ลอบออกคำสั่งให้ทหารแดนเหนือไม่ปรองดองกับชาวจิน
ไม่ต้องพูดถึงทหารกับชาวจินไม่ปรองดองคือการจุดความขัดแย้งทำให้ชายแดนไม่มั่นคง แค่พูดถึงลอบออกคำสั่งกระทำโดยพลการขัดขืนเจ้าแผ่นดินในสายตาไม่มีนายเหนือหัว
นี่ล้วนเป็นโทษหนักที่ต้องถูกกล่าวโทษ
เฉิงกั๋วกงถึงกับยอมรับแล้ว?
ถ้าอย่างนั้นหลักฐานขององครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ต้องเอาออกมาแล้ว
ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้านิ่งเฉย ไม่ได้ผิดหวังหรือโกรธเกรี้ยว คล้ายสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน
แต่ขุนนางใหญ่คนอื่นไม่อาจแสร้งทำเป็นสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน ในท้องพระโรงหลังเงียบงันครู่หนึ่งก็ตกอยู่ท่ามกลางเสียงเอ็ดตะโร
“เฉิงกั๋วกงกล้านัก!”
“ใจเนรคุณ!”
ไม่ใช่แค่ผู้ตรวจการคนนั้น ขุนนางใหญ่มากกว่าเดิมพากันก้าวออกมาตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว
ฮ่องเต้คล้ายถูกสถานการณ์นี้ทำให้ตกใจ ทั้งคล้ายตกตะลึงผิดหวังไม่อยากเชื่อเพราะคำพูดของเฉิงกั๋วกง
“หุบปากให้หมด” พระองค์ตะโกน แล้วทอดพระเนตรเฉิงกั๋วกงอีกครั้ง “เฉิงกั๋วกง นี่มีอะไรเข้าใจผิดกระมัง?”
คำนี้ทำให้ผู้ตรวจการหลายคนที่เงียบลงไม่พอใจอย่างมาก
“ฝ่าบาท ท่านตามใจจูซานคนนี้เกินไปแล้ว”
“ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นเช่นนี้ จูซานถึงยิ่งทำตามอำเภอใจ”
“ฝ่าบาทท่านเชื่อเขาไม่เชื่อพวกเรา ถูกเขาทำให้งมงายมากเกินไปแล้วจริงๆ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางเฒ่าหลายคนยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
ในท้องพระโรงตกอยู่ท่ามกลางเสียงอื้ออึง
ขันทีใหญ่ทั้งหลายไม่อาจไม่ปรามขุนนางใหญ่ทั้งหลายให้เงียบแทนฮ่องเต้
“สิ่งที่พวกเจ้าสมควรพูดข้าก็ให้พวกเจ้าพูดแล้ว ตอนนี้ข้าต้องการฟังว่าเฉิงกั๋วกงจะพูดอย่างไร” ฮ่องเต้ตรัส พลางมองไปทางเฉิงกั๋วกง “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าทำเช่นนี้จริงหรือ?”
เฉิงกั๋วกงพยักหน้า
“กระหม่อมทำเช่นนี้จริงพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทไม่ต้องให้ผู้ตรวจการเหล่านี้สอบสวน”
เขามองไปทางลู่อวิ๋นฉีอีกครั้ง
“แล้วก็ไม่ต้องให้พวกองครักษ์เสื้อแพรสืบสวนด้วย”
เขามองไปทางฮ่องเต้อีกครั้ง
“เพราะกระหม่อมทำเช่นนี้เสมอมา” เขาเอ่ย “บอกทหารระดับบนระดับล่างที่แดนเหนือเสมอมาว่าต้องระวังชาวจินตลอดไป”
ร่างของเขาเหยียดตรง เสียงทุ้มนุ่มน้ำเสียงสบายๆ แต่ที่แปลกคือเหล่าขุนนางในท้องพระโรงฉับพลันรู้สึกตึงเครียดกดดันอยู่บ้าง
เสียงของเฉิงกั๋วกงยังคงดังต่อไป นอกจากนี้มองไปทางขุนนางใหญ่สองฝั่ง
“….ต้องไม่เกรงใจ”
“….ต้องโหดเหี้ยม”
“…ไม่มีเรื่องก็ต้องก่อเรื่อง”
“ต้องคว้าทุกโอกาสกำราบไว้”
“ไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาส”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงตาโตอ้าปากค้าง
บ้าไปแล้วหรือ พูดอะไรน่ะ?
หนิงอวิ๋นเจาที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มศีรษะลง
ดูสิ นี่ถึงเป็นเฉิงกั๋วกงที่แท้จริง ไม่เหมือนภายนอกของเขาที่สว่างอ่อนโยนดีงามเช่นนั้น เขาชอบสงครามจริงๆ ห้าวหาญจริงๆ แข็งกร้าวอย่างแท้จริง
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะข้าทำศึกกับพวกเขามาทั้งชีวิต ข้ารู้สันดานของพวกเขากระจ่างยิ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ “เป็นฝ่ายผูกมิตรไม่มีทางทำให้พวกเขาสวามิภักดิ์ได้แน่นอน ส่วนพวกเขาเป็นฝ่ายผูกมิตรย่อมต้องมีใจทะเยอทะยานโฉดชั่ว”
เขารั้งสายตากลับมามองไปหาฮ่องเต้
“ดังนั้นฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ที่แดนเหนือสั่งทหารเช่นนี้ กระหม่อมไม่อยู่ที่แดนเหนือก็สั่งพวกเขาเช่นนี้ ยามสงครามสั่งเช่นนี้ ไม่ใช่ยามสงครามก็สั่งเช่นนี้”
ฮ่องเต้สีหน้าไม่รู้จะทำอันใดอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้น นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” พระองค์เอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงมองมาหาพระองค์
“แผ่นดินแคว้นต้าโจวของเราสักชุ่นสักฉื่อก็สละไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินใกล้จุดสำคัญ วันนี้ชาวจินอยู่ด้านข้างหนึ่งวัน แผ่นดินที่ราบกลางก็ไม่ปลอดภัยหนึ่งวัน วันนี้ยอมยกให้สามเมือง วันหน้าย่อมต้องเสียหลายเมือง วันนี้เจรจาสงบศึกง่ายเท่าใด วันหน้าย่อมรบโหดร้ายมากเท่านั้น” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง ชูป้ายเตือนความจำขึ้นค้อมกาย “ดังนั้นสถานการณ์เวลานี้อันตรายยิ่งกว่าก่อนหน้า ไม่อาจวางใจเพราะเจรจาสงบศึก กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทยิ่งเข้มงวดกับหน้าที่ทหาร ป้องกันชาวจินอย่างเข้มงวด ไม่อาจปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยนแม้แต่น้อย”
พูดจบก็ยกชายเสื้อคุกเข่าลง
“นอกจากนี้หาโอกาสทำศึกอีกครั้ง” เขาค้อมกายโขกศีรษะ
ถึงกับยังขอทำศึกอีก!
“จูซาน เจ้ากล้านัก”
ขุนนางคนอื่นยังไม่ทันตอบสนองก็มีคนตวาดโกรธเกรี้ยวคำหนึ่ง
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นหวงเฉิงหัวเราะหยันก้าวออกมา
“กระหม่อมขอทรงลงโทษเฉิงกั๋วกงจูซานโทษฐานกบฏก่อภัยแก่ราชสำนัก” เขาค้อมกายให้ฮ่องเต้พลางเอ่ยขึ้น แล้วมองไปทางเฉิงกั๋วกง “จูซาน ตั้งแต่เจ้านำทหารที่แดนเหนือมา ชาวจินพ่ายแพ้แต่ไม่เสียหาย ยิ่งวันนี้เหิมเกริมรุกราน ทหารแดนเหนือของพวกเราพ่ายแพ้ เสียเมืองไม่หยุด นี่ก็คือกองทัพเหนือใต้ปกครองของเจ้า เจ้ายังมีหน้าอะไรมาเอ่ยวาจาใหญ่โตไม่ละอายที่นี่?”
“ชาวจินสั่งสมสรรพกำลัง บำรุงทหารอาชา เลือกใช้แม่ทัพกล้า ไม่เสียดายกำลังคนกำลังทรัพย์ ถึงมีทหารแข็งแกร่งอาชาพ่วงพีวันนี้” เฉิงกั๋วกงคุกเข่าหันหน้ามองไปทางหวงเฉิงเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด
หวงเฉิงหัวเราะหยัน
“ความหมายของเจ้าคือราชสำนักเราไม่บำรุงทหารอาชาไม่ใช้แม่ทัพเก่งกล้า เสียดายกำลังคนกำลังทรัพย์ถึงมีเรื่องพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้?“ เขาเอ่ย
“จุดนี้ใต้เท้าหวงรู้ดีอยู่แก่ใจ เบี้ยหวัดเสบียงรางวัลที่แดนเหนือของเราหลายปีนี้ไม่เคยให้เพียงพอตามเวลา” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “แต่ละระดับขูดรีด แต่ละชั้นยักยอก”
หวงเฉิงสบถ
“บ้าบอน่าขัน หน้าด้านไม่รู้จักอาย” เขามองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “รบชนะเพราะเจ้าปกครองกองทัพได้เหมาะสม ทำศึกแพ้เพราะความผิดของราชสำนัก เจ้ายกยอตนเองว่าเก่งกล้าชำนาญศึก กลับเมินเฉยหลักการระวังภายในผ่อนปรนภายนอก ละโมบความชอบกระหายสงคราม ผลาญท้องพระคลังแคว้นของพวกเรา สังเวยทหารดีหลายหมื่นของกองทัพเหนือเราให้ชาวจิน จนแคว้นว่างเปล่าทหารเสียหาย โชคดีได้เจรจาสงบศึกประเทศประชาชนถึงได้พักฟื้นอย่างสงบ เจ้ากลับยังจะทำศึก เจ้าจะมอบต้าโจวของเราให้ชาวจินด้วยใช่หรือไม่!”
ขุนนางคนอื่นก็พากันก้าวออกจากแถวมาด้วย
“ฝ่าบาท ไม่อาจทำศึกอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ทุ่มทหารบุ่มบ่ามทำศึกจะสิ้นชาตินะพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาพากันค้อมกายเอ่ย
ฮ่องเต้สายตากวาดบนร่างขุนนางทั้งหลาย ท้ายที่สุดมองไปหาเฉิงกั๋วกง ยกมือห้ามทุกคนโวยวาย
“เฉิงกั๋วกง” เขาเอย “ที่แท้จนถึงเวลานี้นาทีนี้เจ้าก็ยังไม่เห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก”
เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนแววตาสงบนิ่ง
“ฝ่าบาท ชาวจินรวบรวมทหารมาทำศึกกับข้าจนหมดสิ้น ทรัพย์สินของแว่นแคว้นผลาญจนว่างเปล่า เวลานี้สมควรฮึดทีเดียวปราบให้พ่ายแพ้ ไม่อาจให้โอกาสพวกเขาได้หายใจเด็ดขาด แม้เจรจาสงบศึกแล้ว แต่ชาวจินเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึก ทางเราอย่างไรก็กำลังใจทหารฮึกเหิม เวลาเหมาะ ชัยภูมิได้เปรียบ คนสามัคคี โอกาสยากจะเสีย” เขาค้อมกาย “กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดมุ่งหวังสิ่งนี้”
ที่ประชุมส่งเสียงเอะอะอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีฎีกา” หวงเฉิงเอ่ยพลางยื่นมือชี้ไปด้านหลัง “ยกฎีกาเข้ามา”
ฎีกา?
ฮ่องเต้พระขนงมุ่นเล็กน้อย พยักหน้าให้ขันที ขันทีทั้งหลายรับคำสั่งตอนนี้ถึงออกไป ไม่นานก็ยกกล่องใบหนึ่งเข้ามา เปิดฝาออกฎีกาเทพรืดร่วงเกลื่อนพื้น
“นี่ล้วนเป็นฎีกาเชิญกลับที่แม่ทัพแดนเหนือส่งมาหลังเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง ล้วนขอเชิญเฉิงกั๋วกงกลับแดนเหนือ”
“พวกเขากดดันราชสำนัก เมินเฉยงานราชการคำสั่งราชสำนัก”
“ชิงเหอปั๋วที่แดนเหนือทุกก้าวย่าวทำงานลำบาก แม่ทัพมณฑลต่างๆ ฉากหน้ารับคำสั่งเบื้องหลังขัดขืน”
ขุนนางหลายคนก้าวออกมาเอ่ย
ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น ชี้มือชี้ไม้ใส่ฎีกาด้านนี้ สีหน้าไม่อยากเชื่อทั้งยังส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรฎีกาที่กระจายเกลื่อน ฟังเสียงวิพากวิจารณ์หึ่ง สีพระพักตร์ค่อยๆ เคร่งขรึม
“ฝ่าบาท มีจูซานอยู่วันหนึ่ง ความขัดแย้งที่ชายแดนก็ไม่มีวันจบวันหนึ่ง” หวงเฉิงเอ่ย ค้อมกายคำนับ “กระหม่อมขอให้ปลดหน้าที่ทางทหารของเฉิงกั๋วกง กระหม่อมขอโปรดลงโทษเฉิงกั๋วกงโทษฐานใช้อำนาจในทางมิชอบแอบอ้างสิทธิทั้งภายในและภายนอก”
ขุนนางมากกว่าเดิมคุกเข่าลงพากันเอ่ยตาม
ชั่วเวลาหนึ่งทั้งท้องพระโรงล้วนเป็นเสียงขอให้ลงโทษเฉิงกั๋วกง
มีเพียงสี่คนไม่ได้อยู่ในนั้น คนหนึ่งคือลู่อวิ๋นฉี นี่ย่อมไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็นด้วย คนหนึ่งคือหนิงอวิ๋นเจา นี่เพราะฮ่องเต้ยังไม่เอ่ยโอษฐ์ ส่วนเฉิงกั๋วกงก็ไม่ได้เอ่ยวาจา ค้อมกายโขกศีรษะขอร้องเช่นกัน
คำขอร้องวิงวอนของเขาย่อมไม่เหมือนกับขุนนางทั้งหลายเหล่านี้
“จูซาน” ฮ่องเต้อ้าปากเอ่ย “ข้าไม่ถามเรื่องที่เจ้าปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดน”
ถึงกับไม่เอาผิดเรื่องนี้? ฮ่องเต้จะปล่อยเฉิงกั๋วกงไปอีกแล้วหรือ?
ขุนนางทั้งหลายพากันเงยหน้าขึ้น
เฉิงกั๋วกงก็เงยหน้าขึ้นด้วย
“ข้าเพียงถามเจ้า ไม่ทำศึกได้ไหม?” ฮ่องเต้ตรัสถาม
หวงเฉิงที่ค้อมกายอยู่ขมวดคิ้ว ฝ่าบาทนี่คิดจะถอยเพื่อรุกไม่ใช่เสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ? จูซานน่ะหน้าไม่อายยิ่งนัก ไม่แน่ที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ก็เพื่อบีบฮ่องเต้ให้ตรัสประโยคนี้ออกมา อย่างไรวันนี้ที่ถามหาความผิดก็คือเรื่องที่เขาปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดน ฮ่องเต้ยามนี้ปล่อยเรื่องนี้ เขาพอดีไหลตามสถานการณ์ตอบรับ
อย่างไรเจรจาสงบศึกลุล่วงแล้ว ทำสงครามหรือไม่ทำสงครามก็เป็นเพียงถ้อยคำว่างเปล่าไม่กี่คำเท่านั้น
ครั้งนี้ก็จะถูกเขาหนีรอดไปได้อีกแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปก็ลำบากอยู่บ้างแล้ว
หวงเฉิงครุ่นคิดกำลังจะพูดอะไรบ้าง เฉิงกั๋วกงพลันเอ่ยปากแล้ว
“ฝ่าบาท กระหม่อมทำไม่ได้” เฉิงกั๋วกงค้อมกายโขกศีรษะ เสียงอ่อนโยนทว่าหนักแน่น “เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะไม่ทำศึกก็สงบได้”
หวงเฉิงผ่อนลมหายใจ ได้ยินเสียงฮ่องเต้ดังมาเหนือศีรษะ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าลาออกจากตำแหน่งเสียเถิด”
……………………………………….
……………………………………….
เฉิงกั๋วกงลาออกจากตำแหน่งแล้ว!
เฉิงกั๋วกงลาออกจากตำแหน่งแล้ว!
ข่าวประหนึ่งลมพัดวูบหนึ่งกระจายไปในเมืองหลวง กระจายไปข้างนอกรอบทิศ
“ลาออกจากตำแหน่งอะไรเล่า” ผู้เฒ่าคนหนึ่งนอกเพิงน้ำชาข้างถนนใหญ่ส่ายศีรษะ “นั่นคือปลดจากตำแหน่ง เพียงแต่ฮ่องเต้ไว้หน้าเฉิงกั๋วกง ถึงให้เขาลาออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็น่าฟัง ดูดีกว่าปลดจากตำแหน่งอยู่บ้าง”
สนทำไมว่าเขาถูกปลดจากตำแหน่งหรือลาออกจากตำแหน่ง ชาวบ้านที่ฟังเรื่องสนุกอยู่ไม่สนใจกระบวนการสนใจเพียงผลลัพธ์
“หลังจากนั้นเล่า? เฉิงกั๋วกงออกจากตำแหน่งจริงๆ แล้วไหม?” พวกเขาเอ่ยถามอย่างรีบร้อน
ผู้เฒ่าพยักหน้า
“ออกจากตำแหน่งแล้ว” เขาเอ่ย
ได้ยินถึงตรงนี้จูจั้นพลันโยนเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก คุณหนูจวินรีบติดตามไป
“ท่านกั๋วกงทำเช่นนี้ต้องมีความคิดของตนเองแน่” นางเอ่ย
จูจั้นจูงม้า ยิ้มแล้ว
“ก็ไม่มีสิ่งใดต้องคิด” เขาเอ่ย “เข้าเมืองหลวงไปดูสักหน่อย ตอนนี้ก็แค่ดูกระจ่างแล้วเท่านั้น”
………………………………