บทที่ 184 กำราบให้สิ้น

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 184 กำราบให้สิ้น

เป็นไปได้หรือไม่ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเขาจะเช่าสถานที่เพื่อเชิญคนมาดูการแสดงอีก?! เถ้าแก่เอนไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่ประจบสอพลอบนใบหน้าของเขา

ผัวะ!

หมัดกระแทกเข้าที่เบ้าตาของเถ้าแก่

เถ้าแก่ปิดตาและก้าวถอยหลังขณะที่ปากยังคงส่งเสียงร้องครวญคราง เขามีทั้งความคับข้องใจ และความโกรธ ความแตกต่างในการวางตัวก่อนและหลังนั้นมากเกินไป เขาไม่ได้เตรียมใจว่าจะถูกทำร้ายมาก่อน

“นายท่าน~ เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ละครสิบวันที่ผ่านมาไม่ถูกใจท่านหรือ?”

ในฐานะเถ้าแก่เจ้าของ ‘โรงหลานอิน’ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงและขุนนางไปจนถึงพวกอันธพาลประจำถิ่น ไม่มีใครที่เฉินอังรับมือไม่ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

ยกเว้นพระชายาเจ็ดตรงหน้าเขาที่จ่ายเงินให้ก่อน แล้วจึงต่อยเขาด้วยกำปั้นของนาง

“พอใจ พึงพอใจสิ ค่อนข้างพอใจทีเดียว” ฉินปู้เข่อหดกำปั้นและคลี่ยิ้มอย่างร่าเริง “ดังนั้นข้าจึงอดไม่ได้ที่จะต่อยเจ้าเพื่อขอบคุณเถ้าแก่”

เฉินอัง “…”

เขาหายใจไม่ทั่วท้องและหันไปมองชายผู้อ่อนโยนที่ยืนอยู่ข้างนาง อ๋องหลี่ชินผู้เป็นอ๋องที่ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา “นายท่านเจ็ด สองสามวันนี้หากกระหม่อมไม่ได้รับใช้ท่านอย่างดี ก็โปรดแจ้งให้ทราบด้วยเถิด และกระหม่อมจะขอประทานอภัยและแก้ไขทันที”

ฉินปู้เข่อต่อยเบ้าตาอีกข้างของเฉินอังด้วยหมัดอีกครั้ง “ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้รับความดูแล?!”

“ใช่ อ๋องแห่งตำหนักหลี่ชินไม่ได้ถือสา” หมี่โม่หรู่ยืนอยู่ข้างหลังฉินปู้เข่อและเชิดหน้าขึ้นราวกับเป็น ‘ผู้ที่มีไพ่ตายในมือ’

เฉินอังเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหาฉินปู้เข่อด้วยใบหน้าขมขื่นทันทีและจะคุกเข่า

“อ้าว ๆ เถ้าแก่เฉินไม่ต้องคุกเข่า” ฉินปู้เข่อเปลี่ยนสีหน้าและยกแขนห้ามอย่างร่าเริง

เมื่อเฉินอังคิดว่าหายนะได้จบสิ้นลงแล้ว หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามราวดวงจันทร์ตรงหน้าเขาก็เผยอริมฝีปากสีแดงของนางขึ้นเล็กน้อย แล้วตบหน้าเขาอีกครั้ง

“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคุกเข่า หากเจ้าคุกเข่าเพื่อตัวเองตอนนี้ แล้วเจ้าจะใช้อะไรอ้อนวอนเพื่อช่วยคนของเจ้าในภายหลัง”

ฉินปู้เข่อพูดและชี้ไปยังเวทีที่ปิดม่านลง ทั้งคณะมีนักแสดงที่มีชื่อเสียงห้าคน มีมือกลองและฆ้องอีกสามสิบหรือสี่สิบคน ทุกคนคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย และทหารที่สวมหน้ากากอยู่ข้างหลังต่างก็ถือดาบยาวไว้ในมือและวางไว้ที่คอของพวกเขา

ฟึ่บ!

ขาของเฉินอังอ่อนแรงจนทรุดลง เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้แม้ว่าเขาอยากจะยืน คณะละครนี้ก่อตั้งโดยพ่อของเขา ในช่วงสิบปีแรกเขาเป็นนักแสดงข้างถนนที่เข็นรถไปแสดงตามถนน หลังจากที่เขาตั้งตัวได้ก็ค่อย ๆ เข้าสู่ชนชั้นที่มั่งคั่งและกลายเป็นเจ้าของโรงละครที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง

คนเหล่านี้บนเวทีล้วนเป็นเพื่อนเก่าแก่ที่อยู่กับเขามานานกว่าสิบปี เมื่อคนเหล่านี้หายไป ‘โรงหลานอิน’ ที่เขาสร้างจากการทำงานหนักมาครึ่งชีวิตจะพังทลายลงอย่างราบคาบ

“องค์ชายเจ็ด พระชายา โรงหลานยินทำอะไรให้พวกท่านขุ่นเคืองและโกรธจัดถึงเพียงนี้”

ฉินปู้เข่อไขว้ขาแล้วพูดว่า “ช่วงนี้โรงละครโด่งดังมากในเมืองหลวง ข้าได้ยินมาว่าเพลงที่พวกเราจ่ายเงินให้คนเข้ามาฟังถูกขับร้องครั้งแรกโดยโรงหลานอินใช่หรือไม่? ใครเป็นคนเขียนเนื้อเพลงเกี่ยวกับลูกชายคนโตและลูกชายคนที่สอง?!”

“นั่น…” เฉินอังตัวสั่นเทาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โรงหลานอินได้เลี้ยงดูบัณฑิตยากจนไว้สองสามคน พวกเขาส่งบทละครใหม่เป็นครั้งคราว และคราวนี้หนึ่งในบัณฑิตยากจนคนหนึ่งได้เขียนมันขึ้นมา”

“หากเป็นเนื้อเพลงที่เขียนโดยบัณฑิตยากจน เถ้าแก่เฉินจะกล้ากำหนดเวลาแสดงสามวันเต็มหรือ?! ข้าจำได้ว่าเจ้าแสดงร้องเพลงเป็นเวลาสามวันเต็มก่อนที่ข้าจะจองสถานที่” ฉินปู้เข่อมองเขาอย่างสนุกสนาน “ไม่น่าไว้ใจเลย”

ดวงตาของเฉินอังกะพริบ เขาก้มศีรษะลง “ที่โรงหลานอินนั้น บทละครใหม่มักจะถูกทดสอบในช่วงสามวันแรก ถ้าหากมันเหมาะสมก็จะกลายเป็นละครปกติในภายหลัง”

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

“ใช่แล้ว พระชายาเป็นผู้ชมจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้กฎการซ้อมของคณะละคร พระชายาไม่พอใจความสัมพันธ์ระหว่างละครเรื่องนี้กับตำหนักอ๋องหลี่ชินเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือ แต่ท่านก็เชิญชวนชาวเมืองให้มาชมพร้อม ๆ กัน”

ฉินปู้เข่อฟังประโยคยาว ๆ นี้แล้วก็คิดว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว นางจึงมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม จากนั้นจึงไปมองหมี่โม่หรู่ “หยุดเลยดีหรือไม่เพคะ”

“หยุดเลย ข้าจะกลับแล้ว”

ริมฝีปากของเฉินอังแห้งผากทันที และเสียงของเขาก็แหบแห้ง “หยุด… อะไรนะ”

ฉินปู้เข่อขยิบตา “คนที่เถ้าแก่เฉินส่งไปเพื่อขอความช่วยเหลือ ในตอนที่ข้าต่อยเจ้าที่ประตู เจ้าไม่ได้ส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ดูแลแขกของเจ้าหรอกหรือ ไม่ต้องกังวลไป เจ้าไม่ต้องเปิดเผยตัวผู้สนับสนุนของเจ้าหรอก ข้าเพียงแค่ทำให้แน่ใจในตัวเขาอีกครั้ง”

เจ้าหน้าที่ดูแลแขกหน้าห้องถูกอู๋เหินจับหลังคอแล้วโยนเข้ามาเสียงดัง ‘โครม’ จนฝุ่นคลุ้ง

“ถะ…เถ้าแก่” เจ้าหน้าที่ดูแลแขกดิ้นอยู่บนพื้นสองครั้ง แล้วคลานเข้าไปหาเฉินอังและกระซิบว่า “ข้าถูกจับก่อนที่ข้าจะเข้าประตูตำหนักบูรพาได้ จากนั้นพวกเขาก็ผูกจดหมายไปกับลูกธนูและยิงมันเข้าไปในลานตำหนักบูรพา”

ใบหน้าของเฉินอังซีดเผือดและเขาไม่อาจทรงตัวได้อีกต่อไป เขาทรุดตัวลงอย่างแรงและหมอบลงบนพื้นด้วยเหงื่อเย็น “องค์ชายเจ็ด พระชายาโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่าปลุกปั่นเพียงพอแล้ว นางก็ยกยิ้มร้ายกาจ “บัดนี้ผู้สนับสนุนของเจ้าได้รับข่าวแล้วว่าเจ้าทรยศเขา และคาดว่ากลางดึกคืนนี้คงเป็นเขาที่จะส่งคนมาฆ่าเจ้ามากกว่าเรา เถ้าแก่เฉิน อะไรจะดีถึงเพียงนี้ ช่างมันเถิด ข้าไม่กังวลเรื่องเจ้าอีกต่อไปแล้วในเมื่อมีคนอื่นจะจัดการเจ้าให้ สามี กลับตำหนักกันเถิดเพคะ”

เฉินอังตะโกนเสียงแหลม “องค์ชายเจ็ด พระชายา อย่าลังเลที่จะพูดถึงคำขอใด ๆ ที่พวกท่านมี หากพวกท่านสองคนจากไป คนตัวเล็ก ๆ ในโรงหลานอินเหล่านี้จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย”

เมื่อเขาได้รับบทละครจากองค์รัชทายาท เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากร้องเพลงได้สองวัน ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มพูดถึงต้นแบบตัวละครในบทละครมากขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนั้นเฉินอังรู้ตัวว่าเขาได้สร้างหายนะครั้งใหญ่แล้ว เขาจึงขอร้องให้หมี่เซวียนหยุดการแสดงละคร แต่หมี่เซวียนกลับบอกให้เขาแสดงต่อด้วยความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นข้าหลวงหรือเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เขาก็จะไม่ยอมให้มาสร้างปัญหากับโรงหลานอิน

เพียงแต่ว่าตัวเอกที่อยู่ในบทละครปัจจุบันมาถึงประตูแล้ว ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว

แม้ว่าเฉินอังจะไม่รู้ว่าคนทั้งสองตรงหน้าเขารู้ได้อย่างไรว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือองค์รัชทายาท แต่หากองค์รัชทายาทคิดว่าเขาเป็นคนบอกความลับ เขาก็เชื่อว่าโรงหลานอินทั้งหมดจะไม่มีวันได้เห็นตะวันขึ้นในวันพรุ่งนี้อีก

ตอนนี้นอกจากจะอาศัยพึ่งพิงอ๋องหลี่ชินเป็นที่หลบภัยแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถคิดหาวิธีอื่นที่จะหนีจากปัญหานี้ไปได้

“มันขึ้นอยู่กับความจริงใจของเจ้า” ฉินปู้เข่อเผยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าสามารถจัดละครเพลงให้องค์รัชทายาทได้ เจ้าก็ช่วยจัดละครเพลงให้อ๋องเจ็ดด้วยได้ไม่ใช่หรือ? ไม่ต้องกังวล เราไม่ใช่คนที่ชอบข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้ง”

เฉินอังยกยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่รู้ว่านางจะข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้งหรือไม่ แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็มีอิทธิพลมากกว่าองค์รัชทายาท

แต่ตอนนี้เขาคงจะอยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้เช้า หากเขาไม่หยิบบทละครเล่มนี้ขึ้นมา และเขาอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวันเมื่อเขาจัดละครเพลงนี้

“ร้องเพลง คืนนี้กระหม่อมจะช่วยฝึกให้และพรุ่งนี้จะเริ่มแสดง”

ฉินปู้เข่อโบกมือ “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงละครเพลงนี้ทั้งวัน เจ้าเพียงแค่จัดแสดงวันละครั้ง ส่วนละครอื่น ๆ จะถูกจัดเรียงตามลำดับดั้งเดิมของโรงหลานอิน”

เฉินอังอ่านบทละครด้วยมืออันสั่นเทาและเต็มไปด้วยความสงสัย “หือ? ให้ร้องเพลงนี้หรือ?”

……………………………………………………………………………..