมาสองคน ทั้งตัวสภาพอเนจอนาถ ถามอันใดเจ้า เจ้าก็ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าทำความผิดอันใดมาจากที่อื่นหรือไม่ ต่อมาเห็นว่าเจ้าน่าสงสารนักจึงยอมให้เจ้าอาศัยอยู่ บ้านดินบนเขาของเจ้า ก็เป็นข้าที่สร้างเอาไว้ตอนหนุ่มๆ ข้าสร้างไว้ให้พวกที่เฝ้าภูเขา แต่เฝ้าอยู่หลายปีดีดัก ทุกคนก็คร้านจะเฝ้าแล้วจึงปล่อยว่างไว้”

เฉียวเวยยิ้มแห้ง “ท่านเป็นบิดามารดาคนที่สองของข้าโดยแท้”

ที่แท้ต้องการอันใดกันแน่หืม นางเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว

“วันนี้ข้ามาหาเจ้า เพราะความจริงมีสองเรื่องต้องการขอคำแนะนำจากเจ้า” หัวหน้าหมู่บ้านในที่สุดก็ตัดเข้าประเด็นหลัก

เฉียวเวยถามว่า “เรื่องใดหรือ ท่านพูดมาเถิด คำแนะนำอันใดกัน เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ข้าเป็นหญิง อายุน้อยด้อยความรู้ รับถ้อยคำยกย่องเช่นนี้ของท่านไม่ไหวหรอก”

หัวหน้าหมู่บ้านถูกหยอกจนหัวเราะ “ปากเจ้านี่นะ มิน่าถึงค้าขายดีปานนั้น! ผู้ใดฟังเจ้าพูดต่างอารมณ์ดี!” เขาเว้นวรรคครู่หนึ่งก็หุบยิ้มลงเล็กน้อย “เรื่องแรกน่ะ คือเรื่องที่ดินร้างทางตะวันออกของหมู่บ้านผืนนั้นของเจ้า”

“ที่ดินร้างเป็นอันใดหรือ คงไม่ใช่ว่าท่านเห็นข้าเพาะปลูกได้งาม จึงคิดกลับคำจะเก็บค่าเช่ากับข้าหรอกนะ ข้าเพิ่งเริ่มปลูกเอง! ผู้ใดจะรู้ว่าผลผลิตจะดีหรือไม่” แม่นางเฉียวผู้บ้าเงินโรคคลั่งเงินกำเริบอีกแล้ว ตอนแรกที่ยกที่ดินร้างให้นางบุกเบิก หัวหน้าหมู่บ้านสัญญาว่าจะไม่เก็บค่าเช่าไม่เก็บภาษี ต้าเหลียงให้ความสำคัญกับชาวนากดดันพ่อค้า ลงทุนกับด้านการเพาะปลูกมากยิ่ง บุกเบิกพื้นที่ร้างไม่เพียงไม่เก็บค่าเช่าไม่เก็บภาษีสามปี หากปลูกได้ดีอาจจะยังได้รางวัลจากทางการอีกด้วย

หัวหน้าหมู่บ้านเห็นนางร้อนใจจนจะร้องไห้แล้วก็หัวเราะออกมา ทั้งฉิวทั้งขัน “หัวหน้าหมู่บ้านอย่างข้าเหมือนคนพูดจากลับกลอกพรรค์นั้นหรือ ข้าเห็นว่าเจ้าเพาะปลูกบนที่ร้างจนมีต้นอ่อนขึ้นมาแล้วจริง จึงอยากถามว่าเจ้าเพาะปลูกอย่างไร”

เรื่องนี้เอง ไม่รีบพูดเล่า ทำนางตกใจแทบตาย คิดว่าจะให้นางจ่ายค่าเช่าจ่ายภาษีเสียอีก นางเริ่มปวดใจแล้วเนี่ย