บทที่ 147 จิ้งคงจอมเกรี้ยวกราด

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

จิ้งคงยังยืนกรานว่าจะไม่ไปกับเขา เซียวลิ่วหลังจึงเดินไปกั๋วจื่อเจียนเองคนเดียว

เด็กน้อยปิดประตูลงกลอนแน่น ขังตัวเองไว้ในห้องคนเดียว

กู้เจียวมาเคาะประตู “จะไปเรียนได้แล้วหรือยัง”

เสี่ยวจิ้งคงที่ยืนอยู่หลังประตูถามขึ้น “พวกเขาไปกันหมดรึยัง”

กู้เจียวตอบเสียงเบา “ออกไปกันหมดแล้ว”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงขุ่น “ทั้งพี่เขยตัวแสบ พี่เหยี่ยนและพี่เสี่ยวซุ่น ออกไปกันหมดแล้วรึ”

กู้เจียวพยักหน้า “อืม ออกไปกันหมดแล้ว”

จิ้งคงค่อยๆ แง้มบานประตูออก จากนั้นยื่นหัวออกมาสอดส่องรอบๆ มองซ้าย มองขวา

พอมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาถึงสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากห้อง

คงจะยังอายกับเรื่องนั้นอยู่สินะ พวงแก้มนี่แดงเชียว

เพื่อปกปิดความรู้สึกอับอาย จิ้งคงเลยพยายามทำตัวให้ดูเคร่งขรึมดุดันเข้าไว้!

ด้วยความที่ทางเดินค่อนข้างลื่น กู้เจียวเลยอุ้มจิ้งคงขึ้นเพื่อไม่ให้เขาล้มลงไปอีก เดินอุ้มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณด้านหน้ากั๋วจื่อเจียน

ไอ้หยา

จิ้งคงหน้าแดงอีกครั้ง

เขาเป็นเด็กโตแล้ว ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นว่ามีคนอุ้มเขา

แต่เขาต้านอ้อมกอดนี้ไม่ไหวจริงๆ

กู้เจียววางเขาลงตรงหน้าประตูกั๋วจื่อเจียน

จิ้งคงรู้สึกดีที่กู้เจียวอุ้มมาส่ง

แม้ว่าเจ้าสามคนนั้นจะหัวเราะเยาะเขาแต่เช้าตรู่จนทำให้เขาอารมณ์เสีย แต่พอเจียวเจียวอุ้มเขามาส่งที่โรงเรียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด!

“ถึงแล้วนะ” กู้เจียวหยิกพวกแก้มเด็กน้อยเบาๆ

“อื้ม!” จิ้งคงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าเข้าไปก่อนล่ะ!”

“เป็นเด็กดี เชื่อฟังอาจารย์ด้วยล่ะ” กู้เจียวย่อตัวลงมาในระดับสายตาเดียวกับจิ้งคง แล้วจัดเสื้อให้เขา

จิ้งคงเอามือตบที่หน้าอกตัวเอง “อยู่แล้วน่า!”

แน่นอนว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ

อาจารย์ของกั๋วจื่อเจียนนับว่าเก่งกว่าอาจารย์ที่อยู่ประจำโรงเรียนในหัวเมืองเล็กๆ โดยเฉพาะอาจารย์ที่สอนห้องเด็กพิเศษ ล้วนแต่เป็นระดับหัวกะทิทั้งสิ้น

เนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่จิ้งคงไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นความรู้ใหม่ เขาเลยตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ

“เข้าไปเถอะ” กู้เจียวตบเบาๆ ที่หัวไหล่เขา

“แล้วเจอกันเจียวเจียว!” จิ้งคงโบกมือให้กู้เจียว

กู้เจียวยิ้มกริ่มพลางมองเด็กน้อยที่กำลังเดินเข้าไปด้านใน เขาเป็นบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดของกั๋วจื่อเจียน หากไม่มีเครื่องแบบละก็ ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะเดาออกได้เลยว่าเขาเป็นนักเรียนห้องเด็กพิเศษ

หลังจากส่งจิ้งคงเสร็จ กู้เจียวก็กลับไปที่เรือน

ภายในกั๋วจื่อเจียนถูกแบ่งออกเป็นสองเขต เขตหลักเป็นชั้นเรียนกั่วจื่อเจียนทั้งหมดหกระดับ ส่วนเขตรองเป็นพื้นที่ของชั้นปฐมวัย

ห้องเด็กพิเศษตั้งอยู่บริเวณด้านในสุดของกั๋วจื่อเจียน

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าทำเอาเขาเสียเวลาไปพอสมควร จิ้งคงจึงรีบจ้ำอ้าวเข้าห้องเรียน

ขณะที่จิ้งคงกำลังเดินผ่านภูเขาสวนหย่อมอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเด็กอีกคนวิ่งโผล่ออกมาจากทางภูเขาสวนหย่อม

ไม่รู้ว่าใครชนใครก่อน แต่ที่แน่ๆ เด็กทั้งสองล้มลงไปกองบนพื้น

จิ้งคงล้มก้นจ้ำเบ้า ด้วยความที่เขาร่างเล็ก ตอนล้มเลยไม่ได้รู้สึกเจ็บมาก แต่อีกฝ่ายที่กำลังร้องโอดโอยอยู่นั้น ดูเหมือนจะเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว

จิ้งคงตกใจกับเสียงร้องของเขา

เอาแต่นั่งจ้องเด็กอีกคนด้วยสีหน้าตกตะลึง

เด็กคนนี้ส่วนสูงพอๆ กับเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาซึ่งอายุเจ็ดขวบ จิ้งคงเลยเดาว่าเด็กคนนี้น่าจะอายุเจ็ดขวบเหมือนกัน

แต่หากพูดถึงรูปร่าง เพื่อนร่วมโต๊ะของจิ้งคงเป็นคนร่างเล็ก ส่วนเด็กคนนี้มีรูปร่างอ้วนท้วม เผลอๆ อ้วนกว่าหลินเฉิงเย่ด้วยซ้ำ

คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างเริ่มเข้ามามุงดู คงเป็นเพราะเสียงร้องโอดโอยของเด็กคนนี้สินะ

คนเริ่มเข้ามามุงล้อมกันหนาตาขึ้น ต่างคนต่างเอ่ยปากถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนตรงหน้าเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวตื่นตระหนกหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเกิดเรื่องน่ากลัวยังไงยังงั้น

จิ้งคงเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย หรือว่าเข้าจะเจ็บมากจริงๆ

จากนั้นเขาเริ่มร้องไห้แล้วชี้นิ้วมาทางจิ้งคง “เขาชนข้าล้ม! เขาชนข้าล้ม! เขาชนข้าล้ม! รีบไปจับเขาเดี๋ยวนี้!”

กลุ่มคนที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวของเด็กคนนี้เริ่มหันหน้ามาทางจิ้งคง

หนึ่งในบ่าวกลุ่มนั้น มีชายสูงวัยคนหนึ่ง… เอ่อ จิ้งคงไม่คิดว่าเขาดูเหมือนผู้ชาย แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง

จิ้งคงรู้สึกสับสน

ชายคนนั้นยิ้มให้จิ้งคงอย่าเป็นมิตร “เจ้าใช่ไหมที่ชนท่านชายล้มน่ะ”

แม้เขาจะทำหน้ายิ้ม แต่จิ้งคงรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้มาดีแน่ๆ

จิ้งคงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ครุ่นคิดอยู่พักแล้วเอ่ยกลับไป “จะบอกว่าข้าเดินชนเขาก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าพวกเราเดินชนกันต่างหากล่ะ!”

ชายสูงวัยยังคงยิ้มหวานให้เขา “ก็แปลว่าเจ้าชนท่านชายจริงๆ แต่ไม่ต้องกลัวไป ท่านชายน้อยของข้ามิใช่คนไร้เหตุผล เจ้าแค่ไปขอโทษเขาก็สิ้นเรื่อง”

พวกเขายังเด็ก เกลี้ยกล่อมง่ายอยู่แล้ว

แค่ขอโทษกัน ท่านชายน้อยก็ไม่ต้องเสียหน้า เรื่องราวก็จะได้จบลง

แต่จิ้งคงกลับไม่ยอม เขาหันไปมองเด็กคนนั้นด้วยสายตาค่อนขอด “เขาเองก็ชนข้าเหมือนกัน เหตุใดข้าต้องขอโทษเขาด้วย หลังจากที่ข้าขอโทษเขาแล้ว เขาก็ควรขอโทษข้ากลับด้วยเช่นกัน”

ชายสูงวัยพูดไม่ออก

ส่วนท่านชายน้อยยังคงร้องงอแง “ข้าไม่ขอโทษเขา! จับตัวเขาไว้! จับเลย! จับเดี๋ยวนี้! ข้าจะลงโทษเข้า!”

จิ้งคงเริ่มรู้สึกปวดหูเพราะเสียงของเขา ทำไมกั๋วจื่อเจียนถึงมีเด็กแบบนี้อยู่ด้วยนะ

เริ่มมีนักเรียนและบัณฑิตเข้ามามุงดูเหตุการณ์กันมากขึ้น

จนกระทั่งถึงหูพวกอาจารย์

พวกอาจารย์จึงเรียกให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียน จะเหลือก็แต่อาจารย์ประจำชั้นห้องเด็กพิเศษ ซึ่งก็คืออาจารย์เจี่ยง

เขาเพิ่งได้รับข่าวมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อคืนว่าจะมีนักเรียนเพิ่มเข้ามาในห้องเด็กพิเศษ

นักเรียนใหม่ผู้นี้ไม่เคยผ่านการเข้าสอบ ใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ชนมาเข้าเรียน แม้แต่ทางกั๋วจื่อเจียนเองก็มิอาจปฏิเสธพวกเขาได้

อาจารย์เจี่ยงเริ่มทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน

ท่ายชายน้อยร้องเสียงดัง “เขาชนข้า!”

เสี่ยวจิ้งคงรีบแย้งกลับ “ไม่ใช่ พวกเราต่างคนต่างเดินชนกันทั้งคู่!”

แม้อาจารย์เจี่ยงไม่ได้เข้าข้างเด็กอีกคน แต่เขาขอให้จิ้งคงขอโทษเด็กคนนั้นเพื่อให้เรื่องจบ

ตามความเข้าใจของอาจารย์เจี่ยงแล้ว หากจิ้งคงทำผิดจริง เขาไม่มีทางที่จะไม่ยอมรับผิดแน่นอน

ที่จริงแล้ว นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คุยกันด้วยเหตุผล หันหน้าจับมือกันก็น่าจะจบแล้ว

จิ้งคงเป็นเด็กมีเหตุมีผล ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจจะสงบศึก แน่นอนว่าจิ้งคงก็ไม่รั้งรอ

แต่เด็กคนนั้นดันไม่ยอมนี่สิ

ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยต้องมารู้สึกอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้มาก่อน!

“ข้าไม่สน ข้าไม่สน ข้าไม่สน! ถ้าเขาไม่ก้มหัวขอขมาให้ข้า! ข้าก็จะจับเขาเข้าตาราง!”

ร่างของเด็กคนนั้นสั่นกระเพื่อม จนจิ้งคงรู้สึกเหมือนว่ากำลังเกิดแผ่นดินไหวยังไงยังงั้น!

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

ปรากฏรองเจิ้งเดินเข้ามา

อาจารย์เจี่ยงคำนับให้เขา “ท่านรองเจิ้ง”

เนื่องจากจี่จิ้วคนเก่าได้ลาออกไป ส่งผลให้ตอนนี้รองผู้อำนวยการเจิ้งคือคนที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในกั๋วจื่อเจียน วันก่อนเขายังขอให้ราชครูจวงช่วยให้เขาสำเร็จราชการแทนตำแหน่งจี้จิ่ว

และก็ตามคาด ปีหน้าเขาก็จะได้ดำรงตำแหน่งจี้จิ่วประจำกั๋วจื่อเจียนแล้ว

รองเจิ้งเดินวางมาดเข้ามาด้านใน แต่พอเขาเห็นเด็กคนนั้น ก็รีบประสานมือทำความเคารพยกใหญ่

จิ้งคงรู้แค่ว่าคนที่เด็กกว่าจะต้องทำความเคารพให้ผู้อาวุโส เช่น นักเรียนทำความเคารพอาจารย์ แต่ภาพตรงหน้าที่เขาเห็น เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นทั้งผู้อาวุโสและอาจารย์ของท่านรองเจิ้งนี่นา

แล้วเหตุใดท่านรองเจิ้งต้องทำความเคารพเขาด้วยล่ะ

“ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” รองเจิ้งถามด้วยสีหน้ายิ้มเจื่อน

เด็กคนนั้นกระทืบเท้าไปมา ก่อนเอ่ยตอบ “ข้าบอกไปแล้วตั้งกี่หน! ว่าเขาชนข้าล้ม!”

จิ้งคงขมวดคิ้วพลางแย้งขึ้น “ข้าเองก็พูดแล้วตั้งหลายรอบ ว่าต่างคนต่างเดินชนกัน!”

“สามหาว! ใครสั่งใครสอนให้เจ้าพูดจาแบบนี้ ตัวเองเดินไม่ดูตาม้าตาเรืองเอง แล้วมาโทษ…” รองเจิ้งกำลังจะพลั้งปากพูดชื่อและตำแหน่งของเด็กคนนั้น เลยพลันระลึกได้ว่าเขาเข้ามาเรียนในฐานะคนธรรมดาสามัญ รองเจิ้งจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “มาโทษคนอื่นเขาได้อย่างไร! เด็กของกั๋วจื่อเจียนต้องเป็นคนซื่อสัตย์! ไม่รู้กาลเทศะเสียบ้างเลย!”

คราวนี้เสี่ยวจิ้งคงของขึ้นแล้วจริงๆ !

“ข้าเป็นเด็กซื่อสัตย์! รู้กาลเทศะ! และข้าก็รู้กฎเกณฑ์ดี! ก็แค่พวกเราเดินชนกันเท่านั้นเอง! มิใช่ว่าข้าเดินชนเขา และเขาก็ไม่ได้เดินชนข้า! ก็แค่บังเอิญเดินชนพร้อมๆ กัน!”

ทำไมถึงไม่มีใครยอมฟังเขาบ้างเลยนะ

เพราะเสียงของเขาดังไม่พองั้นหรือ

หรือเพราะเขาตัวเล็กเกินไป

เพราะเหตุใดกันนะ

เขาไม่ใช่เด็กที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แต่เขามิอาจยอมรับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อขึ้นได้!

อาจารย์เจี่ยงเองก็รู้สึกว่ารองเจิ้งทำไม่ถูก หากจี้จิ่วยังอยู่คงไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่นอน

“ท่านรองเจิ้ง…” อาจารย์เจี่ยงเอ่ยขึ้น

แต่ไม่ทันไรก็ถูกรองเจิ้งขัดกลางคัน “เจ้าหุบปากไปเลย! นี่นะหรือนักเรียนในความดูแลของเจ้า!”

จิ้งคงกำหมัดแน่น ก่อนจะเอามือไขว้หลังแล้วตอกหน้ารองเจิ้ง “อาจารย์เจี่ยงไม่ผิด! นักเรียนของเขาเปี่ยมไปด้วยเด็กที่มีทักษะยอดเยี่ยม! ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น! คนที่ต้องหุบปาก ควรจะเป็นท่านมากกว่า! ท่านสืบหาว่าใครเป็นคนผิด แต่ท่านไม่แม้แต่จะปริปากเอ่ยถามข้าเลยแม้แต่คำเดียว! ไม่ยุติธรรมเลย! คนอย่างท่านไม่มีความเป็นครูเลยแม้แต่นิด!”

จิ้งคงหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงได้ระเบิดคำพูดออกไปเช่นนั้น

ตั้งแต่เขาเกิดมา ไม่เคยมีใครมาบอกให้เขาหุบปากเพียงเพราะว่าเถียงต่อไม่ได้

ใครที่พูดด้วยเหตุผลล้วนมีสิทธิ์พูดทั้งสิ้น

กู้เจียวเองก็ด้วย

รองเจิ้งเลือดขึ้นหน้าเพราะคำพูดของเด็กสามขวบ แต่ด้วยตำแหน่งของเขา มีหรือที่เขาจะยอมแพ้ไปง่ายๆ

“เอาละ ในเมื่อเจ้าไม่เห็นหัวอาจารย์แล้ว คงอยากโดนโบยแล้วสินะ! ตามคนมา! ไปหยิบไม้บรรทัดมาให้ข้า!”

เด็กคนนั้นพอเห็นว่าจิ้งคงกำลังจะถูกลงโทษ ก็แสดงรอยยิ้มออกมาราวกับผู้ชนะ

ขณะนั้นเอง จู่ๆ มีเงาร่างผอมบางปรากฏขึ้น

แม้ว่าเขาจะอยู่บนไม้ค้ำ แต่เขาเป็นเหมือนต้นสนสีเขียวและต้นไซเปรสในหิมะ เปล่งประกายออร่าที่แข็งแกร่งแต่ทรงพลัง

ทุกคนหันไปทางเขาด้วยสีหน้าตะลึง หนึ่งด้วยท่าทางของเขา สองเพราะหน้าตาของเขา

ดูไปดูมาช่างคล้ายคลึงกับ…

ครั้งแรกที่รองเจิ้งได้เห็นหน้าค่าตาเซียวลิ่วหลัง ก็มีอาการตกตะลึงเช่นนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะชินแล้ว

บนโลกนี้มีคนหน้าตาเหมือนกันตั้งมากมาย รองเจิ้งได้ทำการสืบประวัติของเซียวลิ่วหลังไว้หมดแล้ว ก็เป็นแค่เด็กขาเป๋ที่มาจากเมืองเล็กๆ คนหนึ่งที่พาครอบครัวมาอยู่ที่นี่ด้วยก็เท่านั้น!

ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกับเจาตูเสี่ยวโหวเหย่เลยแม้แต่นิดเดียว!

“รองเจิ้งจะเอาไม้บรรทัดไปโบยใครหรือ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม

รองเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองหน้าเขา

เขาไม่ชอบขี้หน้าเซียวลิ่วหลัง จึงตอบกลับไปแบบขอไปที “ไม่ใช่ธุระของเจ้า!”

“พี่เขย” ตอนแรกจิ้งคงก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก แต่พอได้เจอเซียวลิ่วหลัง ก็รีบวิ่งเข้าไปเกาะที่ต้นขาของเขา

เซียวลิ่วหลังลูบหัวของเขา จากนั้นปราดตามองทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาเย็นชา

“บ้านเมืองมีขื่อมีแป หากต้องการลงโทษเขา เจ้าคิดจะลงโทษเขาด้วยสถานะใดล่ะ หากใช้สถานะบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียน เกรงว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น บอกมาตามตรงเลยดีกว่าว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน”

เด็กชายคนนั้นนิ่งเงียบไป

เขา เขาเป็น…

ไม่ได้

เขาเปิดเผยตัวตนไม่ได้เด็ดขาด

เด็กชายเริ่มกระสับกระส่าย

เขาแค่ต้องซ่อนตัวตนของเขาไว้ คนพวกนั้นจะได้ไม่เผลอหลุดพูดออกมา

เซียวลิ่วหลังหันไปทางรองเจิ้งด้วยสายตาอาฆาต “ท่านบอกว่าเขาไม่เห็นหัวอาจารย์ แต่มีบางคนทำตัวไม่สมกับเป็นอาจารย์ แล้วจะให้เขาเคารพได้อย่างไร”

“เจ้า!” รองเจิ้งถึงกับเถียงไม่ออก

“หากพูดถึงกฎเกณฑ์ วันนี้รองเจิ้งได้กระทำผิดพระราชบัญญัติของกั๋วจื่อเจียนข้อที่เจ็ดสิบแปด ครั้งต่อไป หากท่านจะโบยใคร ควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนว่า ควรเป็นผู้ใดกันแน่ที่ต้องโดนโบย”

เจ็ด เจ็ด เจ็ดสิบแปดอะไรกัน

ขนาดเขาเองยังจำแทบไม่ได้ แล้วนี่อะไร เจ้าเด็กนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

จี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนงั้นรึ

ริอาจใช้กฎของสำนักบัณฑิตมาขู่เขาได้!

รองเจิ้งถูกทำให้อับอายต่อหน้าบุคคลสำคัญ จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน “เจ้า ตามข้ามาที่หมิงฮุยถังเดี๋ยวนี้!”

เขาต้องทำลายความพยศของเด็กคนนี้!

เซียวลิ่วหลังจ้องเขม็งกลับอย่างไม่เกรงกลัว “หมิงฮุยถังเป็นสถานที่ที่มีเพียงจี้จิ่วเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปได้ ว่าแต่ รองเจิ้ง ท่านได้เลื่อขั้นเป็นจี้จิ่วแล้วหรือ”

รองเจิ้งโกรธจนลมแทบจับ!

เจ้าเด็กนี่…บังอาจมาดูถูกว่าเขาไม่ใช่จี้จิ่วที่แท้จริงอย่างนั้นรึ!

เซียวลิ่วหลังเอ่ยทิ้งท้าย “ข้าต้องกลับไปเรียนแล้ว ลาก่อนท่านจี้จิ่วไต้ ”

ประโยคท้ายแทงใจดำรองเจิ้งเข้าอย่างจัง

เขาโมโหจนปวดหัวตุ้บ!

เซียวลิ่วหลังเดินจูงมือจิ้งคงอย่างไม่สนใจใคร

แม้จิ้งคงจะไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ เขาไม่เป็นไรแล้วก็จริง เพียงแต่อารมณ์ยังค้างอยู่

“เป็นอะไรไปรึเด็กน้อย”

เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่มีใครฟังที่ข้าพูดเลย เป็นเพราะข้ายังเด็กเกินไป พวกเขาเลยฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม”

“ไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กเกินไปหรอก แต่เพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ต่างหาก” เซียวลิ่วหลังพูดถึงความไม่ยุติธรรมของโลกใบนี้ให้เขาเข้าใจ

เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกี้ดูเหมือนว่าเขายืนอยู่บนพื้นที่มีระดับค่อนข้างต่ำกว่าคนอื่นจริงๆ เลยตอบเซียวลิ่วหลังไป “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าข้าจะยืนพูดบนเก้าอี้!”

เซียวลิ่วหลังไม่อธิบายกับเขาต่อ พลางตบไหล่เจ้าเพื่อนตัวเล็ก “รีบเข้าไปเรียนเถอะ”

เสี่ยวจิ้งคงเกิดลังเลขึ้นมา

เขาหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า แล้วหันไปเอ่ยกับพี่เขย “หินน้อยบอกว่าวันนี้ไม่อยากเข้าเรียน”

“เขาไม่ต้องเข้าเรียนหรอก แต่เจ้าต้องเข้า” เซียวลิ่วหลังยึดหินก้อนเล็กๆ ของจิ้งคงอย่างไร้ความปราณี

ความหวังจะโดดเรียนของจิ้งคงน้อยเป็นอันจบลง