“ฮ่าฮ่า ๆ ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นเอ้ย พวกแกทำให้ฉันขำแทบตายเลย”

ในขณะที่ได้ตั้งแคมป์ใกล้กับทางเข้าของดันเจี้ยนเทเลอร์ได้หัวเราะออกมาจนหมดแรงเมื่อพวกนักข่าวได้สัมภาษณ์เธอ

ลอสเดย์ได้พยายามเป็นอย่างมากในการที่จะตีความดันเจี้ยนนี้ดังนั้นเมื่อพวกเขาล้มเหลวกระแสตอบรับของพวกนักข่าวเลยเป็นดังตอนนี้

เทเลอร์ไม่พลาดโอกาสในการตะโกนออกไปว่า “แกมันโง่ แกควรที่จะบริหารจัดการให้มันดีกว่านี้สิ!”

แต่โชคร้ายที่คำพูดส่วนมากของเธอถูกกรองทิ้งไปโดยนักข่าว

ผู้ทำการสัมภาษณ์มักถูกวิพากษ์วิจารณ์สำหรับการรายงานบทวิจารณ์ที่เกินจริงไปอยู่แล้วทำให้ในตอนนี้พวกเขาพยายามที่จะทำให้การรายงานของพวกเขามันเล็กลง!

แม้กระทั้งยูซอดัมก็ยังพูดไม่ออกเช่นกัน

ทหารเหล่านี้ได้พยายามที่จะเข้าควบคุมสถานการณ์กับนักข่าวพวกนี้แต่พวกเขาก็ยังคงเข้ามาได้โดยอาศัยพวกโดรนอยู่ดี

ในทางกลับกันลอสเดย์ยังคงเงียบสนิทอยู่

ไม่มีอะไรดีเลยที่จะไปพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้

เทเลอร์นั้นกำลังหัวเราะไปที่พวกเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแต่แล้วเธอก็หันหน้ากลับไปมองที่ซอดัมอย่างในทันที คนที่แสดงสีหน้าที่จริงจังบนใบหน้าของเขา

คิ้วของเขาได้ย่นเข้าหากัน

‘ไอ้เจ้าคนผิดปกตินี้ นายยังมีความรู้สึกที่ติดค้างกับลอสเดย์อยู่อีกหรือไง?’

ตั้งแต่ที่ลอสเดย์ได้ก็ก่อตั้งขึ้นซอดัมก็ได้อยู่ที่นั้นนานถึง 12 ปี

ในตอนแรกเริ่มเดิมทีเขาอยู่ด้วยเหตุผลเพียงเหตุผลเดียวหรือไม่ก็เหตุผลใดเหตุผลหนึ่งแต่ในตอนหลังนั้น…

‘เฮลเกตกลายเป็นเหตุผลหลักของเขา’

เฮลเกต

หลุมแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นที่ใจกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกในวันหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ระบุไม่ได้ที่สิ่งต่าง ๆ ที่ขัดกับหลักสามัญสำนึกได้ปรากฏออกมา

ทำไมมันถึงปรากฏออกมา,มีอะไรอยู่ภายใน,หรือไม่ก็มันคงสภาพไว้ได้อย่างไร,มนุษยชาติไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน

ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังมีฮันเตอร์ที่ได้ท้าทายมันอย่างต่อเนื่องด้วยความหวังที่ว่าจะพิชิตมันได้

ยูซอดัมก็เป็นหนึ่งในฮันเตอร์ที่เคยได้ท้าทายมันเช่นกัน

มีคนพูดกันว่าฮันเตอร์ส่วนใหญ่ได้ตายลงที่นั้น ยังเป็นการพูดที่ดูเข้าข้างตัวเองเกินไปเลย

เพราะว่าอัตราการรอดชีวิตคือ 0.3%

และส่วนมากของคนเหล่านั้นที่รอดชีวิตกลับมาได้ไม่สามารถที่จะคงสภาพจิตใจของพวกเขาไว้ได้ หรือไม่ก็กลายเป็นคนพิกลพิการที่ทำให้มันยากที่จะใช้ชีวิตอยู่แบบคนปกติได้ไม่ใช่แค่การเป็นฮันเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่เป็นทั้งชีวิตของเขาเลยหละ

ถึงแม้ว่าความรู้สึกที่ฮันเตอร์เหล่านั้นได้รับขณะที่อยู่ด้านในจะได้รับแตกต่างกันไปก็ตามแต่มีหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดรู้สึกเหมือนกันคือ ‘ความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด’

มันมีกรณีที่มีชื่อเสียงของฮันเตอร์แรงค์ S ที่รอดชีวิตออกมาจากเฮลเกตได้แต่เมื่อเขาได้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมปกติเขาได้ฉี่ลาดกางเกงของเขาเองเมื่อเขาได้เห็นมอนสเตอร์แรงค์ F เขาทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีวันที่จะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ได้อีกต่อไป

‘ฉันไม่รู้เลยว่าอะไรที่นายเห็นด้านในนั้น’

เทเลอร์ไม่เคยเข้าไปที่นั้น

ดังนั้นเธอไม่รู้ว่าอะไรที่ยูซอดัมได้ประสบพบเจอด้านใน

อย่างไรก็ตามเธอรู้ว่ายูซอดัมต้องมีเรื่องที่ยังค้างคาอยู่หลังจากที่ได้กลับมาการเฮลเกตนั้น

นั้นแหละที่ว่าทำไมมันถึงได้เป็นปัญหา

เมื่อสองสามปีก่อนกฎหมายระหว่างประเทศได้เปลี่ยนไปทำให้มีเพียงแค่ฮันเตอร์แรงค์ A หรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในเฮลเกตได้

ยูซอดัมยังคงมีเรื่องที่ยังค้างคากับเฮลเกตอยู่แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปได้เพราะว่าเขาไม่ใช้ยอดมนุษย์

อย่างไรก็ตามด้วยการใช้อำนาจของลอสเดย์มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นไปไม่ได้เสมอไป

เทเลอร์คิดว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมซอดัมยังคงอยู่กับกิลด์ที่แม้ว่าเขาจะได้รับการอยู่แลที่แย่มากจากคนพวกนั้นและเธอก็ยังคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงแสดงสีหน้าที่จริงจังบนใบหน้าของเขาในตอนนี้ราวกับว่าเขามีความรู้สึกที่ประสมปนเปกันไป

“เฮ้ อย่าบอกฉันนะว่านายยังคงมีความรู้ที่ค้างคากับกิลด์นั้นอยู่นะ?”

เทเลอร์ได้ถามออกมาพร้อมกับกัดฟัยของเธอแน่นเหมือนกับว่าเธอนั้นโกรธอยู่จริง ๆ

“…อะไรนะ? นี่เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่นะ? ฉันยังแข็งแกร่งไม่พอดังนั้นฉันเลยคิดว่าต้องทำอย่างไรฉันถึงจะกระทืบพวกมันได้นะสิ”

ซอดัมมองไปที่เทเลอร์ราวกับว่าเขากำลังมองไปที่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดสุด ๆ อยู่เลย

……………………………………………………..

ลอสเดย์ยังคงเงียบเฉยต่อสื่อเช่นเดิม

เหตุผลนั้นง่ายมาก

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลวในการตีความดันเจี้ยนนี้ยูฮารามคิดว่าถ้าพวกเขาสามารถจัดการได้เป็นอย่างดีข้างในดันเจี้ยนนั้นจนถึงจุดที่ว่าไม่มีใครสักคนที่สามารถปฏิเสธมันได้ ภาพลักษณ์ของพวกเขาจะได้รับการกู้กลับคืนมา

ด้วยการรับรู้ความจริงในข้อนี้เองที่ทำให้พวกนักข่าวได้พากันวิ่งไปที่นั้น และลอสเดย์ยังคงรอคอยอย่างเงียบเฉยจนกว่ามันจะได้เวลา

เป็นแบบนี้จนถึงตอนที่รายงานได้ถูกส่งกลับมา

“ผู้ได้รับสิทธิในการเข้าดันเจี้ยนได้ปฏิเสธในการให้ผู้อื่นเข้าไปครับ”

“…อะไรนะ?”

เพื่อตอบคำถามให้กับนักตีความแรงค์ A ของลอสเดย์ ฮานยูจอนคนที่มีใบให้ที่ค้างอยู่กลับไป

“อะไรนะครับ พูดอีกครั้งได้ไหมครับ?”

เขาได้หันไปหาเจ้าหน้าที่และถามอีกครั้งเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะเชื่อมันได้ลงแต่เจ้าหน้าที่ที่มีสีหน้าที่อึดอัดใจได้พูดออกมาเหมือนเดิม

“ใช่ครับ ผู้ได้รับสิทธิในการเข้าดันเจี้ยนได้ปฏิเสธ…”

“ไม่สิ ฉันรู้เรื่องนี้ แต่ทำไมมันถึงแบบนี้ได้หละ?”

ในกรณีของดันเจี้ยนที่ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ ‘สิทธิในการเข้าถึง’ จะถูกมอบให้กับคนแรกที่ค้นพบวิธีการที่เข้าไปได้

เพื่อที่จะหยุดฮันเตอร์จากการเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใดเลยและตายไปอย่างโง่ ๆ กฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ซึ่งระบุไว้ว่าบุคคนที่ได้รับสิทธิในการเข้าถึงจะได้รับสิทธิในการให้คนอื่นรวมทั้งกองทัพเข้าไปได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันมีช่องว่างที่เพียงพอสำหรับการหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง

“มันต้องมีเหตุผลสิ พวกเขาได้พูดอะไรบ้างหรือป่าว?”

“ใช่ครับ เกี่ยวกับสิทธิในการเข้าถึงดันเจี้ยนนี้ ฮันเตอร์ยูซอดัมได้บอกไว้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขามันก็มากพอแล้ว…”

“ไอ้เหี้-เอ้ย”

ไม่เหมือนกับกิลด์อื่น ๆ และสหภาพฮันเตอร์ที่เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นทั่วไป ลอสเดย์นั่นได้โมโหเป็นอย่างมาก

ดันเจี้ยนนี้มีความหมายเป็นอย่างมากกับลอสเดย์

เงินกว่าหมื่นล้านวอนได้ถูกลงทุนไปไม่ใช่แค่ในเรื่องภาพลักษณ์ของพวกเขาแต่เพื่อที่จะได้รับ ‘ความรู้ที่ระบุไม่ได้’ ที่มีตัวตนอยู่ภายในดันเจี้ยนนั้น

ลอสเดย์ได้ลงทุนไปอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเปิดเผยความรู้ที่พิเศษเป็นอย่างมากนี้ที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้เท่านั้นที่รู้

ยูฮารามหายใจเข้าลึก ๆ

‘ไม่สิ เขาเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F เท่านั้นเองถึงแม้ว่าเขาจะไปพร้อมกับนางผู้หญิงบ้าแรงค์ S นั้น…ฉันไม่คิดว่าสองคนนั้นจะสามารถที่จะทำได้ทุก ๆ อย่าง’

ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเขาล้มเหลวในการโจมตีดันเจี้ยนนี้พวกสื่อต่าง ๆ จะพากันหันหลังให้กับยูซอดัมคนที่ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากในเวลานี้

ดังนั้นความสนใจของทุกคนจะเบี่ยงเบนไปจากลอสเดย์

มันเป็นโอกาสที่ดีเลยหละ

ยูซอดัมจะต้องทำให้เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ลอสเดย์ได้ทำไปก่อนหน้านั้น

‘มันน่าปวดหัวจริง ๆ ตั้งแต่ที่แกได้ทำแบบนั้นกับพวกเรา…’

‘ไม่ใช่ว่าแกทำมันมามากพอแล้วหรอ?’

……………………………………………………..

เมื่อมองผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไปเป็นภาพเบลอ ๆ ของพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีสันที่ได้เข้าสู่สายตา

เทเลอร์ไนน์ได้เหวี่ยงไม้เบสบอลของเธอไปในอากาศพร้อมด้วยการแสดงออกยังกับว่าเธอได้ทำ ‘โฮมรัน’ ไป แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า

“เฮ้ นี่นายแน่ใจนะว่าพวกเราแค่สองคนมันจะพอนะ?”

มันเป็นคำถามที่เป็นธรรมดาเมื่อพิจารณาว่ามันเป็นดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยว

อุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะตรวจวัดแรงค์ของดันเจี้ยนนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นประเภทของมอนสเตอร์หรือปรากฏาการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน

เป็นโลกที่ขัดไปจากหลักสามัญสำนึก

แม้แต่เทเลอร์ก็ช่วยไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับการไปในสถานที่เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ดีเลย

ว่าดันเจี้ยนนี้ซึ่งไม่สามารถที่จะตรวจวัดด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้สร้างขึ้นมากจากมานาและสำหรับดันเจี้ยนที่บิดเบี้ยวนี้มันมีมานาที่ส่งออกมาที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่ามานาที่ส่งออกมาจะเป็นแรงค์ A ระดับของมันก็คงจะต้องมากกว่านั้นหรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นดันเจี้ยนแรงค์ S

ภายใต้สถานการณ์ปกติจะต้องใช้ฮันเตอร์แรงค์ S อย่างน้อยสามคนเพื่อโจมตีดันเจี้ยนแรงค์ S

และไม่ใช่ว่าฉันใส่แค่อุปกรณ์เกรด 2 อย่างนั้นหรอ?

นี่คงจะมากเกินไปด้วยซ้ำที่จะพยายามเข้าไปในดันเจี้ยนแรงค์ B

เมื่อมองดูเพียงผิวเผินมันดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย

แต่มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก

ฉันแน่ใจเลย

“ถ้าพวกเราล้มเหลวและตายด้วยกันทั้งคู่หละการฉันจะสาปแช่งนายหลังจากที่ตายไปแล้ว”

“มันโอเคน้า ฉันรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่”

ต้องขอบคุณ คุณลูกค้าที่ทำให้ฉันสามารถที่จะคาดเดาได้ถึงชื่อของดันเจี้ยนนี้

<โลกใบนี้คือพระราชวังเวทมนตร์ที่ล้มสลายของจักรวรรดิจูลซ่าค่ะ>

พระราชวังเวทมนตร์

เหมือนกับที่ชื่อของมันได้บอกไว้ว่าสถานที่นี้มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์

อย่างไรก็ตามความแตกต่างใน ‘การพัฒนา’ สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน

เมื่อครั้งก่อนในตอนที่ฉันกำลังซ่อมแซมวงเวทย์ฉันได้เกิดความสงสัยขึ้นมา

มันกลายเป็นว่าเวทมนตร์ในจักรวรรดิจูลซ่านั้นแย่ยิ่งกว่าที่จักรวรรดิวิเวียนด้าเสียอีก

ถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้เห็นภาพหละก็มันเหมือนความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กับของในช่วงกลางศตวรรษที่ 21 หรือไม่ก็มีความแตกต่างกันมากกว่า 100 ปี

แต่ไม่เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างในเวทมนตร์เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ว่าเวทมนตร์สามารถที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบมากกว่าในเรื่องของความรู้ความเข้าใจในเวทมนตร์ที่ด้อยกว่าได้ทำให้สามารถที่ก่อให้เกิดเวทมนตร์ที่ก้าวล้ำกว่าขึ้นมาได้

ถึงแม้ว่าความรู้ของฉันสามารถที่จะพิจารณาว่าเป็นแค่ระดับของเด็กประถมและมัธยมต้นที่สถาบันวิเวียนด้าและแม้ว่าฉันจะไม่สามารถที่จะควบคุมเวทมนตร์ได้ ฉันก็ยังสามารถที่จะ ‘เห็นมัน’ ได้

…เหมือนกับศาสตราจารย์ที่สถาบันวิเวียนด้าฉันได้เรียนรู้อย่างขยันขันแข็ง

“ฉันจะส่งสัญญาณออกมาถ้ามันมีอันตรายแล้วสถานการณ์ดูไม่ดีขึ้นเลยกิลด์ ‘เลคาเดน’ และ ‘กล็อค’ ได้ถามฉันแล้วว่าพวกเขาสามารถที่จะก้าวเข้าไปและทำการช่วยเหลือได้ไหมนะ”

“อะไรนะ? ทำไมเป็นพวกเขาหละ?”

“มันไม่ใช่ว่าเราเกลียดแค่ลอสเดย์หรอกหรองั้นแล้วการช่วยเหลือพวกเราและการโจมตีดันเจี้ยนจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ในกับพวกเขาเธอไม่คิดว่ามันเป็นล่านกสามตัวด้วยหินก้อนเดียวหรอกหรอ?”

“อ้า…จริงรึ? เป็นอย่างนั้นนี้เอง? มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ?”

ฉันจะไม่เข้าไปในดันเจี้ยนโดยปราศจากมาตรการรับมือแน่นอน

เพราะฉันให้ค่ากับชีวิตของตัวฉันเอง

เพราะงั้นแล้วมันมีอยู่หนึ่งสิ่งที่อยู่ในใจของฉัน

ในตอนที่ฉันได้หันไปมองรอบ ๆ สมาชิกหลายคนของลอสเดย์ได้กำลังจ้องมองมาที่ฉันจากทางด้านข้าง

ว้าววถ้าการจ้องมองสามารถฆ่าคนได้หละก็นะ

หลบเลี่ยงจากสายตาของพวกเขาฉันได้หัวเราะออกมาและพูดขึ้น

“เข้าไปกันเถอะ”

[กำลังเข้าสู่ดันเจี้ยน พระราชวังเวทมนตร์ของจักรวรรดิจูลซ่าที่ล้มสลาย]

ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับว่าติดอยู่ที่ไหนสักที่ โลกก็ได้เปลี่ยนไปในพริบตา

ความรู้สึกมันเหมือนกับการเดินทางไปโลกอื่นเพื่อที่จะฆ่าตัวเองพวกนั้นแต่มันต่างกันเล็กน้อย

ในทันทีที่ฉันได้ลืมตาขึ้นมา

ภายใต้ภาพพระอาทิตย์ตกดินเป็นฉากหลังที่แสนน่าประทับใจ พระราชวังเวทมนตร์ขนาดมหึมาที่ถูกทำลายได้แล้วครึ่งหนึ่งก็ได้เข้ามาสู่สายตา

“ว้าววว”

[คำเตือน! บทส่งท้ายของโลกใบนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว]

“หืม?”

ฉันเอียงหัวของฉันเมื่อได้เห็นข้อความนี้

ถ้าบทส่งท้ายได้จบลงไปแล้วนั้นก็หมายความว่ามันคือจุดจบ

แล้วคุณลูกค้าก็ได้พูดออกมา

<เมื่อตัวเอกได้สำเร็จเรื่องราวของพวกเขา โลกของพวกเขาจะสูญเสียความหมายของมันไปค่ะ>

<ในอีกความหมายหนึ่งก็คือตัวตนของโลกใบนั้นจะอยู่ในขั้นตอนการดับสูญค่ะ>

<ไม่เหลืออารายธรรมใด ๆ มีเพียงแค่โลกที่เหลือ>

<ถ้าคุณไม่ออกจากที่นี้ในตอนที่โลกนี้ได้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้วหละก็ตัวตนของคุณจะอยู่ในอันตรายค่ะ>

นี้มันเรื่องห่าอะไรกันครับเนี่ย

เธอควรที่จะบอกฉันก่อนที่จะเข้ามาสิฟระ

ฉันได้ประหลาดใจไปเพียงชั่วครู่และได้ถอนหายใจออกมา

ไม่ว่าดันเจี้ยนนี้จะพังลงหรือไม่ก็ตามมันก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง

แต่ไอ้เจ้า ‘บทส่งท้าย’ ของโลกก็ยังดูน่ารำคาญเล็กน้อยอยู่นะ

“เออะ”

หลังจากที่ส่ายหัวของฉันเอง ฉันได้วาดบางสิ่งด้วยช็อกลงบนพื้น

เทเลอร์ได้มองมาที่ฉันอย่างแปลก ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร

“เรียบร้อย ตอนนี้ไปกันเถอะ”

เทเลอร์และฉันได้เดินเข้าไปในทางเขาของพระราชวังเวทมนตร์นี้

ทางเข้านั้นดูธรรมดา

มันเหมือนกับวงเวทย์ที่ถูกวาดอยู่ที่ทางเข้าของดันเจี้ยนนี้ มันได้เปิดออกอย่างรวดเร็วเมื่อฉันได้เพิ่มเส้นหลายเส้นที่เหมือนกันให้กับมัน

ทันใดนั้นเองภาพของทิวทัศภายในก็ได้เข้ามาสู่สายตา

เทเลอร์และฉันได้ตรวจสอบด้านในจากที่ไกลออกไปด้วยการใช้กล้องส่องทางไกลของพวกเรา

มันมีสิ่งสีชีวิตที่มีสองขาที่สร้างมากโลหะสีดำกำลังเดินไปมาอยู่รอบ ๆ มีแสงสีน้ำเงินที่ได้เปล่งประกายออกมาจากบริเวณที่น่าจะเป็นดวงตาของพวกมัน

“บ้าน่า นั้นมันโกเลมใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ มันเป็นกาเดี้ยนต่างหากหละ”

โกเลมและกาเดี้ยน

เมื่อมองเพียงครั้งแรกสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้ดูคล้ายกันมาแต่ตามจริงแล้วมันมีความแตกต่างกันอยู่

โกเลมเป็นสสารที่อยู่ตามธรรมชาติที่ได้รับหัวใจมาแล้วกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตเพราะงั้นมันเลยมีหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นโกเลมไฟ,น้ำ,ดิน…

ในอีกความหมายหนึ่งก็คือมันเป็นรูปแบบของ ‘จิตวิญญาณ’

แต่กาเดี้ยนเป็นสิ่งสิ่งชีวิตเวทมนตร์

มันคล้ายกับหุ่นยนต์ในบางส่วน

หุ่นยนต์พลังงานที่มีการเชื่อมต่อกันระหว่างวงจรและโลหะ

กาเดี้ยนเหล่านั้นทั้งหมดและวงจรของพวกมันนั้นฉันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยหละในสายตาของฉัน

ฉันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่มันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอ่านหนังสือภาพสำหรับผู้ใหญ่อยู่เลยหละ(ผู้แปล : ฮันแน่!)

พูดให้ง่ายก็คือมันเป็นเครื่องจักรสังหาร

ดังนั้นแล้ว โครงสร้างของพระราชวังนี้มันเป็นอย่างไงกันแน่?

สถาปัตยกรรมของวิเวียนด้านั้นชัดเจนเลยว่าได้รับการส่งเสริมด้วยเวทมนตร์

อย่างไรก็ตามเวทมนตร์นั้นได้ถูกซ่อนไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่สถานที่นี้นั้นแตกต่างออกไป

วงจรพวกนี้สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

‘เหมือนกับที่คาดเอาไว้เลย…ฉันสามารถที่จะคาดเดาโครงสร้างของพระราชวังนี้ได้เลย เยี่ยม ฉันเดาว่าในตอนนี้มันคงไร้ความหมายแล้วสินะ’

เมื่อฉันได้คิดเกี่ยวกับมัน

วิ้งวิ้ง!!

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นในหูของฉัน

เป็นเสียงเตือนที่สามารถได้ยินด้วยตัวฉันเองเพียงคนเดียว

มันเป็นเวทมนตร์พื้นฐานทั่วไป ‘สัญญาณเตือนเขตแดน’

มันถูกใช้งานน้อยมากที่วิเวียนด้านเพราะว่ามันเหมือนกับของเด็กเล่นและคงจะไร้ความหมายถ้าใครบางคนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์เพียงเล็กน้อย

แต่ที่นี้ไม่มีสักคนที่รู้หรือสัมผัสเวทมนตร์ได้

นั้นหมายความว่ามีผู้บุกรุกได้แอบเข้ามาในดันเจี้ยนนี้แล้ว

ฉันได้หัวเราะคิกคัก

แม้ว่าหนึ่งในคนที่เข้ามาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

มันมีทั้งหมดสามคน

ไม่ต้องสงสัยเลยมันเป็นพวกยอดมนุษย์ทั้งสามคนของลอสเดย์ที่ได้ใช้วิธีการอะไรบ้างอย่างในการที่จะแอบเข้ามา

คนพวกนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกที่ยึดถือและทำตามกฎหมายหรืออะไรพวกนั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก

ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ลงทุนไปหมื่นล้านวอนฉันก็ได้คาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว

แต่ฉันก็ยังคงที่จะตกตะลึงไปโดยพฤติกรรมที่หน้าด้านไร้ยางอายของพวกเขาอยู่ดี

บางทีการที่พวกเขาได้ทำแบบนี้มันอาจทำให้เกิดความเสี่ยงครั้งใหญ่เลยก็ได้

“เทเลอร์ พวกเรามีแขกหละ ฉันคิดว่าพวกเราควรที่จะเดินหน้าต่อไปในดันเจี้ยนนี้เรื่อย ๆ ได้แล้ว”

“โอ้ว บัดซบจริงเลย ไอ้คนพวกนี้มันน่ารำคาญจริง ๆ เลย”

“เธอทำตามแผนเดิม ฉันจะไปเพียงลำพัง”

“อะไรนะ? ฉันควรทำแบบนั้นงั้นหรอ?”

ฉันค่อย ๆ มองผ่านเข้าไปที่ด้านในของพระราชวัง

เวทมนตร์นี้นั้นเหมาะสมและมองเห็นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมากจนหน้าประหลาดใจเลย

นี้เป็นแค่ครั้งที่สองเท่านั้นที่ฉันได้เจอกับเวทมนตร์ของจริงแต่ฉันแน่ใจได้เลยว่า

เวทมนตร์ของพระราชวังนี้ก็คงจะไม่ต่างกันมากหรอก

ดังนั้นแล้วถ้าสิ่งก่อสร้างนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยการใช้เวทมนตร์แล้วหละก็…มันหมายความว่าสถานที่นี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์

“ฮ่าฮ่า ๆ”

ฉันเก็บดาบอีเทอร์และปืนอีเทอร์ของฉันเข้าไป

ของพวกนี้ไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้เลย

จากจุด ๆ นี้มันไม่ใช่ฮันเตอร์ยูซอดัมอีกต่อไปแล้วแต่เป็นจอมเวทย์ยูซอดัมต่างหากหละ