บทที่ 145 ระดับมหายานขั้นเจ็ด เพดานโลกมนุษย์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 145 ระดับมหายานขั้นเจ็ด เพดานโลกมนุษย์

“ศิษย์น้อง ไม่เจอกันนาน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันสู้กับไก่คุกรัตติกาลกันหน่อยดีหรือไม่”

มู่หรงฉี่กล่าวด้วยรอยยิ้มและขยิบตาให้ เขาเองก็ทนดูไก่คุกรัตติกาลเสแสร้งไม่ไหว

ได้ยินเช่นนี้ฟางเหลียงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจว่า “เอาสิ!”

ไม่เจอกันหลายปี ไก่คุกรัตติกาลก็ยังคงต่ำทรามถึงเพียงนี้!

ไก่คุกรัตติกาลหาววอดไปหนึ่งที ทำราวกับไม่ได้ยิน

ทุกคนพากันนั่งลงและเริ่มพูดคุยกัน

ฟางเหลียงเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในหลายปีนี้ ต่อสู้กับภูตมารปีศาจ ยามนี้เขากลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ของจวนเซียนสวรรค์แล้ว มีชื่อเสียงในจวนเซียนสวรรค์เป็นอย่างมาก

ราชามังกรสามหัวแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ความจริงแล้วกำลังแอบฟัง

‘เหตุใดพรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้’

ราชามังกรสามหัวแอบรู้สึกตกใจ

‘ผู้ที่อยู่ใต้การนำของผู้อาวุโสสังหารเทพล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์หรือ’

ดูเหมือนนอกจากหยางเทียนตงแล้ว พรสวรรค์ของคนอื่นๆ ล้วนยอดเยี่ยมทั้งนั้น

ขณะเดียวกัน

อักขระแถวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของหานเจวี๋ย

[ราชามังกรสามหัวเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าราชามังกรสามหัวมีปัญหาแล้ว

สมองมีปัญหา!

จู่ๆ ก็เกิดความประทับใจขึ้นมาแบบแปลกๆ

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจ เขาเองก็กำลังแอบฟังประสบการณ์ของฟางเหลียงอยู่เช่นกัน

หากกล่าวว่าซูฉีคือตัวเอกในนิยายเซียนยุทธ์ที่ต้องระหกระเหิน เช่นนั้นฟางเหลียงก็เป็นตัวเอกในนิยายแนวแฟนตาซีที่กล้าได้กล้าเสียมาก

หลายปีมานี้ จำนวนครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ส่วนมากจะตะลุยไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โอกาสวาสนาเข้ามาหาถึงที่อย่างต่อเนื่อง

ทุกคนได้ฟังแล้วก็ล้วนทอดถอนใจ

ฟางเหลียงเก่งกาจจริงๆ!

แม้แต่มู่หรงฉี่เองก็รู้สึกนับถืออยู่บ้าง

หลายชั่วยามผ่านไป ฟางเหลียงลุกขึ้น เดินเข้าไปเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ย

หลังจากเข้าไปภายในถ้ำเทวาแล้ว ฟางเหลียงคุกเข่าลงตรงหน้าหานเจวี๋ย เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งมีน้ำตาอุ่นๆ คลออยู่ตรงเบ้าตา

หานเจวี๋ยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “การออกไปหาประสบการณ์ในครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”

ฟางเหลียงกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดศิษย์หลานก็เข้าใจความหวังดีของอาจารย์ปู่ ฝึกประสบการณ์ทำให้ข้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ข้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์ในจวนเซียนสวรรค์ โอกาสวาสนาที่คิดว่าจะได้รับก็ได้มาหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้โอกาสอีก ดังนั้นข้าจึงกลับมา”

“ศิษย์หลานอยากฝึกฝนตรงหน้าอาจารย์ปู่ มุมานะบำเพ็ญมหามรรค”

หลังจากบรรลุระดับสุญตาแล้ว ฟางเหลียงก็ไม่ต้องการโอกาสวาสนาจริงๆ ของอย่างพวกวิชายุทธ์ พลังวิเศษ วิชาเวท ของวิเศษของเขาในตอนนี้ ที่ควรมีก็มีครบสมบูรณ์ ต้องการเพียงแค่สะสมตบะอย่างต่อเนื่อง

อาจารย์ปู่และศิษย์หลานสองคนพูดคุยกันอยู่นาน

หลังจากฟางเหลียงออกไปแล้ว เขาก็มาหาที่นั่งเข้าฌานหน้าต้นฝูซัง

อู้เต้าเจี้ยนกลับเข้ามาในถ้ำเทวา นางมองหานเจวี๋ยแล้วถามขึ้นว่า “นายท่าน ท่านว่าข้าต้องไปหาประสบการณ์สักครั้งหรือไม่”

ประสบการณ์ของฟางเหลียงทำให้ทุกคนจิตใจฟุ้งซ่าน

พวกเขาเองก็อยากได้รับโอกาสวาสนาในแบบต่างๆ บ้าง

หานเจวี๋ยถามขึ้น “เจ้าต้องการหาประสบการณ์ไปเพื่อเหตุใด”

“หาประสบการณ์จะได้รับโอกาสวาสนาอย่างไร”

“โอกาสวาสนามีประโยชน์อันใด”

“สามารถแข็งแกร่งได้”

“แข็งแกร่งเพื่อสิ่งใดกัน”

“เพื่อปกป้องนายท่านอย่างไรเล่า”

“ข้าต้องการให้เจ้าปกป้องหรือ”

อู้เต้าเจี้ยนคิดอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเหตุผลจะเป็นเช่นนี้

นางเอียงคอแล้วเอ่ยถาม “ถ้าเช่นนั้นสำหรับนายท่านแล้ว การดำรงอยู่ของข้ามีความหมายใด”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง “อยู่เป็นเพื่อน ความสุขทางตาและทางใจ เจ้าเพียงฝึกฝนอย่างสงบ สามารถตามทันย่างก้าวของทุกคนได้ก็พอ”

อู้เต้าเจี้ยนได้ยินก็จิตใจเบิกบานอย่างช่วยไม่ได้ รอยยิ้มดูงดงามยิ่งกว่าเดิม

ในสายตาของหานเจวี๋ย อู้เต้าเจี้ยนเพียงแค่ฝึกฝนอย่างสบายใจ ช้าเร็วก็กลายเป็นเซียนอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องไประเหเร่ร่อนในโลกกว้าง

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ของทุกคนจะมีผลลัพธ์อย่างเช่นฟางเหลียง

ฟางเหลียงมีแค่คนเดียว!

สุดท้าย ผู้คนทั้งหมดต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกกับหานเจวี๋ยอีก

โดยเฉพาะหยางเทียนตงและสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น

พวกเขากลัวแล้วจริงๆ

ไม่กล้าออกไปอีกแล้ว

บนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเองก็ไม่นับว่าแห้งแล้งเกินไปนัก ช่วงที่ไม่มีเรื่องอะไรพวกเขายังสามารถพูดคุยถกมรรคกันได้ หรือแม้กระทั่งยังประลองเวทกันได้

หานเจวี๋ยยังอนุญาตให้พวกเขาไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ภายในเมืองของสำนักฝ่ายในได้ นี่ก็นับว่าดีมากแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น บรรดาศิษย์และศิษย์หลาน รวมถึงสัตว์เลี้ยงเทพต่างก็เป็นกังวลอยู่บ้าง

กังวลว่าหานเจวี๋ยจะสำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์!

ด้วยความแข็งแกร่งที่หานเจวี๋ยแสดงออกมา เขาอยู่ห่างจากการขึ้นสู่สวรรค์ไม่มากแล้ว

รอหานเจวี๋ยขึ้นสวรรค์แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร

ภายใต้การเรียกร้องของมู่หรงฉี่ ทุกคนตัดสินใจมุมานะฝึกฝน ช่วงชิงเวลาในการขึ้นสวรรค์พร้อมกับหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยยิ่งมีความประทับใจในตัวมู่หรงฉี่มากขึ้น

มู่หรงฉี่ไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติสูงส่ง บุคลิกอาจหาญเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการเป็นผู้นำด้วย

‘ไม่เลว ไม่เลว

สมกับเป็นเทพสงครามวังเทพ!

เทพสงครามมิใช่หรือ จะต้องไม่เพียงมีตบะที่แข็งแกร่ง แต่ยังต้องบัญชาการกองทัพใหญ่ด้วย!’

……

สิบเก้าปีต่อมา

หานเจวี๋ยทะลวงถึงระดับมหายานขั้นเจ็ด

ในที่สุดจิตใจที่นิ่งสงบดั่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่นก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

ระดับมหายานขั้นเจ็ด!

เข้าใกล้เพดานโลกมนุษย์แล้ว!

อย่างมากก็ยี่สิบปีบรรลุหนึ่งขั้นเล็กๆ ไม่แน่อีกห้าสิบปีให้หลังเขาก็อยู่เหนือกว่าระดับมหายานแล้ว!

‘เบิกบานใจเสียจริง!’

หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา และเริ่มสาปแช่งจูเชวี่ย

เขาเคยทดลองดูแล้ว เพียงแค่สาปแช่งติดต่อกันไม่เกินหกวันก็จะไม่ถูกลดทอนอายุขัย

เขาเรียกค่าความสัมพันธ์ออกมาเพื่อตรวจสอบดูจดหมาย

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x54427

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x74200

[จี้เซียนเสินสหายของท่านหยั่งรู้พลังวิเศษไท่อี่ สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วพื้นปฐพี]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านหลอมรวมหัวใจกระบี่ จิตกระบี่เทียมฟ้า]

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายมาร] x743

[ไก่คุกรัตติกาลสัตว์เลี้ยงเทพของท่านปลุกฟื้นพลังวิเศษในชาติก่อน]

[จูเชวี่ยศัตรูคู่แค้นของท่านเกิดมารในใจเนื่องด้วยการสาปแช่งของท่าน]

……

นอกจากโม่ฟู่โฉวและโจวฝานสองพี่น้องคู่ทุกข์คู่ยากแล้ว จำนวนการถูกโจมตีของคนอื่นๆ ล้วนดูไม่เกินจริงไปนัก

หานเจวี๋ยกวาดสายตาดูคราหนึ่ง ส่วนมากล้วนเป็นข่าวของคนที่ได้รับโอกาสวาสนา

เขารู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง

‘ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหายเหล่านี้ล้วนมีอาการคึกคะนองเช่นนี้เลยหรือ’

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยถึงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมารุนแรงอย่างบอกไม่ถูก

มักจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง

เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับมหายาน ลางสังหรณ์ย่อมมีอยู่จริง

นี่คือการหยั่งรู้ถึงมรรคาสวรรค์!

ไม่ได้!

ต้องไปถามพี่ใหญ่สักหน่อย!

หานเจวี๋ยเริ่มทำความเข้าใจจิตกระบี่ทันที จิตกระบี่หวนคืนของเขาไม่ได้รับการยกระดับมาโดยตลอด จะได้ยกระดับไปด้วยเลย

หนึ่งเดือนต่อมา

ท้องนภาเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้นอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญใต้หล้าล้วนมีอาการสงบมาก มีเพียงมนุษย์ธรรมดาที่รู้สึกประหลาดใจ

สำหรับมนุษย์ธรรมดาแล้ว เวลาหลายทศวรรษนั่นคือชั่วชีวิตของพวกเขา

เป็นการยากที่ชั่วชีวิตหนึ่งจะได้เห็นปรากฏการณ์ท้องฟ้าเช่นนี้

หานเจวี๋ยมาถึงแม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง

เขาก้าวมาตรงหน้าจั้งกูซิงอย่างรวดเร็ว

จั้งกูซิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้มาเพื่อถามเรื่องอันใดเล่า”

ตั้งแต่หานเจวี๋ยมาที่นี่บ่อยครั้ง ทำให้จั้งกูซิงมักจะอดคิดไม่ได้อยู่เสมอว่าเจ้าเด็กนี่จะมาตอนไหนอีก

เขาสงสัยแม้กระทั่งว่าตัวเองอาจจะป่วยก็เป็นไปได้

“ผู้อาวุโส ช่วงนี้โลกมนุษย์ของพวกเราปรากฏผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังได้รับโอกาสวาสนาในช่วงเวลาเดียวกัน ท่านคิดว่ามันปกติหรือไม่” หานเจวี๋ยถาม

จั้งกูซิงเอ่ยตอบ “โลกมนุษย์มีผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่สวรรค์เองก็มีผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อย แต่ผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่ไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง ผู้แข็งแกร่งเองก็ไม่จำเป็นต้องมีดวงชะตายิ่งใหญ่ เจ้าอาจจะคิดมากไปก็ได้”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “แต่ข้ามักจะรู้สึกไม่สบายใจ”

จั้งกูซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจริงๆ มนุษย์มีสีหน้าสดใสขึ้นก่อนที่จะตาย มรรคาสวรรค์ก็มีเช่นกัน มรรคาสวรรค์ในโลกมนุษย์อาจมีลางสังหรณ์ว่าปัญหากำลังจะมา นี่คือการช่วยเหลือตนของมรรคาสวรรค์”

‘โลกมนุษย์จะเกิดปัญหาหรือ’

หานเจวี๋ยรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม

จั้งกูซิงกล่าวต่อว่า “คำนวณดูเช่นนี้แล้ว ข้ากลับเข้าใจขึ้นมาบ้าง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เผ่ามารรุกรานโลกมนุษย์ วังสวรรค์อาจจะต้องการชำระล้างเผ่ามาร พอถึงเวลานั้นเทพเซียนจะลงมาโลกมนุษย์ หากเผ่ามารมีมากเกินไป และวิถีแห่งมารแพร่หลาย วังสวรรค์อาจจะทำลายโลกมนุษย์นี้ทันที

แม้ว่ามรรคาสวรรค์จะเป็นข้อบังคับ แต่อย่าได้คิดว่ามันง่ายเกินไปตลอด”

……………………………………….