ตอนที่ 176 มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 176 มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง

จากนั้นก็นึกเชื่อมโยงไปถึงคำว่า ‘เต้าเหยี่ย’ ที่ชายคนนั้นเรียกก่อนหน้านี้อีกครั้ง เซวียนหยวนเต้า? หรือว่านามเซวียนหยวนเต้านี้ต่างหากที่เป็นชื่อจริงของเขา?

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทางคล้ายประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ถูกต้อง เถ้าแก่มีเรื่องใดจะแจ้งหรือ?”

เถ้าแก่ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ผู้น้อยคือฉู่อันโหลว ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเซวียนหยวนต้องคอยเสียนาน ที่พักของท่านจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เชิญตามข้ามาได้เลยขอรับ”

เมื่อได้ยินวาจานี้ ปฏิกิริยาของพวกเผยเหนียงจื่อเป็นอย่างไรย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ดวงตากลมโตของชายหนุ่มตุ้งติ้งเกือบเบิกโตเท่าไข่ห่าน นี่มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า?

พวกเฮยหมู่ตานพากันลอบทอดถอนใจ เจ้าดูสิ ดูเอาสิ คนแบบไหนที่เรียกว่ายอดคนน่ะหรือ แบบนี้อย่างไรเล่า!

ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับทำท่าคล้ายสงสัย เอ่ยถามว่า “เหมือนจะยังไม่มีคนคืนห้องพักหรือเปล่า?”

เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรขอรับ ทางเราจัดการให้ท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ”

ชายหนุ่มตุ้งติ้งพลันทนไม่ไหว หนึ่งล้านเหรียญทองเชียวนะ! ตะโกนขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ ท่านไร้เหตุผลนัก ข้าจ่ายเงินจองก่อน เขามีสิทธิ์อะไรถึงได้เข้าพักก่อน?”

พวกเผยเหนียงจื่อตกใจกับคำพูดนี้ของนางเป็นอย่างมาก เกือบจะหลุดปากตะโกนเรียกบรรพบุรุษของนางแล้ว โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งแห่งนี้ใช่ที่ที่พวกเราจะล่วงเกินได้หรือ?

เผยเหนียงจื่อรีบยื่นมือไปดึงแขนนางไว้ ออกแรงบีบทีหนึ่ง หลังจากชายหนุ่มตุ้งติ้งรู้สึกเจ็บก็ได้สติกลับมาเช่นกัน ท่าทีอ่อนลง มุมปากห้อยตกลงไป ดูคับข้องหมองใจอยู่หลายส่วน

เถ้าแก่กวาดตามองชายหนุ่มตุ้งติ้งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าอย่างยิ้มแย้มอีกครั้งว่า “นี่ใช่สหายของท่านเซวียนหยวนหรือไม่ขอรับ?”

พวกเผยเหนียงจื่อสังเกตเห็นท่าทีของเถ้าแก่แล้ว แล้วก็ฟังความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของเถ้าแก่ออก หากเป็นสหายก็มีวิธีต้อนรับในฐานะสหาย หากมิใช่สหายก็มีวิธีต้อนรับของคนที่มิใช่สหาย จิตใจพลันตึงเครียดขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “เป็นสหายของข้าเอง ทำไม มีปัญหาหรือ?”

“ไม่มีปัญหาไม่มีปัญหาขอรับ” เถ้าแก่รีบโบกมือ จากนั้นก็เอ่ยกับชายหนุ่มตุ้งติ้งด้วยรอยยิ้ม “แม่นางคงจะยังไม่ทราบ ท่านเซวียนหยวนเป็นแขกคนสำคัญ นี่เป็นห้องพักรับรองที่จัดแยกไว้ต่างหาก มิใช่ห้องพักที่เปิดให้บริการต่อภายนอกขอรับ”

เมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีออกมา พวกเผยเหนียงจื่อก็โล่งอก มองไปทางหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความตื้นตัน ขณะเดียวกันก็ยิ่งประหลาดใจระคนสงสัย ‘คุณชายหลี่’ ผู้นี้เป็นใครกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งจัดให้เป็นแขกคนสำคัญได้?

ชายหนุ่มตุ้งติ้งเม้มปาก ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจที่อีกฝ่ายมาเรียกขานตนว่า ‘แม่นาง’ ไม่กล้าเอาคำว่าตาบอดที่ใช้ด่าหนิวโหย่วเต้าก่อนหน้านี้มาใช้กับอีกฝ่าย

“แขกคนสำคัญหรือ?” หนิวโหย่วเต้าคล้ายจะฉงนอยู่บ้าง ชี้ที่ตัวเอง “ข้าน่ะหรือ? ข้านับเป็นแขกคนสำคัญเสียที่ไหน เถ้าแก่จำคนผิดหรือเปล่า?”

“เป็นแขกคนสำคัญจริงๆ ขอรับ” เถ้าแก่ยิ้มพร้อมพยักหน้า ผายมือเชิญให้ไปด้วยกัน “เชิญท่านเซวียนหยวนตามข้าไปยังห้องพักได้เลยขอรับ”

หากมีเพียงนาม ‘เซวียนหยวนเต้า’ นามเดียว บางทีอาจจะมีความเข้าใจผิดกันได้ แต่หลังจากตรวจสอบยืนยันชื่อที่พวกเฮยหมู่ตานลงชื่อแล้ว เขาก็ทราบว่าไม่มีทางผิดพลาด

“เรื่องไปห้องพักไม่ต้องรีบร้อน หากข้าเป็นแขกคนสำคัญจริง เช่นนั้น ข้าเพิ่งมาเยือนหอหิมะเหมันต์เป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เถ้าแก่ไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยได้หรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยการทดสอบและหยั่งเชิง

เถ้าแก่หัวเราะฮ่าๆ เข้าใจไปเองว่าเขาคงยังไม่เชื่อสักเท่าไร ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะขอรับ ตกลง ข้าจะไปเดินเล่นกับท่านเดี๋ยวนี้ ท่านเซวียนหยวนโปรดรอประเดี๋ยว เดี๋ยวข้าขอไปสั่งงานสักครู่” กล่าวจบก็เดินไปทางโต๊ะเก็บเงิน เอ่ยสั่งการเสี่ยวเอ้อที่อยู่หลังโต๊ะเก็บเงินครู่หนึ่ง

จากนั้นเดินกลับมา ผายมือเชิญหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง

ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับชี้ไปที่พวกเผยเหนียงจื่อ เอ่ยถามว่า “สหายของข้าเข้าพักด้วยกันได้หรือไม่?”

“ในเมื่อเป็นสหายของท่านเซวียนหยวน ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ท่านต้องลำบากใจขอรับ” เถ้าแก่ตอบตกลงอย่างเต็มปาก หันกลับไปกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อสองสามคนมา ชี้ไปทางพวกเผยเหนียงจื่อ “พาสหายของท่านเซวียนหยวนไปยังห้องพักแขกคนสำคัญ”

พวกหนิวโหย่วเต้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยมีเถ้าแก่คอยนำทาง ไปเดินเล่นชมสถานที่ที่เรียกว่าหอหิมะเหมันต์

พวกเผยเหนียงจื่อที่ยืนอยู่ที่เดิมมองดูพวกหนิวโหย่วเต้าอย่างมึนงง เสี่ยวเอ้อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเอ่ยเชิญซ้ำๆ ไม่รู้เลยว่าควรตามเสี่ยวเอ้อไปหรือไม่

สิ่งที่ทำให้ทั้งสี่ตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งไปเดินเล่นชมหอหิมะเหมันต์เป็นเพื่อนหนิวโหย่วเต้าด้วยตัวเอง ตอนที่เห็น ‘คุณชายหลี่’ คนนี้ควักตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาซื้อความสงบในจุดพักหน้าก่อนหน้านี้ พวกเผยเหนียงจื่อก็รู้สึกได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ไม่กล้าทำอะไรล่วงเกินอีกฝ่าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คล้ายยิ่งเป็นการตอกย้ำการคาดเดาของพวกเขา

พวกเผยเหนียงจื่อตกใจระคนสงสัยเป็นอย่างมาก กำลังใคร่ครวญอยู่ว่า ‘คุณชายหลี่’ ผู้นี้เป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เซวียนหยวนเต้าหรือ? ใต้หล้านี้มียอดคนแซ่เซวียนหยวนด้วยหรือ? หรือว่าสำนักและเบื้องหลังของคนผู้นี้จะยิ่งใหญ่จนน่าตกตะลึง?

สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไร พวกเขาต่างแอบรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ โชคดีที่ไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นที่จุดพักม้า มิเช่นนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดปัญหาใหญ่โตอันใดขึ้นหรือไม่

พวกเผยเหนียงจื่อทั้งสามมองไปทางคุณชายที่ตกตะลึงเหม่อลอย โอดครวญอยู่ในใจ เคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ หนึ่งล้านเหรียญทองเชียวนะ! สำหรับคนอื่นแล้ว นี่คือเงินจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่งเลยนะ! มิใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย!

ไม่สิ ไม่ใช่แค่หนึ่งล้านเหรียญทอง เป็นสองล้านเหรียญทองต่างหากล่ะ ยังมีเดิมพันไปเยือนสถานที่พำนักอันงดงามแห่งนั้นอีกหนึ่งล้านเหรียญทอง ดีไม่ดีอาจจะแพ้เดิมพันเช่นกันก็ได้

จากสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งมีท่าทีเป็นมิตรอ่อนน้อมเช่นนี้ หากเซวียนหยวนเต้าคนนั้นคิดจะเข้าไปในพื้นที่งามวิจิตรแห่งนั้นเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร

ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว มิน่าเล่าคนผู้นั้นถึงได้กล้าเดิมพันเรื่องเข้าไปเยือนสถานที่งดงามแห่งนั้นกับคุณชาย เพราะอีกฝ่ายมีความมั่นใจอยู่จริงๆ นี่เอง!

ปัญหาสำคัญคือหากว่าเซวียนหยวนเต้าผู้นั้นมีเบื้องหลังที่น่าตกตะลึงจริงๆ ผู้ใดจะกล้าบิดพลิ้วไม่จ่ายเดิมพันเล่า? จากสิ่งที่ได้เห็นไปเมื่อครู่นี้ ประเดี๋ยวหากคนผู้นั้นบอกให้ทางนี้จ่ายเงินทันที ทางนี้จะกล้าไม่จ่ายได้หรือ? สองล้านเหรียญทองเชียวนะ! จู่ๆ ก็ต้องเสียไปแบบนี้

…..

“ทุกท่านเชิญตามข้ามาได้เลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อรอคอยด้วยความอดทน เอ่ยเชิญอีกครั้ง

เรียกได้ว่าน้ำใจที่หยิบยื่นให้ยากจะปฏิเสธได้จริงๆ ขณะที่พวกเผยเหนียงจื่อกำลังมองกันไปมองกันมา กลับเป็นชายหนุ่มตุ้งติ้งที่เอ่ยขึ้นมาอย่างว่าง่าย “ไปเถอะ อย่าทำให้คนเขาลำบากเลย!”

ทั้งสามคนผงะไป เหตุใดจู่ๆ คุณชายถึงได้กลายเป็นคนพูดง่ายขึ้นมาเสียเล่า?

บนหน้าผาของหุบเขา หนิวโหย่วเต้าเดินเคียงคู่ไปกับเถ้าแก่ เถ้าแก่ชี้ไม้ชี้มือคอยแนะนำอะไรต่อมิอะไรให้หนิวโหย่วเต้าไปตลอดทาง

พวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่เดินตามหลังไปช้าๆ ช่างมีหน้ามีตาจริงๆ

จะไม่ให้รู้สึกมีเกียรติก็คงเป็นไปได้ยาก ฉู่อันโหลวที่เป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งมาเดินเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง ซ้ำยังทำเหมือนกำลังนำเที่ยวอยู่ ทำให้คนมากมายในหุบเขาแห่งนี้ต่างรู้สึกแปลกใจ ไม่ทราบว่าใครกันที่ทำให้ฉู่อันโหลวมานำเที่ยวด้วยตัวเองได้

“เฮยหมู่ตาน พี่ต้วน พี่เหลย พี่อู๋”

ข้างทางพลันมีผู้บำเพ็ญเพียรประสานมือเอ่ยทักทาย

ทั้งสี่คนพยักหน้าทักทายคนผู้นั้นกลับ ไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมากนัก แต่ก็นับว่ารู้จักกัน เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่ง

ทั้งสี่คนก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยมาหอหิมะเหมันต์เป็นครั้งแรก ในอดีตพวกเขาก็เคยมาหาโอกาสที่หอหิมะเหมันต์เช่นกัน เพียงแต่หลักๆ แล้วจะอยู่ที่เมืองไจซิง และผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักของที่นี่ก็เคยไปแสวงหาโอกาสที่เมืองไจซิงเช่นกัน จะมีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักของที่นี่รู้จักพวกเขาบ้างก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด ตอนที่เพิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมก็มีคนมาทักทายเช่นกัน

ทั้งสี่มองเห็นแววตาอิจฉาริษยาที่อยู่ในดวงตาของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านี้ บางคนถึงขนาดเผยสีหน้าอยากจะมาประจบเอาใจพวกเขาด้วย พวกเขาเข้าใจดีว่าคนพวกนี้กำลังอิจฉาในเรื่องใด อิจฉาที่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้ คิดไม่ถึงว่าไม่ทันไรก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับนี้ได้

พบคนรู้จักก็เพียงพยักหน้าทักทายเท่านั้น ไม่ได้คิดจะพูดคุยด้วย ส่วนเจตนาประจบเอาใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ทั้งสี่คนไม่คิดจะสนใจเลย

มิใช่เพราะพวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วจึงทำตัวเย่อหยิ่ง หากแต่เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องพวกเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ และทราบดีว่าคนทั่วไปยากจะเข้าใกล้เต้าเหยี่ยได้ อย่าเห็นว่าเต้าเหยี่ยชมชอบคบค้าสหายแล้วจะเข้าใกล้ได้ง่ายๆ การคบค้าสหายกับการเข้าใกล้เต้าเหยี่ยผู้นี้เป็นคนละเรื่องกัน

กระทั่งเหลยจงคังในเวลานี้ก็ยังอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนเลย แต่เฮยหมู่ตานกลับทราบถึงสถานการณ์ของตนดี นึกถึงตอนแรกที่ได้พบเต้าเหยี่ย นางถูกเต้าเหยี่ยหยั่งเชิงซ้ำไปซ้ำมา ถูกปั่นหัวจนแทบจะเป็นบ้า ถูกกลั่นแกล้งจนร้องไห้คร่ำครวญออกมา นางรู้ว่าเต้าเหยี่ยเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก มองคนเป็น มิใช่ว่าใครจะได้รับการยอมรับจากเขาง่ายๆ

แต่แน่นอน อันที่จริงตอนนี้ทั้งสี่คนก็มีคุณสมบัติที่จะดูแคลนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นแล้วจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย ลำพังแค่ตั๋วแลกทองที่พวกเขามีอยู่ก็สามารถทำให้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นอิจฉาจนน้ำลายหกได้แล้ว

“คนที่ฉู่อันโหลวเดินเป็นเพื่อนผู้นั้นคือใครกัน?”

กระทั่งพวกหนิวโหย่วเต้าเดินผ่านไปแล้ว ก็มีคนมาสอบถามผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนนั้นทันที ต้องการสืบประวัติของหนิวโหย่วเต้า

“เถ้าแก่หลี่ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไม่รู้? เมื่อกี้เจ้าเพิ่งจะทักทายพวกเขาไปมิใช่หรือ?”

“ข้ารู้จักแค่สี่คนที่เดินอยู่ด้านหลังเท่านั้น สี่คนนั้นเดิมทีก็เป็นบำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นเดียวกับข้า ปีก่อนยังเห็นพวกเขาอยู่ที่เมืองไจซิงอยู่เลย ชีวิตไม่แน่ว่าจะดีไปกว่าข้า ผ่านไปแค่พริบตาเดียว ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมาเหมือนกัน..เฮ้อ คนเหมือนกันแต่วาสนากลับแตกต่างกัน โชคไม่ดีเท่าเขา!”

คนของร้านค้าจำนวนไม่น้อยพากันแตกตื่นฮือฮา ออกมาสังเกตการณ์ดู แล้วก็มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากที่ไม่รู้จักฉู่อันโหลวต่างพากันสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้

ณ ร้านค้าของสำนักเซียนสถิต เซียวเถี่ยผู้เป็นเถ้าแก่ร้านยืนอยู่ตรงหน้าประตูร้าน มองดูกลุ่มของฉู่อันโหลวเดินผ่านไป เริ่มแรกเขาให้ความสนใจหนิวโหย่วเต้าเพียงเพราะมีฉู่อันโหลวเดินมาเป็นเพื่อนด้วย แต่หลังจากได้เห็นหน้าตาของหนิวโหย่วเต้าก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งได้เห็นคนทั้งสี่ที่เดินตามหลังมา โดยเฉพาะหลังจากเห็นว่ามีสตรีผิวคล้ำคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เปลือกตาเขาพลันกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

มองเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลคล้ายมีคนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ เซียวเถี่ยจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป เอ่ยถามว่า “คนที่มากับฉู่อันโหลวเมื่อครู่นี้คือผู้ใด?”

มีคนตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ยินมาว่าสี่คนด้านหลังนั้นเดิมทีเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในเมืองไจซิง ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนมาถึงยกระดับขึ้นมาได้”

เซียวเถี่ยหันกลับไปมองกลุ่มคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปทันที ดวงตาฉายแววตื่นตะลึง เป็นหนิวโหย่วเต้าจริงๆ ด้วย!

ทางเขาก็ได้รับภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้าที่ทางสำนักส่งมาให้เหมือนอย่างร้านค้าของสำนักเซียนสถิตที่อยู่ในเมืองไจซิง เมื่อครู่เห็นว่าหน้าตาค่อนข้างคล้ายคลึงกัน อีกทั้งช่วงนี้ได้รับข่าวจากทางสำนัก บอกว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังจะมาที่นี่ เขาจึงสงสัยยิ่งกว่าเดิม แต่เนื่องจากมีฉู่อันโหลวมาด้วย จึงทำให้เขาไม่กล้ามั่นใจ

ข้อความที่ทางสำนักส่งมาก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นคือต้องกำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้งซะ สมาชิกอีกหลายคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพื้นที่ของหอหิมะเหมันต์ก็เร่งเดินทางมาถึงกันแล้ว เวลานี้แยกย้ายกันออกไปจับตาดู แต่เนื่องจากพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล กำลังคนจึงยังมีไม่พอ แต่ก็ไม่เป็นไร กำลังคนส่วนใหญ่ที่ทางสำนักส่งมาใกล้จะมาถึงแล้ว!

เวลานี้พบตัวหนิวโหย่วเต้าผู้นี้แล้ว แต่เขาไปอยู่กับฉู่อันโหลวได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าฉู่อันโหลวจะเดินมาเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เบื้องหลังของฉู่อันโหลวคือกลุ่มอิทธิพลของยอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของใต้หล้านี้ คำพูดเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้สำนักเซียนสถิตหายไปจากโลกนี้ได้แล้ว มิใช่คนที่สำนักเซียนสถิตจะไปล่วงเกินได้เลย และทั่วทั้งใต้หล้านี้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนที่กล้าล่วงเกิน นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ หากแต่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง เซียวเถี่ยรีบกลับเข้าไปในร้านเพื่อส่งข่าวกลับไปหาสำนักอย่างเร่งด่วน!

หลังเดินลงไปจากหน้าผาทางฝั่งนี้ ยามที่เดินข้ามธารน้ำมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอีกฝั่งหนึ่ง ฉู่อันโหลวชี้ไปทางสระน้ำแห่งหนึ่งที่มีไอน้ำลอยฟุ้งขึ้นมา อธิบายว่า “พื้นที่แถบนี้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ไม่น้อย ลงไปแช่แล้วผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ภายในห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ท่านเซวียนหยวนได้มีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับดึงน้ำจากน้ำพุร้อนไปใช้อาบเอาไว้ อีกประเดี๋ยวท่านเซวียนหยวนลองแช่ดูได้ขอรับ ดูว่ารู้สึกเป็นอย่างไร”

………………………………………………….