บทที่ 153 คิดแต่เรื่องเรียนตลอดทั้งวัน
ซูฉางจิ่วไม่ได้ตอบกลับชั่วขณะ ทำไมต้องส่งข้อความหาผู้อำนวยการหลี่ด้วย?
เพียงเพื่อไข่ไก่ไม่กี่ฟอง จะให้เขามาหาเป็นพิเศษเลยหรือ?
แบบนี้ไม่คุ้มค่าหรอก!
อีกฝ่ายเป็นคนดีมันก็เป็นเรื่องจริง แต่คงไม่ลงทุนมาเพราะเรื่องนี้หรอก
อีกอย่าง ไข่พวกนี้เขาคิดไว้แล้วว่าจะทำอะไร ให้ผู้อำนวยการหลี่ไม่ได้หรอก
“ไก่ออกไข่มาขนาดนี้ต้องบอกให้คนอื่นรู้แล้วว่าพวกมันเริ่มออกไข่ จะได้สงบสติกันได้” คุณปู่ซูพูดอย่างเคร่งขรึม
อันที่จริง ตอนนี้คุณปู่ซูอยู่ภายใต้ความกดดันตลอดเวลา
จริงอยู่ว่าเราทำฟาร์มไก่ แต่เราติดหนี้คนอื่นอยู่นะ
ลูกไก่ อาหารไก่ ล้วนเป็นของที่ผู้อำนวยการจัดหามาให้นะ แต่ต่อให้ไม่ได้เอาเงินก็ถือว่าเป็นหนี้อยู่ดี
แล้วถ้าเลี้ยงไม่ดี คงไม่ได้ทำคนอื่นที่เกี่ยวข้องโชคร้ายไปด้วยใช่ไหม?
ตอนนี้ไก่ออกไข่แล้ว ก็ต้องให้ทุกคนวางใจหน่อยไม่ใช่หรือ?
ถูกต้องแล้ว ภายในใจคุณปู่ซูรู้สึกว่ามีผู้อำนวยการหลี่อยู่ตลอด
อันที่จริง หลี่ฉางชิ่งเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เลยไม่เคยกังวลเรื่องหงซินทำฟาร์มไก่ไม่สำเร็จเลย
ซูฉางจิ่วตบหน้าผาก
จากการคิดพิจารณาของคุณปู่ล้วนมีเหตุผล ส่วนเขายังอายุน้อยเลยไม่คิดรอบคอบเหมือนคนแก่
“คุณลุงยังรอบคอบเสมอเลย ไม่แปลกใจที่คนพูดกันว่ามีคนเฒ่าคนแก่ในบ้านเหมือนมีสมบัติเลย”
“คุณก็อายุน้อยกว่าไม่กี่สิบปีสินะ รีบตามมาเร็วเข้า!” คุณปู่ซูลูบเคราอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหัวหน้าทำให้เขาปรีดา
“ผมเข้าใจแล้วครับ ที่ชุมชนมีใหญ่มีโทรศัพท์อยู่ ไว้ผมไปจะโทรไปที่อำเภอครับ!”
ซูฉางจิ่วมีความสุขมาก ตอนที่พูดก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ค่าโทรศัพท์มีราคาแพง และผู้ดูแลเฉียนก็ปฏิบัติต่อโทรศัพท์ของชุมชนใหญ่ราวกับสมบัติล้ำค่า ขังไว้ในกล่องตลอดทั้งวัน ไม่มีใครใช้เลย
แต่เขาเชื่อว่าผู้ดูแลเฉียนจะยอมให้ใช้เพราะเรื่องนี้แน่นอน
ซูฉางจิ่วตื่นเต้นเหลือเกิน!
เขารีบไปที่ชุมชนใหญ่ ส่วนคนบ้านซูก็แยกย้ายกลับบ้านไปด้วยความรื่นเริงใจ
ถึงฟาร์มไก่จะเป็นของชุมชนใหญ่ แต่คนบ้านซูก็มีส่วนร่วมกับฟาร์มแห่งนี้มาก และตอนนี้ก็ได้เห็นผลลัพธ์ในที่สุด คุณย่าซูจึงความปีติยินดียิ่ง
พอกลับถึงบ้านก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาทำอาหารแล้ว เธอหยิบไข่ออกมาสิบกว่าฟองเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เหลียงซิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแม่สามีหยิบไข่สิบกว่าฟองออกมาด้วยความเต็มใจในคราวเดียว
“แม่คะ ทำไมเอาไข่ออกมามากขนาดนั้นเลยล่ะค่ะ?”
“ไก่ที่ฟาร์มออกไข่ วันนี้ก็ต้องฉลองสิ เย็นนี้พวกเราจะกินไข่ผัดกัน!” คุณย่าซูดีใจมาก
“คุณย่า หนูเห็นว่าในแปลงยังมีต้นมะเขือเทศอีกสองสามต้น เก็บเอามาทำมะเขือเทศผัดไข่กันค่ะ” หลานสาววิ่งไปหาย่าแล้วสั่งอาหารทันที
“ได้สิ เรียกพวกพี่ ๆ มาด้วย ให้ไปเก็บมะเขือเทศที่เหลืออยู่ เย็นนี้จะผัดกินกัน”
คุณย่าซูมองดูหลานสาวตัวน้อยของเธอด้วยความรักใคร่
คนอื่นไม่รู้ แต่ทุกคนในบ้านรู้ชัดว่าเสี่ยวเถียนเป็นคนเสนอเรื่องฟาร์มไก่เอง และวิธีการเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นเสี่ยวเถียนที่แนะนำ
เด็กคนนี้ได้บอกเรื่องที่ควรใส่ใจในการเลี้ยงไก่ และก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ถ้าอาศัยวิธีของพวกเธอเอง ไก่น่าจะไม่มีทางออกไข่ได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน
ซูเสี่ยวจิ่ว ซูเสี่ยวปา และเด็กคนอื่น ๆ ไม่ต้องทักน้องเล็ก ก็ได้ยินเสียงคุณย่าพูดตอนอยู่ในลานบ้านแล้ว แต่ละคนง่วนอยู่กับการเก็บมะเขือเทศใส่ตะกร้า
“แม่คะ มะเขือเทศผัดไข่เหมาะกินกับข้าวมากค่ะ ไม่งั้นเย็นนี้มาทำข้าวสักมื้อกินกันดีไหมคะ?” เหลียงซิ่วขบคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
ตอนนี้ที่บ้านไม่ขาดแคลนของกินของดื่ม ข้าวขาว แป้งสาลีมีไม่มากก็จริง ต่อให้เดือนหนึ่งกินมื้อสองมื้อก็ไม่เป็นปัญหา
แน่นอนว่าคุณย่าซูตอบตกลงทันที
“ได้สิ วันนี้วันดี มากินไข่ผัดมะเขือเทศกับข้าวกันเถอะ!”
“ไข่ผัดมะเขือเทศอร่อยที่สุด หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ตักราดข้าวแล้วหอมมากเลย หนูชอบ!”
ซูเสี่ยวเถียนชอบรสชาติของไข่ผัดมะเขือเทศที่ผสมกับข้าว พอนึกถึงรสชาติก็ชวนน้ำลายสอ
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไข่ผัดมะเขือเทศจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มะเขือเทศในเวลานั้นจะมีรสชาติไม่เหมือนที่ปลูกเองที่บ้านตอนนี้หรอก
“แมวตะกละ!” คุณย่าซูหัวเราะร่าขณะตักข้าวออกจากถุง
“หนูไม่ได้ตะกละนะคะ ที่สำคัญคือคุณย่าทำอาหารอร่อยต่างหากค่ะ”
เด็กตัวเท่านี้รู้จักเยินยอผู้อื่น พูดอะไรออกมาก็ทำให้หน้าคุณย่าซูบานเป็นดอกไม้
ขณะที่สองย่าหลานสนทนากัน ซูเถาฮวาเดินเข้ามาพอดี
เหลียงซิ่วถือกอหญ้าแห้ง ยังไม่ทันเข้าบ้านก็เห็นผู้เป็นพี่พอดีเลยเอ่ยทัก
“พี่เถาฮวา ทำไมถึงมาได้ล่ะคะ?”
“พี่อยู่บ้านว่าง ๆ คนเดียว เลยหาเรื่องมาคุยกับเธอน่ะ”
ซูเถาฮวามีรอยยิ้มบนใบหน้า บอกได้เลยว่าอารมณ์ดีมาก
“ลูกอีกสองคนล่ะคะ?” ทั้งสองเดินเข้าบ้านด้วยกัน คุยไปด้วยเดินไปด้วย
“คนนึงไปบ้านซิ่งฮวา ส่วนเสี่ยวเหมยก็ยุ่งอยู่ในฟาร์มไก่นู่นน่ะ”
“พอดีเลย วันนี้มากินข้าวบ้านป้าสิ” คุณย่าซูพูดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
ซูเถาฮวามองดูท้องฟ้า ใช่ ถึงเวลาทำอาหารเย็นแล้ว ไม่เหมาะจะมาหาในเวลานี้เลย
ตอนนั้นเองที่ซูเถาฮวาหมุนตัวหมายจะเดินออกไป แต่เหลียงซิ่วรั้งไว้
“พี่เถาฮวามาแล้วก็มาสิคะ ทำไมต้องกลับไปด้วยล่ะ?”
“ไม่ได้หรอก ฉันลืมทำอาหารเลย” ซูเถาฮวาตอบด้วยความอึดอัด
“เด็กคนนี้ เกรงใจอีกล่ะสิ? รีบเข้ามาเลย ถ้าวันนี้ไม่อยู่กินข้าวก็ไม่ต้องมาบ้านเราอีกเลยนะ!” คุณย่าซูแสร้งทำเป็นโกรธ
ถึงจะรู้ว่าป้าแกล้ง แต่ซูเถาฮวาก็เชื่อฟังอยู่ดี
“งั้นเย็นนี้รบกวนป้าด้วยนะคะ”
คุณย่าซูกำลังซาวข้าว แล้วเติมข้าวอีกถ้วยเข้าไป “รอตอนที่ไปส่งข้าวให้สะใภ้ใหญ่นะ เดี๋ยวส่งให้เสี่ยวเหมยด้วย”
ซูเถาฮวาที่มาแล้ว ยังช่วยก่อไฟทำอาหารด้วย
เหลียงซิ่ว ฉีเหลียงอิง และซูเถาฮวาสามคนอยู่ในครัวก็พอแล้ว คุณย่าซูจึงกลับไปห้องหลักทำรองเท้า
“พี่เถาฮวา ฉันมีเรื่องอยากถามพี่ตลอดเลย แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี” เหลียงซิ่วพูด
“เรื่องอะไรหรือ?”
ซูเถาฮวาเติมหญ้าแห้งหนึ่งกำมือลงในเตาไฟ เคาะสองสามทีเพื่อให้ไฟแรงขึ้น
“ก็… พี่ว่าตัวเองคิดอย่างไรบ้างคะ?”
“ฉันหรือ? มีอะไรให้คิดล่ะ?”
“ก็หลี่ฉางหมิงเหลือเวลาอีกตั้งสองปีถึงจะออกมา!” เหลียงซิ่วพูดด้วยเสียงต่ำ
สีหน้าของซูเถาฮวาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เขากับฉันไม่เกี่ยวกันแล้ว พวกเราหย่ากันแล้วนะ!” ก่อนจะตอบออกไป
นับตั้งแต่ที่หลี่ฉางหมิงตบเธอเพื่อคังอี้เยี่ยจนเธอแท้งลูก เธอก็เลิกกับผู้ชายคนนั้นเลย ตอนนั้นไม่ได้คิดจะหย่า แค่คิดจะใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่พอมาถึงวันส่งท้ายปีเก่า หลี่ฉางหมิงไม่อยู่บ้านเลย แล้วยังไปเที่ยวเล่นกับผู้หญิงคนนั้นอีก หลังจากที่โดนจับได้ ความคิดเล็กน้อยพวกนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว คงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นที่ขบคิดให้ชัดเจน
ต่อให้อีกสองปีหลี่ฉางหมิงจะออกมา พวกเขาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
“พี่เถาฮวา แต่ชีวิตผู้หญิงตัวคนเดียวมันยากนั้น งั้นไม่ลองหาใครสักคนมาล่ะ?” จู่ ๆ ฉีเหลียงอิงก็ถามขึ้นขณะหั่นมะเขือเทศ
“ยังหาอะไรอีกเล่า? ถ้าชีวิตนี้เจอคนแบบนี้ก็พอแล้ว ไม่หาหรอก!” ซูเถาฮวาส่ายหัว น้ำเสียงของเธอหนักแน่นมาก “นอกจากนี้ อีกสองปีเสี่ยวเหลียงก็ต้องพูดเรื่องหาสะใภ้แล้ว”
ฉีเหลียงอิงรู้สึกว่าซูเถาฮวายังอายุน้อยอยู่ ไม่ถึงสี่สิบปีเสียหน่อย หาใครสักคนก็ไม่น่าเป็นอะไรไปนะ
ซูเถาฮวาไม่กลัวหรอกว่าจะไม่มีใครต้องการ แค่ออกไปเดินเล่นสักหน่อย จะต้องมีคนยินดีมาหาถึงบ้านแน่นอน
“ตอนนี้เสี่ยวเหมยทำงานในฟาร์มไก่ ส่วนเสี่ยวเหลียงก็เป็นผู้ใหญ่มีคะแนนทำงาน ฉันเองก็มีเหมือนกัน ชีวิตบ้านเราดีแล้วล่ะ สบายใจด้วย!” ไอรีนโนเวล
อันที่จริงมันสบายใจกว่าตอนที่มีหลี่ฉางหมิงเสียอีก เธอพอใจกับชีวิตแบบนี้มากเลย
พอเห็นท่าทีอันแน่วแน่ของพี่สาว สองสะใภ้ก็หยุดเกลี้ยกล่อม
เรื่องของชีวิต มีแค่ตัวเราที่รู้
คิดอื่นอาจจะว่าไม่ดี แต่ถ้าเราคิดว่าดี ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่
“เสี่ยวเหลียงก็จบมัธยมปลายด้วยนะ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสคัดเลือกเป็นคนงานหรือเปล่า” ขณะที่เหลียงซิ่วกำลังหั่นผักกาดขาว ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงพูดขึ้นมา
“จะไปกล้าคิดได้อย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่พ่อเขายังอยู่ ฉันก็เคยคิดเหมือนกัน และพยายามคิดให้เขาไปที่เมืองด้วย แต่ไม่สำเร็จ”
ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว จะหาวิธีจากไหนล่ะ?
โชคดีที่ลูกชายเป็นเด็กขยัน ถึงจะทำงานที่ชุมชน แต่อนาคตหลังจากนั้นไม่มีทางแย่หรอก
“เรื่องนี้ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ ถามเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสนะ มีเด็กไม่เยอะหรอกในหงซินที่ได้เรียนมัธยม!” เหลียงซิ่วพึมพำ
พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้น เถาฮวาก็หัวเราะ
“บ้านเธอนี่อาการหนักเข้าขั้นเลยนะ คิดแต่เรื่องเรียนตลอดทั้งวันเลยเนี่ย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเสี่ยวเถียนทำอะไรก็ได้หรอกนะ พวกเราเองก็คิดจะพัฒนาตัวเองให้มาก ๆ เหมือนกัน” ฉีเหลียงอิงยิ้มอ่อนโยน
“ถูกต้อง เสี่ยวเหมยก็บอกว่าเรียนไปได้สักพักแล้วเหมือนกัน ได้รู้อะไรเยอะเลย แถมยังบอกอีกว่า ว่าง ๆ ให้เสี่ยวเหลียงอ่านหนังสือบ้างก็ดี มีประโยชน์นะ ส่วนรายนั้นไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่อยากจะไปเป็นทหารเหลือเกิน” ซูเถาฮวาถอนหายใจ