ตอนที่ 202 เตรียมตัวออกเดินทาง!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลังจากที่หลิงหลานส่งพ่อแม่ไปได้หนึ่งอาทิตย์ กองทัพก็เปิดงานแถลงข่าว ประกาศข่าวที่หลิงเซียวรอดชีวิตกลับมาออกไป!

หลิงหลานเห็นหลิงเซียวที่องอาจหล่อเหลาอย่างหาใดเปรียบในคลิปก็ต้องอุทานด้วยความชื่นชม คุณพ่อของเธอในชาตินี้ดูสมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือว่าบุคลิกท่วงท่า แน่นอนว่าเธอชื่นชมความซื่อสัตย์มั่นคงที่หลิงเซียวมีต่อความรักและการแต่งงานยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ ผู้ชายที่ดีในใจหลิงหลานก็คือคนที่มีความรับผิดชอบแบบหลิงเซียว

“พ่อคะ หนูเชื่อว่าพ่อกลับมาแล้วจริงๆ ได้ใช่ไหมคะ?” หลิงหลานนึกถึงหลิงเซียววัยหนุ่มที่อยู่ในมิติมรดก สิบเจ็ดปีที่แยกจากกัน หลิงเซียวยังคงดูเหมือนหลิงเซียวในตอนนั้น….

“อย่าให้หนูผิดหวังล่ะ พ่อ! พ่อต้องทำให้แม่มีความสุขให้ได้นะ!” หลิงหลานมองหลิงเซียวที่ดูอ่อนโยนเป็นผู้ใหญ่ราวกับรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไม่มีขีดจำกัดในหน้าจอ เธอก็อดกดหน้าอกของตัวเองไม่ได้และพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าสับสน

ขอเพียง…ขอเพียงแน่ใจว่าคุณยังเป็นเขาเมื่อตอนนั้น หนูย่อมยินดีเรียกคุณว่า ‘พ่อ’ อย่างสุดหัวใจแน่นอน! ความรู้สึกระหว่างพ่อลูกที่หลิงหลานมีต่อหลิงเซียวได้มอบให้กับหลิงเซียวในมิติมรดกที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอจนเธอเติบโตขึ้นไปหมดแล้ว นี่ก็คือเหตุผลสุดท้ายว่าทำไมหลิงหลานถึงไม่ยอมเรียกหลิงเซียวว่าพ่อมาโดยตลอด

การกลับมาของหลิงเซียวไม่เพียงปลุกขวัญกำลังใจทั่วทั้งสหพันธรัฐแล้ว มันยังสั่นคลอนประเทศที่อยู่รอบๆ สหพันธรัฐอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วย ท่าทีของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไป ก่อนหน้าที่หลิงเซียวจะกลับมา ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐยังมีผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะอยู่สิบเอ็ดคน แต่ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะห้าคนในนั้นต่างถึงวัยชราอย่างเป็นทางการแล้ว อยู่ในสภาพถดถอยอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่มีสามคนในนั้นถึงช่วงเข้าใจวิถีสวรรค์แล้ว รับประกันว่ายังมีพลังรบเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งได้หรือเปล่าก็ยังต้องใส่เครื่องหมายคำถามไว้เลย

สหพันรัฐเหลือผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะในวัยฉกรรจ์แค่ห้าหกคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้ว ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่อยู่ในช่วงจุดสูงสุดของชีวิตนั้นมีไม่เยอะมาก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมสิบกว่าปีมานี้สหพันธรัฐถึงทำสงครามไม่หยุดหย่อน เพราะว่ามันไม่มีกำลังรบเพียงพอที่จะสยบประเทศรอบๆ ได้

แต่การกลับมาของหลิงเซียวทำให้กำลังรบของสหพันธรัฐพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากหลิงเซียวยังหนุ่มมากพอจนไม่อาจวัดขีดจำกัดอนาคตเขาได้ บางทีเขาอาจจะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานก็ได้ ไม่เพียงเท่านั้น หลิงเซียวยังกุมวิธีการเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะเอาไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะให้สหพันธรัฐใช้วิธีนี้อบรมบ่มเพาะผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะวัยเยาว์ออกมาได้หลายคน แน่นอนว่าผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะไม่ได้อบรมบ่มเพาะง่ายขนาดนั้น มันอาจจะต้องใช้เวลาสิบปี ยี่สิบปีหรือนานกว่านั้น แต่เชื่อว่าผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูงที่ปรากฏตัวออกมา เช่น ผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาเป็นต้น จะต้องมีไม่น้อยแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่ประเทศอื่นไม่อยากเห็นมากที่สุด

นี่จึงทำให้พลังต่อต้านศัตรูของสหพันธรัฐฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพก่อนหน้าที่หลิงเซียวจะพลีชีพไป ท่าทีของทุกประเทศเปลี่ยนมาเป็นมิตรอย่างยิ่ง พวกเขาทยอยกันส่งทูตมาแสดงความยินดีให้กับสหพันธรัฐ ท่าทีของทูตทุกคนเปลี่ยนเป็นเคารพมากอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้รัฐบาลของสหพันธรัฐดีใจอย่างยิ่งยวด ควรรู้ไว้ว่าหลังจากที่หลิงเซียว ‘ตาย’ สิบเจ็ดปีมานี้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างกล้ำกลืนฝืนทนสุดขีด ในที่สุดตอนนี้ก็เงยหน้าอ้าปากได้แล้ว

ตำแหน่งสูงส่งและความนิยมอย่างร้อนแรงของหลิงเซียวทำให้คฤหาสน์ตระกูลหลิงที่เดิมทีดูเงียบเหงาซบเซาถูกคนมองข้ามเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง หลิงหลานไม่มีอารมณ์ไปรับมือกับพวกคนประจบประแจงที่มักจะทำแต่เรื่องเอาใจโดยไม่จำเป็น เธอจึงประกาศเก็บตัวฝึกฝน คฤหาสน์ตระกูลหลิงจึงปิดประตูต่อโลกภายนอกไม่รับแขกอย่างเป็นทางการ

หลิงหลานได้รับคำอวยพรจากพวกฉีหลงที่ติดต่อเข้ามาในช่วงเวลานี้เช่นกัน พวกเขาต่างดีใจให้กับลูกพี่ของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นที่ไอดอลในใจยังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้พวกเขากำลังตั้งทีมเข้าร่วมกลุ่มผจญภัยเพื่อทำการผจญภัยข้ามดวงดาวละก็ พวกเขาจะต้องรีบมาเยี่ยมหลิงหลานที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงแล้วฉวยโอกาสสอบถามข้อเท็จจริงของเรื่องราวอย่างแน่นอน

การติดต่อเข้ามาของพวกเขาทำให้หลิงหลานอารมณ์ดี แต่เธอย่อมไม่ลืมเตือนพวกเขาให้ระมัดระวังทุกอย่างตอนที่อยู่ด้านนอก เดิมทีหลิงหลานยังคิดจะบอกพวกเขาเรื่องที่เธอจะเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งในปีนี้เหมือนกับพวกเขา แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็ถูกเธอข่มกลั้นเอาไว้

หลิงหลานอยากให้พวกเขาประหลาดใจ! แน่นอนว่าหลิงหลานไม่มีทางยอมรับหรอกว่า ความจริงแล้วสิ่งที่เธออยากเห็นคือสีหน้าตกตะลึงจนกรามแทบร่วงของพวกเขา…เธอเป็นลูกพี่ที่แสนดีขนาดนี้ จะไปมีเจตนาร้ายแบบนั้นยังไง?

………..

ในที่สุดก็ผ่านไปอีกยี่สิบวัน ถึงเวลาที่ต้องไปลงทะเบียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้ว ถึงแม้ตอนที่หลานลั่วเฟิ่งติดต่อมาหาหลิงหลานเมื่อหลายวันก่อนได้บอกเอาไว้ว่าเธอกับหลิงเซียวจะรีบกลับมาเพื่อไปส่งหลิงหลานลงทะเบียน แต่ก็ถูกหลิงหลานห้ามปรามไว้อย่างรุนแรง เพราะว่าบนจดหมายตอบรับเข้าศึกษาได้เขียนจุดรวมตัวเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าเป็นท่าอวกาศระหว่างดาวของโดฮา หรือพูดอีกอย่างก็คือ ขอเพียงเธอนั่งรถไฟขบวนพิเศษที่ไปท่าอวกาศโดยตรงก็ถึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลิงเซียวที่กำลังยุ่งให้กลับมาเพื่อการเดินทางสั้นๆ แบบนี้

เดิมทีหลานลั่วเฟิ่งไม่อยากตอบรับความคิดเห็นของหลิงหลาน แต่หลิงเซียวกลับสนับสนุนการตัดสินใจของหลิงหลานอย่างเหนือความคาดหมาย ตอนนั้นหลิงหลานยังได้ยินเสียงคำรามเป็นสิงโตของหลานลั่วเฟิ่งในตอนที่หลิงเซียวรับปากอีกด้วย ถึงแม้ว่าสุดท้ายหลานลั่วเฟิ่งจะยอมรับการตัดสินใจของพ่อลูก แต่เชื่อว่าหลิงเซียวจะต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างที่ชอกช้ำใจเพราะเรื่องนี้แน่นอน ส่วนค่าตอบแทนคืออะไร หลิงหลานไม่อาจรู้ได้

คืนก่อนวันออกเดินทาง หลังจากที่หลิงหลานพูดคุยกับหลานลั่วเฟิ่งตามปกติแล้ว หลิงเซียวกลับปรากฏตัวข้างๆ หลานลั่วเฟิ่งโดยไม่คาดคิด จากนั้นก็บอกว่าอยากคุยกับเธอ

หลิงเซียวที่อยู่ในหน้าจอยังคงสวมเครื่องแบบนายพล ยากจะปกปิดความเหนื่อยล้าบนใบหน้า เสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้นทำให้หลิงหลานใจเต้นเล็กน้อย “หลานเอ๋อร์ ฉันจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากวิชาทฤษฎีแล้ว ไม่ได้จัดเตรียมวิชาฝึกฝนร่างกายอะไรไว้ให้เธอในปีหนึ่งเลย การประเมินและทดสอบทั้งหมดได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ แต่ว่าฉันจัดการได้แค่หลักสูตรทางการของฝั่งโรงเรียนเท่านั้น การฝึกฝนประลองส่วนตัวในหมู่นักเรียนต้องให้เธอจัดการเอาเอง…ระมัดระวังทุกอย่างเอาไว้นะ!”

“เข้าใจแล้วครับ คุณพ่อ!” หลิงหลานเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ อย่างไรก็ตาม เสียงของหลิงหลานราบเรียบมากเสมอมาทำให้หลิงเซียวได้ยินแล้วยังคงรู้สึกว่ามันเย็นชา เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เมื่อไหร่ลูกสาวของเขาจะเอ่ยปากเรียกเขาว่าพ่อได้? สามารถออดอ้อนเขาเหมือนเด็กผู้หญิงได้….

ในสมองหลิงเซียวผุดภาพของหลิงหลานที่มีท่าทีกระเง้ากระงอด ดวงหน้าเย็นชาปรากฏสีหน้าขวยเขิน หลิงเซียวก็รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา เอาเถอะ หลิงหลานเป็นแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว หลิงเซียวน้ำตาไหล หรือว่าชีวิตเขาถูกกำหนดว่าไม่อาจมีลูกสาวที่เหมือนลูกสาวได้? เวลานี้ความแค้นในใจเขาเริ่มพุ่งสูงขึ้น คนที่สร้างผลลัพธ์อันน่ากลัวนี้ย่อมเป็นพวกคนที่ทำร้ายเขาแน่นอน เขาไม่มีทางปล่อยพวกมันไปแน่

หลิงหลานรู้สึกได้ถึงจิตสังหารพุ่งออกมาจากตัวหลิงเซียวแวบหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ถ้าหากมิติการเรียนรู้ไม่ได้ให้เธอเรียนรู้เกี่ยวกับจิตสังหารอย่างทะลุปรุโปร่งละก็ เกรงว่าเธอคงจะถูกหลิงเซียวตบตาไปแล้ว เธองุนงงเล็กน้อยว่า อะไรทำให้หลิงเซียวมีกลิ่นอายดุดันอยากจะฆ่าคนขึ้นมากะทันหัน?

หลิงเซียวที่กลับมาเป็นปกติจ้องมองเด็กสาวที่ทำหน้าเยือกเย็นหนักแน่น เขารู้ว่าการหายไปสิบเจ็ดปีของเขาทำให้หลิงหลานเรียนรู้ที่จะแบกรับความรับผิดชอบด้วยตัวเอง ในใจเขาก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น

ไม่ได้การแล้ว เขาจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในฐานะพ่อ ต้องให้หลิงหลานรู้ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปมีคนที่ปกป้องเธอจากลมฝนได้ “หลิงหลาน ไปถึงโรงเรียนทหารแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนั้น อยากทำอะไรก็ทำเลย ทุกอย่างพ่อรับผิดชอบเอง!” หลิงเซียวเอ่ยกับหลิงหลานอย่างมั่นใจ

หน้าผากของหลิงหลานเต็มไปด้วยขีดดำในชั่วพริบตา คำพูดของหลิงเซียวทำให้เธอนึกถึงคำพูดที่กล่าวกันอย่างแพร่หลายในชาติก่อนว่า ‘พ่อของฉันคือหลี่กัง[1]’

ในสมองหลิงหลานผุดฉากหนึ่งขึ้นมาทันที เธอนำลูกสมุนที่อวดดีกลุ่มหนึ่งไปด้วยความเย่อหยิ่ง (สมาชิกทีมฉีหลงได้รับเชิญให้ร่วมแสดงด้วย) พอเห็นใครทำให้เธอไม่พอใจก็สั่งพวกลูกน้องให้เข้าไปทุบตีด้วยความเอาแต่ใจ เมื่อมีคนออกหน้าซักถาม เธอก็ทิ้งคำพูดเลิศๆ เอาไว้ว่า ‘พ่อฉันคือหลิงเซียว ถ้าแกกล้าก็ไปฟ้องฉันเลยสิ? ไอ้โง่!’

เอาล่ะ ดูมีความจองหองของทายาททหารมากจริงๆ ด้วย! หลิงหลานปัดภาพเหตุการณ์นี้ออกไปทันที ฉากนี้ดูคุ้นๆ มากเกินไปแล้ว นี่เป็นตัวร้ายในนิยายแน่นอน เป็นมินิบอสช่วงแรกที่ให้ตัวเอกตีมอนอัปเลเวล แบบนี้ดูแล้วไม่ใช่ว่าหลิงเซียวคือสุดยอดลาสต์บอสเหรอ? เชี่ย ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน! หลิงหลานอดตัวสั่นไม่ได้ หรือว่าเธอไม่ได้ทะลุมิติมาที่โลกอนาคต แต่ว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง? เธอไม่อยากกลายเป็นทายาทรุ่นสองไม่เอาถ่านที่เป็นตัวเบี้ยใช้แล้วทิ้งอย่างชัดเจนแบบนี้หรอกนะ

“เข้าใจแล้ว!” หลิงหลานที่มีเหตุผลย่อมไม่ทำแบบนี้แน่นอน ตอนนี้เธอไม่เพียงต้องรับผิดชอบตัวเอง เธอยังต้องรับผิดชอบเพื่อพ่อของเธอด้วย พวกเขาสองพ่อลูกจะกลายเป็นบอสหรือมินิบอสให้ตัวเอกผู้ลึกลับอัปเลเวลไม่ได้เป็นอันขาด

ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะคิดแบบนี้ แต่ในใจกลับมีความอบอุ่นสายหนึ่งตีเข้ามา การกระทำของหลิงเซียวทำให้เธอรู้ว่า หลิงเซียวตรงหน้าเธอไม่มีมุมมองทั้งสาม[2]โดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกตัวเอง….

……………

เช้าวันที่สอง หลิงหลานที่เตรียมตัวออกเดินทางก็ถูกการกระทำที่มากเกินความจำเป็นของสองสามีภรรยาหลิงฉินตีใส่อีกครั้ง เธอมองดูกระเป๋าสัมภาระนับไม่ถ้วนที่แทบจะยึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งในห้องโถง ต่อให้เป็นหลิงหลานที่เยือกเย็นมาตลอด ใบหน้าเย็นชาของเธอก็อดกระตุกหลายทีไม่ได้ “พวกนี้คืออะไรเหรอ?”

“ทั้งหมดนี้คือของจำเป็นสำหรับคุณชายค่ะ!” หลิงหนานอีที่ความรู้สึกช้าดึงมือหลิงหลานแล้วอธิบายของที่ถูกใส่ไว้กระเป๋าทีละอย่าง มีกระเป๋าใหญ่สองใบสำหรับเสื้อผ้า กระเป๋าหนึ่งใบสำหรับรองเท้า กระเป๋าใหญ่สองใบสำหรับของกิน กระเป๋าใหญ่สามใบสำหรับยารักษาต่างๆ แล้วก็มีกระเป๋าใหญ่สี่ใบสำหรับของจิปาถะอื่นๆ นี่เป็นผลงานหลังจากที่เธอพยายามตัดออกอย่างสุดความสามารถแล้วนะ

หลิงหลานอดกุมขมับไม่ได้ เธอไปเรียนนะ ไม่ใช่ย้ายบ้าน….

“เสื้อผ้าเอาไปสองชุด รองเท้าสองคู่ ชุดชั้นในสำหรับหนึ่งอาทิตย์ ยารักษาก็เอาไปแค่ยาลับที่พวกเราผลิตขึ้นเฉพาะ อย่างอื่นไม่ต้องแล้ว” หลิงหลานไม่มีแรงไปแก้ไขการกระทำของสามีภรรยาหลิงฉิน เธอบอกสิ่งของที่ต้องการเอาไปตรงๆ

“แต่ว่า พวกนี้จะไปพอได้ยังไงคะ…” หลิงหนานอียังไม่วางใจ ขนาดหลิงฉินที่เงียบกริบอยู่ด้านข้างได้ยินหลิงหลานพูดของเหล่านี้ออกมาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง

หลิงหลานกล่าวด้วยความจนปัญญาว่า “ของอย่างอื่นแค่มีเงินก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว จำเป็นต้องเอาไปมากมายขนาดนี้ด้วยเหรอ?”

หลิงหนานอีค่อยตระหนักได้ก่อนจะพยักหน้าติดต่อกันพลางกล่าวว่า “ใช่ๆๆ ทำไมฉันนึกเรื่องนี้ไม่ได้นะคะ? คุณชายยังคงเฉลียวฉลาดเหมือนเดิม” เธอกล่าวจบก็จัดเก็บข้าวของที่หลิงหลานอยากนำไปอย่างมีความสุข

อย่างไรก็ตาม เธอยัดของมากเกินไปแล้ว ในระหว่างที่เธอหาของที่หลิงหลานต้องการก็ดูลำบากอยู่นิดหน่อยจริงๆ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลิงหนานอียังไม่ลืมเอ่ยเตือนหลิงฉินว่า “สามี ยังไม่รีบติดต่อนายท่านอีก ให้นายท่านส่งเครดิตมาให้คุณชายใช้เยอะๆ…”

หลิงฉินได้ยินก็คิดว่าถูกต้องมากๆ ดังนั้นจึงรีบดำเนินการทันทีโดยไม่สนใจว่าหลิงเซียวกำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า เขาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารของหลิงเซียว บอกคำขอข้อนี้ให้เจ้านายของตัวเองฟัง

ผ่านไปไม่กี่วินาที บนอุปกรณ์สื่อสารของหลิงหลานก็มีตัวเลขเครดิตจำนวนมหาศาลที่สามารถแผดเผาดวงตาถูกโอนเข้ามาในบัญชีของเธอสองชุด หลิงหลานไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่านี่เป็นฝีมือของหลิงเซียวกับหลานลั่วเฟิ่งสองคนแน่นอน ดูท่าสามีภรรยาคู่นี้อยากอบรมสั่งสอนเธอให้อยู่บนเส้นทางของลูกเศรษฐีที่เอาแต่เที่ยวเล่นรักสนุกอย่างสุดความสามารถ…

………………………………………….

[1]มาจากคำพูดของหลี่ฉี่หมิงที่ขับรถชนนักศึกษา แล้วเจ้าตัวไม่ยอมให้จับกุมบอกว่า “พ่อฉันชื่อหลี่กัง” ซึ่งหลี่กังมีตำแหน่งใหญ่โตในราชการ คำพูดประโยคนี้จึงดังไปทั่วอินเตอร์เน็ต กลายเป็นคำสแลงหมายความว่า ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรับโทษทางกฎหมายเพราะว่ามีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ

[2] หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติค่อคุณค่า