บทที่ 160 แกรับมือไหวหรือเปล่า
บางครั้งเด็กก็ต้องปล่อยตามสบายไปบ้าง ไม่อย่างนั้นเด็กก็จะไม่มีชีวิตชีวา
“ก็ได้ครับ” เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเอ่ยพูด นิ่งเสวียนโม่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขาไม่ได้กลัวเจียงหยุนเอ๋อ แต่กลัวพ่อของถวนจื่อต่างหาก
นิ่งเสวียนโม่เลือกเซตอาหารที่เหมาะกับพวกเขา จากนั้นก็เดินไปยังที่ที่เด็ก ๆ เลือกเอาไว้แล้วนั่งลง
อาหารยังไม่มาเสิร์ฟ ดังนั้นเด็กที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็กำลังดื่มน้ำ หรือไม่ก็กำลังพูดคุยเรื่องการแข่งขันในวันนี้ เจียงหยุนเอ๋อไม่ค่อยเข้าใจนัก เลยได้แต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางเมื่อสักครู่นี้ เจียงหยุนเอ๋อคิดว่าตอนนี้มีเวลาพอดี เลยจะเอาเรื่องนี้ไปบอกลี่จุนถิง
“พวกเธอรออยู่ที่นี่นะ ฉันขอตัวออกไปโทรศัพท์สักครู่” เจียงหยุนเอ๋อหยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไป
เมื่อกดโทรหาลี่จุนถิง เขาก็รับสายทันที
“นายจ้องโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาเหรอ? ทำไมรับสายเร็วขนาดนี้” เจียงหยุนเอ๋อตกใจที่เขารับสายเร็วขนาดนี้
น้ำเสียงทุ้มต่ำของลี่จุนถิงดังมาจากในโทรศัพท์ : “ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่รอโทรศัพท์เธอตลอดแค่นั้นเอง”
เจียงหยุนเอ๋อยิ้มออกมา ใบหน้าหวานหยดย้อย : “พูดจาให้ดี ๆ หน่อย”
เสียงหัวเราะของลี่จุนถิงดังออกมา : “โทรหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? กินข้าวหรือยัง?”
“รออาหารมาเสิร์ฟอยู่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายล่ะ” เจียงหยุนเอ๋อหันกลับไปมองภายในร้าน
ลี่จุนถิง “อืม” กลับมาคำหนึ่ง รอให้เจียงหยุนเอ๋อพูด
“คืออย่างนี้ วันนี้มีคนมาชวนให้ถวนจื่อไปเป็นพรีเซนเตอร์……” เจียงหยุนเอ๋อเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ให้ลี่จุนถิงฟังอีกรอบ
ลี่จุนถิงที่อยู่ปลายสายเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางภาคภูมิใจ ที่ลูกชายของตัวเองเก่งขนาดนี้
“เรื่องนี้เธอให้ถวนจื่อเขาตัดสินใจด้วยตัวเองดีกว่า เขาก็โตแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องตัดสินใจแทนเขาทุกเรื่องหรอก” ลี่จุนถิงเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ
สำหรับการสอนลูกนั้น เขาค่อนข้างมีเหตุผลอยู่
“อืม ก็ได้” เจียงหยุนเอ๋อเชื่อฟังลี่จุนถิง เรื่องใหญ่พวกนี้ฟังลี่จุนถิงไว้จะดีกว่า
“จริงสิ วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” ลี่จุนถิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มาดูถวนจื่อแข่งขันด้วยตัวเอง รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อพูดประโยคนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก : “วันนี้ถวนจื่อเก่งมากเลยล่ะ ทีมของพวกเขาชนะทีม AY ไปได้”
“ลูกชายฉันไม่ต้องคิดก็เก่งกาจมากที่สุดอยู่แล้ว” ลี่จุนถิงยิ้มออกมา
ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเห็นว่าอาหารมาเสิร์ฟเกือบครบแล้ว ก็วางสายไปอย่างอาลัยอาวรณ์
เมื่อเจียงหยุนเอ๋อนั่งลง ถวนจื่อก็เอ่ยถาม : “แด๊ดดี้พูดว่ายังไงบ้างครับ?”
เจียงหยุนเอ๋อลูบหัวถวนจื่อไปมา : “แด๊ดดี้บอกว่าให้ลูกตัดสินใจเอาเอง ลูกเต็มใจไหม?”
“ครับผม”
ที่จริงตอนแรก ถวนจื่อก็อยากตอบตกลง แต่ก็คิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องรอให้เจียงหยุนเอ๋ออนุญาตเสียก่อน
“งั้นหม่ามี้ก็จะช่วยลูกพูดกับคุณลุงคนเมื่อกี้ละกัน” เจียงหยุนเอ๋อหยิบนามบัตรออกมา กดโทรศัพท์ไปตามเบอร์บนนามบัตร
“สวัสดีค่ะ ฉันกับพ่อของเขาปรึกษากันแล้ว พวกเราตกลงค่ะ”
“อ๋อ งั้นก็ดีมากเลยครับ งั้นเดี๋ยวผ่านไปสักระยะหนึ่งผมจะไปที่สโมสรกีฬาอีสปอร์ตLJเพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา” ฟังน้ำเสียงของผู้ชายคนนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาดีใจมาก
“ค่ะ รบกวนคุณด้วยนะคะ” แล้วเจียงหยุนเอ๋อก็วางสายไป
เห็นเจียงหยุนเอ๋อวางสายไป ถวนจื่อก็ดึงเสื้อของเจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อก้มตัวลง โน้มตัวไปหาถวนจื่อเพื่อดูว่าเขาจะทำอะไร
“หม่ามี้ ถ้าผมเป็นพรีเซนเตอร์แล้ว ผมก็สามารถหาเงินได้แล้ว ต่อไปถ้าหม่ามี้อยากซื้ออะไร ผมจะจ่ายให้เองครับ” ถวนจื่อตบหน้าอกตัวเองแสดงท่าทางรับประกันในคำพูดของเขา
เจียงหยุนเอ๋อได้ฟัง ก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ยื่นมือโอบไหล่ถวนจื่อเอาไว้ เอาหัวตัวเองซบลงที่หน้าอกเล็ก ๆ ของถวนจื่อ : “ถวนจื่อตัวเล็กแค่นี้ แต่เก่งมากเหลือเกิน ชีวิตหม่ามี้ที่เหลืออยู่ต้องพึ่งพาลูกแล้วนะ”
ขณะที่ถวนจื่อพูด ในใจก็จินตนาการภาพไว้แล้ว
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มกินหม้อไฟกันอย่างมีความสุข พูดคุยกันสนุกสนาน
เมื่อเริ่มดึกขึ้น เห็นเด็ก ๆ กินกันพอประมาณแล้ว นิ่งเสวียนโม่ก็ได้เช็คบิลแล้วพาเด็ก ๆ กลับไป
เด็ก ๆ เดินเรียงแถวกันพูดคุยกันอย่างเฮฮา สนุกสนานกันมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่า อยู่ ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่ออกมา
นักเลงกลุ่มหนึ่งไม่รู้โผล่มาจากไหน มีราวสิบกว่าคน ยืนเรียงหน้ากระดาน อยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของนิ่งเสวียนโม่มากนัก
“พวกแกคิดจะทำอะไร?” นิ่งเสวียนโม่จ้องพวกคนกลุ่มนั้นที่อยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยพูด
เห็นท่าทางของคนพวกนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีเจตนาไม่ดีแน่นอน เจียงหยุนเอ๋อและนิ่งเสวียนโม่รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้เข้ามาหาเรื่อง จึงรีบเอาเด็ก ๆ ไปอยู่ด้านหลังตัวเอง
นักเลงคนหนึ่งที่เป็นหัวโจกตัดผมทรงปอมปาดัวร์ยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ ปากคาบไม้จิ้มฟันอันหนึ่ง เดินหน้าเข้ามาหนึ่งก้าว : “ฮ่า แกคิดว่าฉันอยากทำอะไรล่ะ?”
เจียงหยุนเอ๋อขมวดคิ้วเป็นปม ไม่คิดเลยว่าเวลาอย่างนี้ต้องมาเจอกับกุ๊ยพวกนี้ ตัวเองและนิ่งเสวียนโม่ยังพอจัดการได้ แต่เด็ก ๆ เหล่านี้ล่ะจะทำยังไง?
ขณะนั้นเองหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัดผมทรงปอมปาดัวร์เหมือนกันเดินมาอยู่ข้างเขา แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา ชี้ไปยังเจียงหยุนเอ๋อแล้วพูดกับหัวโจก : “ลูกพี่ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ อยู่หน้าตาใช้ได้เลยนะ”
สายตาของหัวโจกหันมามองที่เจียงหยุนเอ๋อ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างนั้น ยิ่งมองสายตานั้นก็ยิ่งดูตัณหาจัด มองจนเจียงหยุนเอ๋อตัวสั่นไปทั้งตัว
“แม่สาวคนนี้ช่างดูเป็นของล้ำค่าเหลือเกิน ไม่เลว งั้นให้หล่อนอยู่กับพวกเราทั้งคืนดีกว่า” หัวโจกหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
พวกลูกน้องก็เริ่มหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสะใจ
เมื่อนิ่งเสวียนโม่ได้ฟัง ก็รีบก้าวไปยืนด้านหน้า แล้วเอาเจียงหยุนเอ๋อไปอยู่ด้านหลังตัวเอง เพื่อไม่ให้พวกมันใช้สายตากะลิ้มกะเหลี่ยมองไปบนตัวของเจียงหยุนเอ๋อ
“ไสหัวไปให้พ้นนะ เธอไม่ใช่คนที่พวกแกจะมายุ่งได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือไงห๊ะ?” นิ่งเสวียนโม่พูดออกมาชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“ทำไมเหรอ? อยากเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามเหรอ?” คนที่เป็นหัวโจกเอียงหัว มองไปยังนิ่งเสวียนโม่อย่างอันธพาล แล้วก็มีท่าทางโหดเหี้ยมขึ้นมา “งั้นก็ต้องดูหน่อยละว่าแกรับมือไหวหรือเปล่า เฮ้ย พวกเราลุย”
หัวโจกโบกมือขึ้น โบกมือเรียกลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง
พวกลูกน้องเมื่อได้ยินลูกพี่ตัวเองออกคำสั่ง ก็เหมือนเลือดลมสูบฉีด คึกคะนองขึ้นมาทันที
นิ่งเสวียนโม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่า ก็ได้หันไปพูดว่า : “คุณเจียง คุณพาเด็ก ๆ หลบไปก่อน ผมรับมือพวกมันเอง”
“คุณไหวเหรอคะ?” เจียงหยุนเอ๋อเป็นห่วงว่านิ่งเสวียนโม่ตัวคนเดียวจะรับมือพวกมันไม่ไหว
นิ่งเสวียนโม่ขมวดคิ้ว : “คุณรีบไปก่อนเถอะ อย่าสนใจอะไรมากเลย”
เจียงหยุนเอ๋อรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้แย่แล้ว จึงรีบพาเด็ก ๆ วิ่งไปก่อน : “เด็ก ๆ รีบตามฉันมาเร็ว”
พูดจบก็ดึงถวนจื่อ กับเด็กอีกคนที่อายุน้อยหน่อยวิ่งไปก่อน
เด็กคนอื่น ๆ ก็วิ่งตามกันไป
เจียงหยุนเอ๋อคิดในใจ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แน่ ไว้รอให้ถึงที่ปลอดภัยค่อยแจ้งตำรวจ