“พิม? มาทำอะไรเนี่ย?”

ได้เห็นพิมยืนอยู่หน้าห้องทำให้ทัตประหลาดใจมากถึงมากที่สุด เพราะจากสิ่งที่เขาเตือนเธออย่างจริงจังให้รีบกลับบ้านไปแล้ว เขาจึงคิดว่าเธอจะเข้าใจ

แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดถนัด เพราะมันให้ผลออกมาตรงกันข้าม

“โทษที ทำให้ตกใจสินะ” พิมเอ่ยอย่างรู้สึกผิดและลำบากใจ สอดคล้องกับสีหน้าที่อยู่ในอารมณ์เดียวกัน

เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าทัตด้วยซ้ำ ทางทัตเองก็ไม่ได้มองข้ามใบหน้าที่กำลังเป็นกังวลของพิม แต่ก็รู้สึกลำบากใจเหมือนกัน เพราะเวลาที่พวกมอนสเตอร์จะโผล่ออกมามันใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว

เอาไงดี… ถ้าเป็นเวลานี้ถึงจะรีบยังไงแต่คงกลับบ้านของเธอที่อยู่เกือบนอกเมืองไม่ทันแน่

นั่นคือเรื่องที่ทัตกังวลจนเหงื่อตก ตัวเลือกของเขาที่อยากจะให้เธอรีบกลับบ้านเพื่อให้อยู่ในที่ปลอดภัยถูกบีบจนเหลือแค่ทางเดียวคือต้องอยู่กับเขา และในเมื่อมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทัตจึงไม่มีเหตุผลให้พิมกลับไป

ไม่สิ… เขาอยากจะให้พิมอยู่กับเขาด้วยซ้ำไป เพราะหากปล่อยพิมกลับไปคนเดียว เธอก็คงเผชิญชะตากรรมแบบเมื่อวานแน่

“ยังไงก็เข้ามาก่อนสิ” ทัตที่ไม่มีทางเลือกก็เลยชวนพิมเข้ามาในห้อง

“อื้ม”

พอได้ยินทัตอนุญาต พิมก็ตอบรับทันทีอย่างไร้ความลังเล

แม้คิดตามสถานการณ์ปกติ… การที่เด็กผู้หญิงจะเข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้ชายวัยเดียวกันในเวลาย่ำค่ำแบบนี้มันเป็นเรื่องเสี่ยงมากต่อให้สนิทกันขนาดไหนก็ตาม

ถึงแบบนั้นเธอกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย และไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายแต่เพราะอีกฝ่ายคือทัตต่างหาก กล่าวคือเธอคงไม่ทำแบบนี้ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ทัต ส่วนหนึ่งเพราะไว้ใจทัตมากรวมถึงตั้งใจจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย

ทัตเองก็รู้เรื่องนั้นจึงไม่คิดทำให้เธอผิดหวัง… แต่อันที่จริงเรื่องพรรค์นั้นไม่อยู่ในหัวของทัตตอนนี้หรอก ทันทีที่พิมเข้ามาในห้องเขาก็รีบปิดประตูห้องลงในทันทีเพราะไม่รู้ว่าเจ้ามอนสเตอร์มันจะออกมาตอนไหน

แต่ดูเหมือนทางด้านพิมจะไม่ได้รับรู้ความกังวลของทัต… ทันทีที่เข้ามาในห้องของทัต ความตื่นเต้นก็แสดงออกบนสีหน้าของเธอแทนที่ความกังวลที่จะโดนโกรธก่อนหน้านี้จนหมด ดูเหมือนถึงจะไม่ใช่เพราะมีธุระแต่เธอเองก็อยากจะเข้ามาดูในห้องของทัตอยู่ดี

ด้วยสาเหตุส่วนตัวของเธอนั่นแหล่ะ

“เห… ดูเรียบร้อยกว่าที่ฉันคิดไว้นะเนี่ย” เธอว่าแบบนั้นหลังสังเกตไปทั่วห้อง ซึ่งมันก็ควรจะเป็นแบบนั้นเพราะทัตเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่อวาน

“เฮ้ย แบบนั้นมันเสียมารยาทนะ”

“เอ๋? ทั้งที่ฉันชมนายแท้ ๆ นะ”

“ก็เธอพูดเหมือนกับว่าปกติมันรกอย่างงั้นแหล่ะ”

“เปล่าซะหน่อย!”

บทสนทนาดูชวนทะเลาะ แต่ทั้งสองคนกลับไม่รู้สึกหงุดหงิด

กลับกันเสียอีก… มันคือการหยอกล้อที่ทำให้ทั้งทัตที่ถูกหยอกหรือพิมที่เป็นฝ่ายเย้าหลุดขำอมยิ้มหัวเราะหลังจากนั้นเสียด้วยซ้ำ

จะว่าไป… ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย มา นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยล่ะมั้งที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน

ทัตคิดแบบนั้นและคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่รู้สึกผ่อนคลาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งพิมและทัตยังรู้สึกลำบากใจหรือกังวลเรื่องอะไรสักอย่างอยู่เลยแท้ ๆ

ก่อนหน้านี้ในช่วง ม.ต้น ต่อให้นับเฉพาะช่วงที่เริ่มสนิทกับพิม… เขาก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเมื่อเทียบกับความเก็บกดที่ได้รับมาจากที่บ้าน ซึ่งในจุดนี้เขาคิดว่าพิมเองก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน นั่นถึงเป็นเหตุผลที่การสร้างรอยยิ้มมันง่ายมากเมื่อได้อยู่กันสองคน

ที่เขาว่า ‘แค่อยู่ด้วยกันก็สุขใจ’ บางทีมันอาจหมายถึงอย่างนี้ก็ได้… ทัตกับพิมคิดแบบนั้น

“ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วนะ”

พิมพูดขึ้นมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้มโล่งอกโล่งใจ รอยยิ้มของเธอฉีกกว้างทำให้ทัตรู้เลยว่าเธอมีความสุขขนาดไหน และนั่นยิ่งทำให้ทัตมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่าที่เธอเป็นแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงเขา

อย่างไรก็ดี… เพราะพิมพูดแบบนั้นออกมา เลยเหมือนทำให้ทัตหลุดออกมาจากภวังค์ความฝันกลับสู่ความเป็นจริง เขาตระหนักอีกครั้งว่าสถานการณ์อันตรายกำลังใกล้เข้ามาสีหน้าจึงเคร่งเครียดขึ้น นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่พิมตระหนักเช่นกันว่าปัญหาที่ทัตเผชิญยังไม่ได้หายไปไหน

เพราะแบบนั้นแหล่ะรอยยิ้มของพิมถึงได้จางลงจนกลับมาขมวดคิ้วอย่างกังวลอีกครั้ง

“นั่งเก้าอี้ก็ได้นะ”

“อื้ม”

ทัตชี้ไปที่เก้าอี้ที่เป็นชุดคู่กับโต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่ใกล้ ๆ เตียง พิมเชื่อฟังอย่างว่าง่ายอีกครั้งก่อนจะวางกระเป๋าและนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ทัตบอกนั่นแล ส่วนทัตเลือกนั่งที่ขอบเตียงของเขา

บรรยากาศเริ่มกลับมาขุ่นมัวอีกครั้ง แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทัตกำลังเผชิญอยู่มันก็สมควรแล้วที่เขาจะจริงจัง

“บอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

พิมชิงถามแบบนั้นออกมาก่อน เธอฉลาดมากที่ทำแบบนั้นเพราะเป็นการปิดโอกาสไม่ให้ทัตเฉไฉไปเรื่องอื่นได้เลย ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบคำถามที่คาใจของเธอได้ด้วย แม้สำหรับทัตจะรู้สึกเหมือนถูกจี้ใจดำจนไม่กล้ามองหน้าพิมเลยก็ตามที

ยังไม่รวมเรื่องที่ทัตอยากจะบอกกับเธอ เพราะมันน่าเหลือเชื่อมากจนทัตพิจารณาแล้วว่าต่อให้เป็นพิมก็คงยากจะเชื่อ เขาเลยหันไปมองเวลาในหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง บนนั้นเขียนว่า 17.30 น.

อย่างไรก็ดี การไม่ตอบคำถามของพิมในทันทีแต่กลับหันไปทำอย่างอื่นมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนเมิน

“นี่…” พิมถึงได้จ้องจี่คิ้วขมวดมาทางทัตอีกครั้ง แต่หนนี้ด้วยความหงุดหงิด

“โทษที ๆ”

ทัตรีบขอโทษ แต่ก็ยังสับสนว่าจะรอเวลาให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยอธิบายเพราะมันจะน่าเชื่อกว่า หรือจะอธิบายก่อนจะได้ไม่ตกใจตอนเกิดเรื่องดี

แล้วทัตก็นึกขึ้นมาได้… ว่าเขามีหลักฐานที่จะช่วยสนับสนุนสิ่งที่เขาพูดอยู่

“ไม่รู้เธอจะเชื่อฉันไหม… แต่ว่าเมื่อวาน”

แล้วทัตก็เริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้น

ตั้งแต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมังกรที่ออกมาตอนเย็น ทำลายตึกราม ทำลายรถยนต์บนถนน แล้วก็ออกกินคน เข่นฆ่าเหมือนผักปลา ซึ่งพวกทัตเองก็เป็นหนึ่งในนั้นจึงพยายามเอาตัวรอด

แต่ครั้นจะหนีไปขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจ ที่นั่นก็ถูกทำลายด้วยฝีมือของไซคลอปส์ไปจนหมด แถมไอ้ไซคลอปส์ตัวเดียวกันนั้นก็ทุ่มรถใส่พวกทัตจนคร่าชีวิตของกล้ากับหนุ่มไป

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพึ่งได้เลยตัดสินใจจะไปกบดานที่ห้องหอของทัต ทุกคนเลยตัดสินใจเลาะซอยไปจนถึงหลังโรงเรียน แต่ในตอนนั้นก็มีหมาป่าออกมาโจมตีพวกทัตแล้วจัดการแพรไปอีกคน

เพราะอาศัยจังหวะนั้นทุกคนเลยได้ไปหลบที่ร้านสะดวกซื้อหลังโรงเรียนได้ทัน และเริ่มติดต่อขอความช่วยเหลือแต่ติดต่อใครไม่ได้เลย ในตอนนั้นก็มีหมาป่าที่ร่างกายถูกอาบด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงินปรากฏตัวเข้ามาในร้าน และถ้าปล่อยให้มันเข้ามาทุกคนจะตายหมดแน่ ทัตเลยวิ่งออกไปเป็นตัวล่อ

หลังจากสู้กับมัน ทัตก็สามารถจัดการมันได้โดยบังเอิญ… แล้วตอนนั้น ทัตก็เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘การตื่น’ ขึ้นจากการทำลายอัญมณีที่เป็นแกนกลางมัน นั่นทำให้ทัตได้รับพลังที่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้จากการฆ่าพวกมอนสเตอร์ รวมถึงสามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่คนอื่นต่างก็ลืมไปจนหมดเมื่อเช้าวันใหม่ได้มาถึงแล้วเวลาได้ถูกย้อนกลับมาอีกครั้ง

นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ทัตเล่าให้พิมฟังอย่างตั้งใจ

อนึ่ง เขาละในส่วนที่พิมเองก็ถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายเอาไว้เพราะไม่อยากให้เธอรู้สึกแย่

แต่ถึงจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น เรื่องที่เขาเล่าออกมามันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี สายตาของพิมที่ขมวดคิ้วมองมาราวกับพยายามทำความเข้าใจทัต แต่แล้วสีหน้าของเธอก็กลับเปลี่ยนเป็นสงสารและเป็นห่วงเขาสุดใจแทนเสียอย่างนั้น

เธอถึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วก็เดินเข้ามาหาทัตที่นั่งอยู่ขอบเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของทัตด้วยมือทั้งสองของเธอ มองตรงเข้าไปในดวงตาอย่างจริงจัง นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามแสดงออกว่าเป็นห่วงทัตเอามาก ๆ

“ทัต… นาย…” พอถูกพิมสัมผัสแก้ม ทัตเลยรู้สึกเหมือนถูกล็อคไว้ให้มองหน้าเธอตรง ๆ

ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่พิมหวัง เพราะแบบนั้นทัตเลยถูกพิมจ้องตา ในขณะเดียวกันเขาเองก็จำต้องจ้องพิมเหมือนกัน แม้จะเป็นเวลาแบบนี้แต่พอถูกเด็กผู้หญิงน่ารักขนาดนี้มองในระยะประชิดมีหรือที่เด็กผู้ชายวัยกลัดมันอย่างเขาจะไม่หวั่นไหว

อย่างน้อยก็จนกว่าที่เธอจะพูดสิ่งที่คิดออกมา

“เล่นยาป่ะเนี่ย?”

“ไม่ใช่เฟ้ย!”

ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ได้โรแมนติกอย่างที่ทัตคิดหวัง เห็นได้ชัดเลยว่าพิมไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิดซึ่งก็สมควรอยู่หรอก

“ให้ตายสิ… ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” ทัตถอนหายใจ รู้สึกผิดหวังเอามาก ๆ ที่พิมถึงกับคิดว่าเขาเป็นคนจำพวกนั้น พิมก็รู้สึกผิดอยู่เธอเลยผละมือออกมาจากแก้มของทัต

“แหมก็รู้อยู่หรอก… แต่เรื่องที่นายเล่ามันแบบว่า… เหลือเชื่อเกินอ่ะนะ”

“เอาเถอะ ยังไงก็ไม่คิดว่าจะเชื่อในทันทีอยู่แล้วล่ะ”

ทัตพูดตอบ แต่มันเหมือนเป็นการพูดปลอบใจตัวเองมากกว่า

ยังไงก็ตาม มันก็เป็นความจริงที่เขาคิดไว้แล้วว่าพิมคงไม่เชื่อในทันที ไม่ใช่ว่าเพราะเธอไม่เชื่อใจทัต แต่เป็นเพราะเธอมีหัวคิดด้วยตัวเองต่างหาก ซึ่งนั่นถือเป็นข้อดี

ทัตจึงแสดงหลักฐานให้เห็นเพื่อให้เธอเชื่อ… ด้วยการเปิดหน้าต่างข้อมูลของตัวเองให้เธอดู

พริบตานั้นหน้าต่างที่เหมือนกับแผ่นกระดาษใสก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทัต ซึ่งหากเป็นไปตามที่ทัตรู้ หากปรารถนาให้คนอื่นมองเห็น คนอื่นก็จะมองเห็นด้วยเช่นกัน

“หวา! นั่นอะไรอ่ะ!”

และดูเหมือนมันจะได้ผล ปฏิกิริยาของพิมที่ถึงกับผงะคือสิ่งยืนยันว่าเธอเห็นในสิ่งเดียวกับที่ทัตเห็น

เข้าใจเลย ๆ… ทัตแอบรู้สึกพึงพอใจเล็ก ๆ หลังเห็นพิมแสดงอาการตกตะลึงเมื่อได้เห็นหน้าต่างข้อมูลนี้

“ของจริงใช่ไหมเนี่ย” พิมยังคงแคลงใจเลยพยายามจะพิสูจน์ด้วยวิธีของเธอเอง

เธอยื่นมือออกไปและสัมผัสกับหน้าต่างข้อมูล เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามือของเธอทะลุผ่านมันไปได้

พิมขมวดคิ้วนิ้วจับคางคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะลองเอามือสัมผัสรอบ ๆ ของหน้าต่างข้อมูล บางทีเธออาจจะคิดว่านี่เป็นภาพสามมิติหรือโฮโลแกรมอะไรทำนองนั้น เลยพยายามใช้มือบังเพราะหากมันเป็นการฉายภาพจริง ภาพจะต้องขาดหายไปเมื่อถูกมือของเธอบังจุดกำเนิดแสง

แต่สุดท้ายหน้าต่างข้อมูลก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วนะเนี่ย” พิมพูดจบก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง แต่ที่ชัดที่สุดก็คงเป็น ‘ช่วยไม่ได้’ เพราะเมื่อเห็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้ จะไม่เชื่อในสิ่งที่ทัตพูดก็กะไรอยู่

“เห็นป่ะ?”

เห็นแบบนั้นแล้ว ทัตก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด เขาคงรู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ

แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็คือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีที่ทำให้พิมเชื่อในสิ่งที่ทัตพูดจนได้

ส่วนหน้าต่างข้อมูล ลักษณะของมันเป็นแผ่นกระดาษใสที่หันหน้าให้กับทัตที่เป็นผู้ใช้งานอ่านเสมอ ดังนั้นถ้าพิมมองจากด้านหน้าของทัต เธอย่อมเห็นตัวอักษรทั้งหมดกลับด้านซึ่งไม่สะดวกเอามาก ๆ

“แต่จะว่าไป… ไอ้นี่มันเหมือนกับที่อยู่ในนิยายต่างโลกที่นายอ่านเลยนะเนี่ย”

“นะ นั่นสินะ…”

เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านสำหรับพิม เธอจึงนั่งลงที่ขอบเตียงข้าง ๆ ทัตแล้วเอี้ยวตัวเข้ามาใกล้

พูดให้ถูกคือเธอกระแซะเข้ามาจนชิดกับทัตเลยมากกว่า ทั้งที่เป็นลูกคุณหนูที่ถูกสอนมาว่าให้รักนวลสงวนตัว แต่ดูเหมือนสำหรับทัตแล้วจะต่างออกไป และก็เพราะความใกล้ชิดที่มากเกินไปนั่นแหล่ะเลยทำให้ทัตรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่… ใกล้ไปแล้วมั้ง” ทัตเลยพยายามเตือนพิมไปแบบนั้น และหวังว่ามันจะเป็นเพราะเธอทำแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้

กับพิมที่เป็นลูกของนายทุนที่มีทรัพย์สินเกือบร้อยล้านบาท เธอถูกฝึกฝนทักษะต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะการวางตัวและการเข้าสังคม มีหรือที่เธอจะไม่ระวังเรื่องพวกนี้

“เห๋… ประหม่าเหรอ?” ทัตเพิ่งเตือนไป แต่แทนที่พิมจะถอยออกไป…

เธอกลับขยับเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นไปอีก แถมยังใช้อาวุธของผู้หญิงของเธอดันเข้ามาจนแนบกับต้นแขนของทัตอีกต่างหาก นั่นคือจังหวะที่ทัตรู้ตัวว่าเธอจงใจ

“เธอเนี่ยนะ” ทัตทำท่าลำบากใจ แต่ถ้าถามว่าชอบหรือเกลียดก็ต้องเป็นชอบแน่อยู่แล้ว

สิ่งที่ทำให้ทัตลำบากใจจึงไม่ใช่ในประเด็นที่ว่า ‘พิมทำแบบนี้’ แต่เป็น ‘สาเหตุที่พิมทำแบบนี้’ ต่างหาก และแน่นอนว่าทัตรู้ว่าทำไม

“อย่างที่คิดเลย ดูเหมือนยังไงนายก็ไม่ยอมใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของฉันเลยนะ”

ด้วยเหตุนั้นทัตก็เลยไม่ได้โต้ตอบอะไรกับการกระทำของพิม ทางพิมพอเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ไม่สิ… ดีใจต่างหาก ที่ทัตมีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างที่ตัวเธอได้หวังเอาไว้

“ไม่ดีเหรอ?” ทัตเอ่ยถามอย่างเอียงอาย ในที่สุดพิมก็ยอมปล่อยหน้าอกที่กดมาที่ต้นแขนของทัตให้เขาได้พักหายใจเสียที

“ดีสิ! นายก็รู้นี่!”

พิมเอ่ยสั้น ๆ เหมือนละไว้ในฐานที่เข้าใจกันแค่สองคน รอยยิ้มของเธอสดใสยังกับจะเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาได้ยังไงอย่างงั้น อย่างน้อยทัตก็รู้สึกแบบนั้นและรู้สึกอบอุ่นใจในทุกครั้งที่ได้เห็น

และอย่างน้อยความหมายเบื้องหลังการกระทำนั่นก็คงมากยิ่งกว่าที่เพื่อนสนิทมอบให้เพื่อนสนิทอย่างแน่นอน ซึ่งอันที่จริงความใกล้ชิดที่ทั้งสองคนมอบให้กันมันไม่ต่างจากคู่รักเลย ไม่สิ… ถามคำถามนี้กับคนร้อยคนก็คงตอบแบบเดียวกันแน่นอนว่ามันเป็นแบบนั้น

แต่ในความเป็นจริงคือทั้งสองคนไม่ใช่คู่รัก แต่แน่นอนว่ามากกว่าเพื่อนสนิท… สายสัมพันธ์แบบนั้นควรจะน่ากระอักกระอ่วน แต่สำหรับทั้งสองคนกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น แถมยังแสดงความห่วงใยแก่กันได้อย่างไม่จำเป็นต้องรู้สึกเอียงอายหรือคิดอะไรมากความ

ซึ่งสาเหตุที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ก็คงมีแค่สองคนนี้ที่รู้

อย่างไรก็ดี ใช่ว่ามันจะเป็นข้อดีไปเสียหมด เพราะบางครั้งความใกล้ชิดที่มากเกินไปแบบนี้ก็อาจทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเกินเลยไปกว่าที่ควรจะเป็นจนรู้สึกงุ่นง่าน

อย่างบรรยากาศของทัตกับพิมในตอนนี้ที่เริ่มจะหวานละมุลเกินไปจนเริ่มจะร้อนขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของทั้งสองถูกย้อมเป็นสีแดงเพราะความใกล้ชิดเมื่อครู่ ความเอียงอายที่ไม่เคยมีก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาจนเริ่มจะรู้สึกแปลก ๆ เข้าไปทุกที————

กริ้ง!!!!

ต้องขอบคุณเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของทัตที่ดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดิบพอดี ทัตกับพิมเลยได้สติก่อนที่จะเกิดอะไรไม่คาดฝัน?ขึ้นเสียก่อน

แล้วทัตก็อาศัยจังหวะนั้นแหล่ะรีบลุกไปปิดเสียงปลุกของโทรศัพท์

“ดะ ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วล่ะนะ”

“ละ เหรอ”

ทั้งสองคนก็ยังคงพูดตะกุกตะกักไม่เป็นคำกันอยู่เพราะเรื่องเมื่อกี้ คงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะกลับมาสงบจิตสงบใจตัวเองได้

แต่ยังไงก็ตาม สำหรับทัตนั้นใช้เวลาไม่นานนัก เพราะเมื่อวานเขาเป็นคนเดียวที่เจอมากับตัวเอง เลยรู้ว่าสถานการณ์ที่กำลังจะได้เจอมันอันตรายขนาดไหน

เขาคิดจะตรวจสอบในทันทีว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองเป็นจริงหรือไม่ จึงรีบเดินไปที่นอกระเบียงแล้วพยายามสังเกตรอบ ๆ จากห้องของเขาที่อยู่ชั้น 3 ก็พอจะทำให้มองเห็นถนนด้านหน้าที่เป็นแถวหลังโรงเรียนได้ชัดเจน

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่ทัตคาดการณ์ แต่ไม่น่าดีใจเลยที่มันเป็นอย่างนี้

เหล่ามอนสเตอร์หลากหลายประเภทที่ทัตเห็นเมื่อวาน ทั้งหมาป่า กิ้งก่า ผึ้งที่มีขนาดใหญ่เริ่มปรากฏร่างออกมาแล้วเข่นฆ่าผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนน ทำลายรั้วบ้านหรือสิ่งปลูกสร้าง เข้าไปในตัวตึกแล้วสังหารคนจับกินไม่เลือกหน้าราวกับเป็นนรกเดินดิน

ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า… เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่มีผิด

อย่างนี้ก็ชัดแล้วล่ะนะ… ว่าที่จริงแล้วโลกใบนี้มันมีสองคืนอยู่ในหนึ่งวัน

แล้วในคืนแรกนั้น คือกลางคืนที่มีมอนสเตอร์ออกมากวาดล้างมนุษย์

หลังจากที่ทัตตระหนักความจริงในข้อนั้น ไม่นานนักพิมเองก็ออกมาตรงระเบียงและได้เห็นในสิ่งเดียวกับที่ทัตเห็น แม้จะยากที่จะเชื่อ แต่พอได้เห็นกับตาอย่างนี้ก็มีแต่ต้องยอมรับความจริง

ยังไงก็ตาม… ทิวทัศน์ที่ผู้คนถูกพวกสัตว์ประหลาดฆ่าอย่างเลือดเย็นแบบนั้นมันไม่น่าอภิรมย์ไม่ว่าจะกับใคร พิมเห็นภาพพวกนั้นไม่นานก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทัตก็เลยรีบพาเธอกลับเข้ามานั่งพักในห้องแล้วยื่นขวดน้ำที่เขาซื้อมาให้กับเธอ

“นี่น้ำ”

“…ขอบคุณนะ”

พิมรับขวดน้ำด้วยสีหน้าซีดเผือกไม่เบา… ยังไงก็ตามมันเป็นเรื่องธรรมดา

แต่หลังจากที่พิมดื่มน้ำไปอึกใหญ่แล้วปรับลมหายใจตัวเองใหม่เธอก็ตั้งสติได้แทบจะทันที เรียกว่าสมแล้วจริง ๆ ที่เป็นเธอ

“แล้วทัตจะเอายังไงต่อเหรอ?” น้ำเสียงเธอไม่สั่นอีกแล้ว เทียบกับคนทั่วไปถือว่าใช้เวลาน้อยมาก ๆ นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งขนาดไหน

เธอกลับมาถามทัตถึงสิ่งที่เขาต้องการจะทำ สายตาของเธอจริงจังทำให้ทัตจริงจังกลับ

“เรื่องที่เกิดเมื่อวานนี้มันพิสูจน์แล้ว ว่าพวกมอนสเตอร์มันจะไม่หยุดจนกว่าจะฆ่ามนุษย์ทุกคนได้… เพราะงั้นไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องได้สู้กันแน่”

เพราะงั้น… ก่อนที่จะถูกฆ่า ก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้วชิงฆ่ามันก่อน!

นั่นคือคำตอบของทัต สายตาของเขาคมกริบราวกับเหยี่ยว แน่วแน่เหมือนพญาราชสีห์ เพียงแค่นั้นพิมก็เข้าใจได้แล้วว่าเขาคิดจะสู้

แต่พอได้ยินแบบนั้นมันก็ทำให้พิมรู้สึกกังวล ไม่สิ… เป็นห่วงต่างหาก

“มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ” เธอเอ่ยแบบนั้นในขณะที่เหงื่อตก ทัตเองก็สัมผัสได้ และเขาก็คิดจะอธิบายเรื่องนี้อยู่แล้วด้วย

“เธอเห็นพลังที่ฉันได้มาจาก ‘การตื่น’ อะไรนั่นแล้วใช่ไหม?”

“หมายถึงหน้าต่างข้อมูลนั่นน่ะเหรอ?” พิมเอ่ยถาม ทำให้ทัตพยักหน้ารับ

“ที่จริงแล้วนอกเหนือจากนั้นมันก็เหมือนกับในเกมเลยล่ะ… ถ้าฆ่ามอนสเตอร์จนอัพเลเวลได้ จะได้รับแต้มเลเวลที่สามารถเอาไปอัพเลเวลของอาชีพที่ต้องการได้ ซึ่งนั่นแหล่ะคือวิธีที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้น”

ทัตพยายามอธิบาย แต่มันคงยากสำหรับคนนอกที่จะเห็นภาพตาม ในจุดนั้นทัตไม่โทษเธอหรอกเพราะหากสถานการณ์กลับกันเขาเองก็คงสับสนเหมือนเธอ

“ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากลองเหมือนกัน… ตอนนี้ฉันสามารถใช้เวทมนตร์กับวิเคราะห์ความสามารถของมอนสเตอร์ที่เจอได้ แต่ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” ทัตว่าแบบนั้นในขณะที่เดินไปจัดกระเป๋าสะพายที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา

สำหรับพิม… การกระทำของทัตมันแสดงให้เธอเห็นว่าเขาพร้อมออกศึกเต็มที่

และแม้จะไม่อยากเข้าใจ แต่เธอนั้นเข้าใจเหตุผลที่ทัตต้องสู้เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจเลย

เพราะหากสถานการณ์นี้มันเกิดขึ้นทุกคืน และอีกฝ่ายไม่มีท่าทีประนีประนอม (ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเพราะอีกฝ่ายคือมอนสเตอร์) แถมไม่ว่าช้าหรือเร็วมันก็จะต้องเจอตัวแน่นอน วิธีการที่จะเอาตัวรอดได้ก็มีแค่วิธีเดียวคือต้องแข็งแกร่งขึ้นในระดับที่ไม่ต้องกังวลว่ามันจะกลายเป็นอันตราย

“เรื่องที่นายว่าก็เข้าใจอยู่หรอก…” ด้วยเหตุนั้น สำหรับพิมที่เป็นคนหัวไวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเข้าใจได้ไม่ยากถึงสาเหตุที่ทัตหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้

ไม่สิ… เพราะเข้าใจนั่นแหล่ะ เธอถึงรู้สึกกังวลและเป็นห่วงทัต

“ให้ฉันไปด้วยได้ไหม?”

“…”

แล้วสุดท้ายเธอก็คิดจะทำแบบเดียวกับทัต… อย่างที่ทัตคิดไว้ไม่มีผิด

เขากะไว้แล้วว่าพิมเองก็ต้องการแบบนั้นแน่หากได้รู้เรื่องราวทุกอย่าง เพราะเขากับพิมเป็นคนประเภทที่คล้ายคลึงกัน และอย่างหนึ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกันคือ ‘ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ต่อให้อันตรายแค่ไหนก็จะทำ’

แต่ถ้าเอาตามความต้องการของทัต… เขานั้นไม่อยากจะให้พิมออกไปเสี่ยงอันตรายด้วยอยู่แล้วไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพิมคงจะดื้อดึงและตามมาด้วยให้ได้อยู่ดี

…เพราะถ้าสถานการณ์มันเกิดกลับกันขึ้นมา หากทัตรู้ว่าพิมกำลังเผชิญอันตรายและพยายามกีดกันเขาออกไปล่ะก็ ไม่ว่ายังไงทัตก็จะยอมเผชิญหน้ากับอันตรายนั้นและไปด้วยกันกับเธอให้ได้เหมือนกัน

“ถึงจะห้ามก็ไม่ฟังอยู่ดีล่ะสินะ” ทัตเอ่ยถามแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว

“แน่นอนสิ”

พิมตอบกลับด้วยคำตอบที่ไม่บิดพลิ้วไปจากที่ทัตคิด รอยยิ้มมั่นใจและแน่วแน่ของเธอยืนยันได้ยิ่งกว่าอะไร เจอแบบนั้นก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากให้เธอตามไปด้วย

แถมถ้านึกถึงเรื่องเมื่อวาน… การปล่อยให้พิมอยู่คนเดียวมันก็ไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี เทียบกันแล้วให้เธออยู่ข้างกายน่าจะปลอดภัยมากกว่าด้วยซ้ำ

“แต่ต้องอย่าลืมนะ… ว่าตอนนี้เธอไม่เหมือนฉันที่มีพลังแล้ว เธอยังเป็นแค่คนธรรมดาอยู่” ทัตพยายามย้ำ เพื่อให้พิมระมัดระวังตัวเองและไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตาย

แต่ถึงแม้ว่าพิมจะพยักหน้ายอมรับและเชื่อฟังตามนั้น เธอก็ยังมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัวของตัวเอง

“แต่ก่อนที่นายจะมีพลังหรือเวทมนตร์อะไรนั่นที่นายว่า นายก็ฆ่าพวกมันตอนที่เป็นคนธรรมดาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” เธอถึงได้เอ่ยถามทัตแบบนั้น

“แต่กว่าจะฆ่าได้ฉันถูกไฟไหม้เกือบทั้งตัวเลยนะ แถมไอ้หมาเวรนั่นยังกินมือฉันจนเหลือแค่นิ้วโป้งด้วย” ทัตยกมือซ้ายขึ้นมาขยับนิ้วโป้งกะแด่ว ๆ พยายามอธิบายให้เห็นว่ามันอาจไม่คุ้มค่าก็ได้

“หวา…”

พอได้ยินแบบนั้นเธอก็ถึงกับขนลุกสู้ ขนพองสยองเกล้า เพราะมันน่าสยดสยองเอาเรื่อง และเริ่มคิดใหม่ ซึ่งถ้าทัตตั้งใจจะทำให้พิมรู้สึกกลัวและหลบเลี่ยงอันตรายได้บ้าง นี่ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ยังไงก็ตาม… เพราะเวลามันไม่คอยท่าบวกกับความต้องการที่อยากจะทดสอบพลังของตัวเอง ทำให้ทัตรีบจัดกระเป๋าแล้วสะพายหลังเตรียมออกจากห้อง ส่วนทางพิมนั้นทิ้งกระเป๋าของตัวเองไว้ในห้องเพราะไม่มีของอะไรที่จำเป็นมันจึงเกะกะเสียเปล่า ๆ สิ่งที่เธอพกติดตัวมีแค่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองเท่านั้น

หลังจากเอาหูแนบกับประตูแล้วไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าอะไร ทัตก็ค่อย ๆ แง้มเปิดประตูห้องของตัวเองอย่างช้า ๆ แล้วย่อตัวออกไปข้างนอก ใช้แนวของที่กั้นระเบียงของหอเป็นจุดกำบังไม่ให้ภายนอกมองเห็นเผื่อไว้ก่อน ซึ่งพิมเองก็ทำแบบเดียวกัน

ทั้งสองเลาะแนวที่กั้นระเบียงทางเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงบันไดลงไปยังชั้น 2

ทัตยื่นหน้าออกไปดูก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือตัวอะไรโผล่ขึ้นบันไดมากลางคัน แล้วพอได้จังหวะก็รีบเดินนำพิมออกไปทันที

“หยุดก่อน”

แล้วในจังหวะที่กำลังจะเดินลงไปชั้นสองเพื่อลงไปชั้นหนึ่งต่อ ในจังหวะนั้นทัตก็บอกให้พิมหยุดเท้าตัวเองก่อน

เพราะเขาสังเกตเห็นว่ามีมอนสเตอร์เดินไปเดินมาอยู่ตรงทางเดินในสุดของชั้นสอง มองจากระยะไกลก็เห็นได้ว่ามันเป็นผึ้งบินเสียงหึ่ง ๆ มีส่วนสูงประมาณเมตรครึ่งได้

หรือให้ง่ายเข้า… มันคือผึ้งยักษ์

เอาล่ะ… ถึงเวลาลองใช้สกิลแล้ว

ทัตรอมานานเพื่อให้เวลานี้มาถึง… เขาจดจ้องสายตาโฟกัสไปที่เจ้าผึ้งยักษ์ที่กำลังบินอยู่หน้าห้อง แล้วสั่งใช้สกิล ‘วิเคราะห์ LV-1’ ในความคิด

ผึ้ง (LV-5)

ประเภท : Common

พริบตานั้นผลลัพธ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของทัตในรูปแบบที่เหมือนกับหน้าต่างข้อมูล แต่สิ่งที่แสดงออกมามีน้อยกว่าที่ทัตหวังเอาไว้มาก

ชื่อสกิลคือ ‘วิเคราะห์’ ไอ้เราก็นึกว่าจะทำให้รู้พวกจุดอ่อนอะไรพวกนี้ได้ซะอีก

แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยแฮะ… นี่เราเล่นเกม Hard Mode อยู่รึไงเนี่ย?

ยังไงก็ตาม ถึงจะไม่รู้ข้อมูลอย่างละเอียด แต่อย่างน้อยก็รู้แหล่ะว่ามันเลเวลเยอะกว่าตัวเรา

แต่ถึงจะมากกว่าก็จริง มันก็ไม่ได้มากอย่างมีนัยยะสำคัญถึงขนาดที่จะโค่นมันไม่ได้

ทัตตัดสินใจได้แบบนั้น และคิดว่าเจ้าผึ้งนี่หากระวังดี ๆ ก็ไม่น่าจะเกินมือ

“เธออยู่นี่นะ ฉันจะไปจัดการเจ้าผึ้งนั่น” ทัตหันไปมองตาพิม และถึงจะไม่ได้พูดออกมา แต่นั่นคือการบอกให้เธอรออยู่ตรงนี้

“ระวังตัวด้วยนะ”

พิมเองก็ส่งสายตาเป็นห่วงและให้กำลังใจกลับไป ทัตพยักหน้ารับก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากบันได จนอยู่ในจุดที่มองเห็นเจ้าผึ้งยักษ์ได้ชัดเจน

…หรือให้ชัดกว่านั้นคือ อยู่ในจุดที่เล็งโจมตีมันได้สะดวก

ต่อไปก็คือการทดสอบการใช้เวทมนตร์

จะออกมาเป็นยังไงกันนะ

ทัตล้มเหลวเรื่องนี้ไปเมื่อวานและเฝ้ารอเวลานี้มาหนึ่งวันเต็ม เขาคันไม้คันมือด้วยความตื่นเต้นก่อนจะเอื้อมมือไปทางผึ้งยักษ์และทำสิ่งเดียวกับที่ทำเมื่อวาน

เขาเพียงจินตนาการในหัวว่าจะใช้สกิล ‘เวทยิง LV-1’ ด้วยธาตุไฟ

ฟุ่บ!

“โอ้!?”

และครั้งนี้มันได้ผล… ประกายไฟปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฝ่ามือที่ทัตยื่นออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ขยายขึ้นเป็นเปลวเพลิงช้า ๆ และใช้เวลาราว 5 วินาทีเศษถึงจะมีขนาดใหญ่เท่าลูกวอลเลย์บอลซึ่งเป็นขนาดเต็มที่ของมัน

หึ่ง ๆ ๆ!!!!!

อย่างไรก็ดี ขนาดของเวทมนตร์ที่ทัตสร้างขึ้นอยู่ในระยะการสัมผัสของเจ้าผึ้งยักษ์ มันจึงขยับปีกพลิกหันมาทางทัตในทันที แถมยังบินพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่มากพอดูด้วย

และไหน ๆ มันก็บินเข้ามาแล้ว ทัตเลยรอจังหวะให้มันบินเข้ามาใกล้พอที่การโจมตีจะไม่พลาดเป้า

“ฮึ่ย!”

แล้วพอได้จังหวะ ทัตก็ยิงเวทเพลิงที่อยู่ในมือออกไปเป็นเส้นตรง

การยิงเวทมนต์ให้ความรู้สึกเหมือนกับการเล่นเกมยิงปืนที่ไม่ต้องลั่นไกแต่กระสุนของมันเชื่องช้ากว่าในเกม กระนั้นก็ยังเร็วพอที่เจ้าผึ้งจะไม่สามารถหลบได้พ้น

เจ้าผึ้งจึงโดนการโจมตีเข้าเต็ม ๆ

ร่างของมันถูกอาบด้วยเปลวเพลิงเผาไหม้ปีกของมันจนไม่สามารถลอยได้ต่อ แล้วมันก็กระแทกตกลงกับพื้นดิ้นทุรนทุรายส่งเสียงกรีดร้องแหลมคมบาดหู

“น่ารำคาญ”

ทัตอาศัยจังหวะนั้นหยิบมีดพกออกมา เดินเข้าไปใกล้ ๆ มันแล้วใช้มีดพกในมือขวาแทงส่วนหัวของเจ้าผึ้งยักษ์ ไม่รู้ว่าเพราะความคมหรือเพราะเขามีความสามารถทางกายเพิ่มขึ้นจากการอัพเลเวล ทัตถึงได้รู้สึกว่าสามารถแทงเข้าไปในเนื้อของเจ้าผึ้งตัวนี้ง่ายกว่าตอนที่ทำแบบเดียวกันกับเจ้าหมาป่าเมื่อวาน

เพราะแบบนั้น พอเขาแทงมีดฝังลงในหัวของเจ้าผึ้งแค่แผลเดียวมันก็แน่นิ่งไป แล้วเปลี่ยนเป็นละอองสีทองเปล่งแสงอันเป็นเอกลักษณ์ตอนตายของมอนสเตอร์พวกนี้

ท่านได้รับการเลเวลอัพเป็น ‘เลเวล 3’ แล้ว

ได้รับ ‘แต้มเลเวล’ 1 แต้ม

บวกกับเสียงข้อความยืนยันที่ปรากฏในความคิดของทัต คือสิ่งที่ยืนยันในชัยชนะของเขา

แฮ่ก… แฮ่ก…

ทัตจัดการมันได้แล้ว เขากลับรู้สึกเหนื่อย ไม่ใช่ทางด้านร่างกาย แต่เป็นจิตใจ

และไม่ใช่เพราะว่าหวาดกลัว แต่เป็นเพราะตื่นเต้นและดีใจ

ดีใจ… ที่รู้ว่าเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ได้ ไม่ใช่แค่หลบซ่อน หนีเอาตัวรอดหรือเป็นแค่เหยื่อให้พวกมันกินเหมือนกับครั้งของเจ้าหมาป่าเพลิงสีฟ้านั่นอีกต่อไป

เขาถึงได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“ทัต! เป็นอะไรไหม?”

พอเห็นว่าศึกจบลงแล้ว พิมก็รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของทัตทันที เพราะเห็นจากบนบันไดว่าเขาค่อนข้างเหนื่อยอ่อนจากการที่เพิ่งฆ่าผึ้งยักษ์ไป

“ชู่! ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันโอเค”

“ทะ โทษที”

พิมรีบปิดปากตัวเองในทันทีที่รู้ตัวว่าเสียงดัง

ถัดจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วมองทัตตั้งแต่หัวจรดเท้า ตรวจสอบว่ามีบาดแผลอะไรไหม และหลังจากที่รู้ว่าทัตสบายดีเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เป็นห่วงเราขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ทัตเห็นพิมที่ทำท่าทางผ่อนคลายออกมาแบบนั้น จะบอกว่าไม่ดีใจก็คงจะโกหก แอบคิดด้วยซ้ำไปว่าตัวพิมที่เป็นห่วงเป็นใยเขาช่างน่ารักน่าชังอะไรอย่างนี้จนนึกอยากจะลูบหัวเลย แต่ถ้าทำแบบนั้นคงไม่เหมาะเท่าไหร่สำหรับคนที่มีสถานะเป็นแค่เพื่อนสนิท

…พอมีเวลาให้คิดเรื่องแบบนั้นได้สักพัก ไม่นานนักทัตก็ต้องตระหนักถึงสถานการณ์อีกครั้งว่าอันตรายสามารถคืบคลานเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ

หึ่ง ๆ ๆ!!!!!

เขาตระหนักถึงเรื่องนั้น… ในตอนที่เห็นผึ้งยักษ์บินออกมาจากห้องในสุดพร้อมกันถึง 5 ตัว

❖❖❖❖❖