บทที่ 156 ห้วงนิทราที่รออยู่

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 156 : ห้วงนิทราที่รออยู่

คล็อดกำลังอ่านรายงานข้อมูลที่เกี่ยวกับกิจกรรมของงานเลี้ยงโลหิต ภูเขาเอกสารได้ก่อตัวขึ้นบนโต๊ะของเขาแล้ว เรียงระดับความสำคัญและความเกี่ยวข้องไว้เสร็จสรรพ

เอกสารบางแผ่นถูกจัดเรียงและปั๊มตราเพื่อส่งต่อให้แผนกอื่น ๆ และเหล่าผู้อาวุโสแล้ว แต่ก็ยังมีอีกมากมายที่รอการจัดการอยู่

ข้อมูลของงานเลี้ยงโลหิตนั้นมีความสำคัญสูง และยังหมายความว่างานของเขาในบ่ายวันนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

เขาเพิ่งจะได้ละจากสมรภูมิในปฏิบัติการกวาดล้างในเช้าตรู่วันนั้นแล้วปรี่กลับไปทำงาน

นี่แสดงให้เห็นว่าชีวิตของหน่วยข่าวกรองของหอพิธีกรรมต้องห้ามนั้นไม่ใช่งานง่ายเลย…ที่จริงแล้ว คล็อดเป็นห่วงบริเวณตีนผมของเขามาก เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะหัวล้านตั้งแต่ยังหนุ่ม

ความคับแค้นรายวันของคล็อดทะยานขึ้นจุดสูงสุดทุกวันในตอนที่เขาตื่นขึ้นแล้วเฝ้ามองตีนผมที่ถดถอยเข้าไปทุกที

“บางทีฉันก็สงสัยจริง ๆ ว่าเขารับฉันเป็นศิษย์แค่เพราะเขาต้องการแรงงานฟรีหรือเปล่า” คล็อดพึมพำกับตนเองแล้วถอนหายใจ ก่อนจะกระแทกแฟ้มเล่มหนึ่งลงไปในกองที่ทำเสร็จแล้ว

ปี๊บ!

อุปกรณ์สื่อสารของเขาส่งเสียงร้องออกมาในตอนนี้เอง

คล็อดตัวแข็งทื่อแล้วคว้าอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองในทันที สีหน้าของเขาแข็งค้างไปเมื่อเห็นสิ่งที่แสดงบนจอ

เจ้าของร้านหลิน!

คล็อดรับสายแล้วได้ยินคำพูดเกริ่นของหลินเจี๋ย “สวัสดีครับ คุณตำรวจใช่ไหมครับ? โบสถ์แห่งจุดสูงสุดกำลังจะมีปัญหานะครับ”

คล็อดตกตะลึงจนอุปกรณ์สื่อสารก็เกือบหลุดมือเขาไปแล้ว

โบสถ์แห่งจุดสูงสุด?!

เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? พวกเขาไปเหยียบเท้าหรือทำอะไรเขาไว้เนี่ย?

เดี๋ยวก่อนนะ!

หรือว่าเจ้าของร้านหนังสือจะอยู่เบื้องหลังการโจมตีล่าสุดที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุด รวมไปถึงการพังวิหารในสังฆมณฑลที่ 7?!

ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว!

พอมาคิดดูแล้ว ก็มีแค่เจ้าของร้านหลินนี่แหละที่จะมีพลังขนาดนั้น…ทำไมพวกเอ็งต้องมายุ่งเกี่ยวกับเขาโดยไร้เหตุผลด้วยฟะเนี่ย?!

เหตุการณ์ที่เกิดกับสมาคมแห่งสัจธรรมเพิ่งจะผ่านไป แล้วคล็อดก็เพิ่งโดนโทรเรียกไปจัดการกับหลานชายประธานสมาคมแห่งสัจธรรมไปไม่นาน เจ้าพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ พวกนั้นได้เข้าไปในร้านหนังสือ แล้วหลังจากตื่นขึ้นได้ก็กลับออกมาอย่างเชื่องสนิท กลายเป็นลูกสมุนของเจ้าของร้านหนังสือไป…

คล็อดเชื่อว่าเจ้าพวกนั้นต้องได้รับบทเรียนอย่างหนักหนามาแน่นอน!

ในขณะที่เจ้าของร้านหลินมีพลังระดับเหนือนภา เขาก็มีความสามารถด้านการใช้คำพูดหวาน ๆ ตะล่อมคนด้วย แล้วทั้งร้านหนังสือนั้นก็เต็มไปด้วยความรู้อันไร้พรมแดน

แปลว่าเขาได้สยบทั้งสมาคมแห่งสัจธรรมไปแล้วในตอนนั้น

สภาผู้อาวุโสกระทั่งคาดเดาว่าร้านหนังสืออาจจะเกี่ยวพันกับเทพยดาหรือเทพเจ้าแห่งความรู้ก็ได้ และเป็นไปได้ว่าจะมีเป้าหมายในการชักนำสมาชิกที่หลงทางทั้งหมดของสมาคมแห่งสัจธรรมกลับมาสู่ความเชื่อที่ถูกที่ควร

ตอนนี้ ในขณะที่ความผิดบนใบหน้าของเจ้าพวกสมาคมแห่งสัจธรรมยังไม่ทันเลือนหาย ทำไมเจ้าพวกโบสถ์แห่งจุดสูงสุดต้องมาแส่หาเรื่องด้วย…

“เจ้าของร้านหลินครับ…เอิ่ม รบกวนแจ้งให้ชัดเจนกว่านี้ได้ไหมครับ? เกิดอะไรขึ้นกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเหรอครับ?” คล็อดถามอย่างระแวดระวัง

เสียงของหลินเจี๋ยดังออกมาจากอุปกรณ์สื่อสาร เล่าเรียงเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับวินเซนต์ออกมา แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเน้นย้ำถึงเรื่องชั่วร้ายที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดทำ และอันตรายที่วินเซนต์กำลังเผชิญ

พวกเขาเป็นเหยื่อ และย่อมต้องการการปกป้องและช่วยเหลือ

“แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์…” สีหน้าคล็อดถึงกับแข็งค้าง

เขาไม่เคลือบแคลงต่อความจริงเท็จของข้อมูลนี้เลย ตัวตนระดับเจ้าของร้านหลินนั้นไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมาโกหกเขาเลยสักนิด

ยิ่งกว่านั้น…หากแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มีผลข้างเคียงจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น ขอแค่เพียงหอพิธีกรรมต้องห้ามสืบสวนเรื่องนี้อย่างสุดกำลังก็พอแล้ว

แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะปรากฏขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง และการเคลื่อนไหวของงานเลี้ยงโลหิตเองก็เช่นกัน นี่อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้หากทั้งสองเรื่องนี้มีจุดเชื่อมโยงกัน

คนนับพันอาจจะเข้ามาพัวพันถ้ามีปัญหาอะไรที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจริง ๆ

เรื่องนี้สำคัญมากเสียจนคล็อดไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ทันที เขาต้องปรึกษากับโจเซฟแล้วแจ้งสภาผู้อาวุโสเสียก่อน

เขาลุกขึ้น สวมเสื้อโค้ตแล้วพูด “โปรดรอสักครู่นะครับเจ้าของร้านหลิน ถ้าเป็นไปได้ ผมหวังว่าคุณจะไม่สร้างเหตุไม่สงบที่ร้ายแรงเกินไปนะครับ ผมจะไปพบบุคคลระดับสูงกว่าผมเพื่อขอคำแนะนำ และจะไปที่นั่นในเร็ว ๆ นี้ครับ”

หลินเจี๋ยแสดงความเข้าอกเข้าใจ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ฉลาดเลยหากจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือทำอะไรผลีผลาม…

เขายังพูดเสริมด้วยว่าพวกเขาเป็นฝ่ายที่อ่อนแอไร้พลังและสถานการณ์อันตรายอย่างมาก เขาทำได้แค่เพียงหวังว่าตำรวจจะถูกส่งมาหาเขาให้เร็วที่สุด

คล็อดมีสีหน้าไม่เชื่อบนใบหน้าในขณะที่ตอบรับแบบมุมปากกระตุก

แล้วเขาจะพูดอะไรได้ล่ะ? ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูดล้อเล่นไปเท่านั้นแหละ

คืนนั้น…

บัคลอยอยู่ในอากาศห่างจากร้านหนังสือไปพอสมควร เขาสวมชุดคลุมสีดำตัวใหม่ แทบจะหลอมรวมสนิทไปกับความมืด ด้วยความที่หน้ากากของเขาไม่มีรูหรือลวดลายใด ๆ นั่นทำให้เขาดูน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ

ชิ้งงง!

คมเคียวตวัดโค้งกลางอากาศ ตัดมิติเป็นจันทร์เสี้ยว

บัคหันหน้าไปทางร้านหนังสือและสามารถสัมผัสได้ถึงกิจกรรมที่เกิดภายในนั้นได้ ในตอนนี้มีสามคนที่ดูจะหลับอยู่ในนั้น วินเซนต์ซ่อนตัวอยู่ในร้านหนังสือ และอีกสองคนก็คือเจ้าของร้านหนังสือและสิ่งที่ดูจะเป็นผู้ช่วยที่เขาเพิ่งจะจ้างมาใหม่

ดูอีเธอร์จากตัวพวกเขาแล้ว แต่ละคนช่างธรรมดา

รอยกระเพื่อมของอีเธอร์ของเจ้าของร้านหนังสือนั้นยิ่งเบาบางยิ่งกว่าใคร ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลย

ทว่าไม่ว่าใครก็รู้ว่านี่เป็นเพียงการปลอมตัวเท่านั้น เป็นการปลอมตัวที่ไม่เนียนและจอมปลอมสิ้นดี…

ในทางกลับกัน มีร่องรอยการกระเพื่อมของอีเธอร์ที่แข็งแกร่งกว่ามากมายที่รายล้อมอยู่ในอาณาบริเวณที่เจิดจ้าราวกับสัญญาณนำทางบนท้องฟ้าราตรี

ทั้งหมดนี้คือผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มารวมตัวกันเพราะค่าหัวที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดประกาศไว้ พวกเขากำลังจับตามอง และบางทีอาจจะรอลงมือ

แต่แน่นอน ในเมื่อตอนนี้บัคมาถึงแล้ว การกระเพื่อมอีเธอร์ที่ในตอนแรกกระสับกระส่ายก็สงบลงอย่างรวดเร็ว รอการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นระหว่างอัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมและเจ้าของร้านหนังสือจอมปลอม

ทุกคนรู้ว่า ‘อาณาจักรคนตาย’ บัคนั้นถูกสังหารลงในการเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับนักบวชทุศีล และถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์ชุบชีวิตขึ้นมา

นั่นเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าขายหน้าที่สุด…

ครั้งนี้ พลังที่เขาได้รับจากพระสังฆราชและเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นได้รับการเพิ่มความเข้มข้นขึ้นสูงมาก โดยพื้นฐานแล้วมันก็แทบจะทวีคูณจนดันเขาเข้าไปถึงระดับเหนือนภาแล้ว

ปฏิกิริยาอีเธอร์ของเขาในตอนนี้นั้นราวกับเปลวเพลิงสีดำขนาดมหึมาอันนำมาซึ่งความตาย กลืนกินพลังอีเธอร์ทั้งมวลในบริเวณไปจนสิ้น

เขารู้สึกดีกว่าที่ผ่านมาชั่วชีวิต!

พลังที่ผู้ทุศีลกระทำต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์นั้นแปลกโดยแท้ แต่มันใช้พลังมากเกินไปและไม่สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง

วินเซนต์ในปัจจุบันนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะลงมือได้อีกครั้ง…

เป็นเจ้าของร้านหนังสือต่างหากที่ตัวเองจะต้องเผชิญในครั้งนี้ แต่บัคก็ไม่ได้เกรงกลัว เพราะเขาเชื่อในคำพูดของพระสังฆราช

ต่อให้ศัตรูจะอยู่ในระดับเหนือนภา แต่ตัวพระสังฆราชเองก็อยู่ในระดับเหนือนภาเช่นกัน…

ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัว สาวกแห่งดวงจันทร์นั้นไม่เคยกลัวในความตาย!

เขาเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์!

บัคเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงขยับเดินหน้า ในพริบตา ตัวเองก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนถนนตรงข้ามทางเข้าร้านหนังสือ เขาเดินตรงไป เหวี่ยงเคียวของเขา แล้วเปิดประตูออก

เขาบุกเข้าไปในร้านหนังสือราวกับพายุทรายสีดำ

ทว่าแสงสีขาวอันเจิดจ้าที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้บัคไม่ทันตั้งตัว เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักกับที่แล้วใช้มือของเขาบังดวงตาไว้

“นี่มันอะไรเนี่ย?!” บัคพยายามยื้ดยุดกับความแสบตา ลืมตาของเขาขึ้น แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม

ไม่สิ…เดี๋ยว? น้ำตา?!

เขาตะลึงงัน นับแต่เขาขึ้นสู่ระดับภัยพิบัติมาเขาก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายของเขาได้อย่างอิสระแล้ว และเขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาอย่างที่คนธรรมดาทำกันมานานมากแล้วด้วย

ทว่าเมื่อเขามองดวงตา เสื้อผ้า และรองเท้าของเขาแล้ว บัคก็ตระหนักว่าเขาได้กลับไปเป็นสิ่งที่เขาเป็นเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ในตอนที่เขายังเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง

เขามองขึ้นไปอีกครั้งเพื่อมองร้านหนังสือนี้ให้ถนัดตาขึ้น

ทว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านหนังสืออีกต่อไป แต่เป็นคฤหาสน์เก่า ๆ หลังหนึ่ง เมื่อมองไกลออกไปบัคก็เห็นลำแสงสีทองจาง ๆ ที่คงจะเป็นแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างที่ปิดสนิทเข้ามา

แต่ตอนนี้มันกลางคืนอยู่ชัด ๆ

นี่มันราวกับความฝัน…