ตอนที่ 133 เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลือง

เมื่อมีเสียงดังขึ้นมานั้นต้นไผ่แห่งชีวิตก็ฟาดเข้าไปที่หน้าผากของชวี่หยางอย่างรุนแรงและแม้แต่สีหน้าของชวี่หยางก็ดูประหลาดใจขึ้นมาทันที เขาหลบออกมาแล้วทําไมถึงยังโดนโจมตี?

ในเวลาเดียวกันพลังที่แปลกประหลาดก็ออกมาจากต้นไผ่แห่งชีวิต ทําให้ร่างกายของเขารู้สึกสับสนไปครู่หนึ่งและไม่อาจเคลื่อนไหวได้

นี่เป็นโอกาสที่ดีที่มู่อี้ไม่มีทางปล่อยให้ผ่านไปแน่นอน เขากระโดดถอยออกมาเล็กน้อยพร้อมกับใช้ยันต์สายฟ้าของตนเองออกไปทันที

“ตู้ม!”

เมื่อมีเสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมานั้น สายฟ้าก็ผ่าลงมาที่ร่างของชวี่หยางอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันชวี่หยางไม่ได้โชคดีเหมือนกับก่อนหน้านี้ แสงสว่างที่เจิดจ้าของสายฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงร้องที่เจ็บปวดของชวี่หยางที่ดังขึ้นมาทันที

หลังจากมู่อี้กระโดดถอยออกมานั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเป่ยหมิงอีกต่อไป แต่ใช้โอกาสนี้เข้าไปใกล้รถม้าให้มากยิ่งขึ้นและจากนั้นก็ส่งยันต์ปราบปีศาจ 2 แผ่นออกไปทันที

แสงสีขาวของยันต์ปราบปีศาจก็พุ่งเข้าไปยังบริเวณมุมกําแพงพร้อมๆกันและในเวลาเดียวกันก็มีร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากมุมกําแพงนั้นทันที เป็นชายชราที่หนีไปก่อนหน้านี้ เขาหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่และดูเหมือนว่ากําลังรอคอยโอกาสอยู่

แต่ความจริงแล้วมู่ รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาอยู่ที่ไหนและในตอนนี้เขาก็โจมตีออกไปโดยปราศจากความเมตตาใดๆ ยันต์ปราบปีศาจทั้ง 2 แผ่นนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งจิตใจของมู่อี้และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นมามาก

ถ้าหากเป็นการต่อสู้ปกตินั้นมู่อี้จะไม่ใส่พลังของตัวเองเข้าไปเพิ่มในยันต์ที่เขาใช้ออกไปเพราะเขาคิดว่าผลที่ได้มานั้นไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป พลังแห่งจิตใจที่เขาต้องสูญเสียไปนั้นเพิ่มขึ้นมาก ถ้าหากมู่อี้ไม่ได้ยกระดับเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 เขาคงไม่มีทางทําแบบนี้แน่นอน

และแน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่การต่อสู้ปกติ

ยันต์ปราบปีศาจทั้ง 2 แผ่นตรงเข้าไปหาชายชราที่เป็นผู้ใช้แมลง การโจมตีครั้งนี้ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและในที่สุดเขาก็ไม่หลบซ่อนตัวอีกต่อไปพร้อมกับกระโดดออกมาจากมุมกําแพง

ในเวลาเดียวกันเขายังเรียกหนอนประหลาดตัวหนึ่งขึ้นมา เพื่อรับการโจมตีของยันต์ปราบปีศาจแผ่นแรก ส่วนตัวเขาเองก็แยกไปป้องกันแผ่นที่ 2

“ตึง!”

เสียงของการกระแทกที่รุนแรงดังขึ้นมา 2 ครั้ง ในขณะเดียวกันนั้นชายชราก็ร้องออกมาด้วยค วามเจ็บปวดด้วยเช่นกัน

หลังจากยันต์ปราบปีศาจทั้ง 2 แผ่นได้ทําหน้าที่ของมันแล้ว มู่อี้ก็ไม่สนใจชายชราอีกต่อไป เขาเชื่อว่าแม้ว่ายันต์ปราบปีศาจจะยังสังหารชายชราไม่ได้แต่มันก็ทําให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บหนักมากแน่นอน ถ้าหากชายชราอยากจะหลบซ่อนตัวเพื่อซุ่มโจมตีนั้นคงเป็นไปไม่ได้

หลังจากจัดการกับชายชราแล้วมู่อี้ก็หันกลับไปสนใจชวี่หยางอีกครั้งหนึ่ง สายฟ้าพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วมากและสถานการณ์ก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เพราะลู่อี้โจมตีด้วยต้นไผ่แห่งชีวิตของเขาก่อนแล้วจึงใช้ยันต์สายฟ้าตามเข้าไป เมื่อถูกโจมตีเข้าที่ศีรษะและยังมีพลังแห่งจิตใจที่ผสานมาด้วยนั้นทําให้ชวี่หยางไม่อาจป้องกันอะไรได้เลยและเขาต้องใช้เพียงร่างกายของตนเองรับสายฟ้าที่ผ่าลงมาเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

สายฟ้าหายไปแล้วในตอนนี้และเผยให้เห็นชวี่หยางที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น มีหลายๆส่วนบนร่างกายของชวี่หยางที่เป็นสีดําไหม้เกรียม แม้ว่าเขาจะถือกระจกสัมฤทธิ์เอาไว้ในมือแต่ก็ไม่สามารถป้องกันสายฟ้าที่ผ่าลงมาได้ ที่สําคัญไปกว่านั้นก็คือลมหายใจของเขาเหมือนจะหายไปแล้ว

“ตายแล้วหรือ?” นี่คือความรู้สึกแรกของมู่อี้ที่ได้เห็นชวี่หยางในตอนนี้เพราะเมื่อลมหายใจหายไปก็หมายถึงความตาย แต่ความสงสัยของมู่อี้มีอยู่เพียงผู้เดียวเพราะในตอนนี้ร่างของชวี่หยางที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งหนึ่ง

“กึก กึก!”

มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาเบาๆและในตอนนี้ผิวหนังชั้นนอกที่ไหม้เกรียมของชวี่หยางก็แยกออกจากกันทันที ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายแห่งความตายก็ระเบิดออกมาปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้อย่างหนาแน่น

มู่อี้รู้สึกตกตะลึง กลิ่นอายแห่งความตายที่ระเบิดออกมานั้นมากเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก ในตอนที่เขาคิดจะใช้ยันต์สายฟ้าแผ่นต่อไปนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังของชวี่หยางก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทันนั้นฝ่ามือของชวี่หยางก็โจมตีเข้ามาที่หน้าอกของเขาแล้ว

“ตู้ม!”

มู่อี้กระเด็นลอยออกไปทันทีหลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดมหาศาลที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนั้นทําให้มู่อี้รู้สึกราวกับว่าเขาหายใจไม่ออก แต่เขาก็ยืนขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งด้วยการใช้ต้นไผ่แห่งชีวิตค้ำยันร่างกายและกําลังจ้องมองไปที่ชวี่หยาง

ในตอนนี้ร่างกายของชวี่หยางเป็นมันเงาทั่วทั้งตัว ราวกับว่าร่างกายของเขาถูกแต่งแต้มด้วยประกายสีขาวที่ดูผิดปกติ และลมหายใจของเขาก็เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและความตาย แต่น่าแปลกใจที่ทั้งสองอย่างนั้นผสานกันได้อย่างลงตัว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชวี่หยางทรงพลังอย่างยิ่งในตอนนี้และยังทรงพลังยิ่งกว่าที่มู่อี้คิดเอาไว้เสียอีก

“เจ้าต้องตาย” ชวี่หยางพูดออกมา น้ำเสียงของเขาเหมือนกับเหล็กที่กําลังเสียดสีกันอย่างรุนแรง มันฟังดูแหบแห้งและไม่ชัดเจนมากนัก

“แค่ก แค่ก” มู่อี้ไอออกมาทันทีและรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกราวกับโดนเข็มแทงอยู่ตลอดเวลา แต่สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองไปที่ชวี่หยาง “ข้าสงสัยจริงๆ สิ่งใดกันที่ทําให้ท่านต้องพยายามมากขนาดนี้?”

คําถามนี้เกิดขึ้นในใจมู่อี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้เขาถามออกไปเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น

“ไม่ว่าเจ้าจะพยายามถ่วงเวลาหรือทําอะไรก็ตามแต่ คิดหรือว่าเจ้าจะรอดชีวิตจากวันนี้ไปได้?” ชวี่หยางจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความคิดของมู่อี้ได้เป็นอย่างดี

มู่อี้ไม่ได้ปฏิเสธ สายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่อีกฝ่าย

“ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้มากขนาดนี้ ทําไมข้าจะบอกเจ้าไม่ได้ล่ะ? สินค้าที่พวกเจ้าขนส่งมานั้นลงทะเบียนไว้ว่าเป็นยาสมุนไพรต่างๆแต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นอาวุธและเครื่องประดับจํานวนมหาศาล” ชวี่หยางพูดออกมาตามตรง

“ถ้ามันเป็นแค่อาวุธหรือเครื่องประดับธรรมดา ท่านคงไม่พยายามมากขนาดนี้หรอกใช่ไหม?” มู่อี้ไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูดออกมาและถามกลับไปทันที

แม้ว่าอาวุธหรือเครื่องประดับมากมายจะเป็นสิ่งที่สําคัญสําหรับเหล่าคนที่มีความโลภในจิตใจ แต่ของเช่นนี้ย่อมไม่อาจดึงดูดให้ชวี่หยางรู้สึกสนใจขนาดนี้ได้แน่นอน

“แน่นอน แม้ว่ามันจะเป็นทองแท่งทั้งหมดข้าก็ไม่สนใจอยู่ดี สิ่งที่ข้าสนใจจริงๆนั่นก็คือสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในขบวนสินค้าครั้งนี้ ข้าสนใจของชิ้นหนึ่งที่พ่อค้าสมุนไพรคนนั้นซ่อนเอาไว้” ชวี่หยางตอบกลับมา

“ของชิ้นหนึ่ง?” แม้ว่าชวี่หยางจะพูดออกมาแบบนั้น แต่มู่อี้ก็รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของชวี่หยางจะต้องมากกว่านั้นแน่นอน

“ใช่แล้ว ในสายตาของคนทั่วไปมันอาจจะเป็นแค่ของไร้ค่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ผู้คนอาจจะมองว่ามันเป็นของโบราณ เป็นสมบัติชิ้นเล็กๆที่ไม่ได้มีค่ามากนักชิ้นหนึ่ง แต่ความจริงแล้วของสิ่งนี้คือกุญแจต่างหาก” ชวี่หยางพูดขึ้นมา สายตาของเขาก็แสดงออกถึงความปรารถนาขึ้นมาทันที

เห็นได้ชัดว่ากุญแจที่เขาพูดถึงนี้คือสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง

ชวี่หยางมองมาที่มู่อี้อีกครั้งหนึ่ง ”เจ้าอยากจะรู้หรือไม่ว่ามันคือกุญแจอะไร?”

“แม้ว่าข้าอยากจะรู้ ท่านจะบอกข้าหรือไง?” มู่อี้พูดออกไปโดยไม่ปิดบังความต้องการของตนเอง

“ทําไมข้าจะบอกเจ้าไม่ได้ล่ะ? กุญแจที่ข้าพูดถึงคือหนึ่งในกุญแจสําคัญที่จะเปิดออกไปสู่เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลือง” ชวี่หยางพูดออกมาตามตรง [แม่น้ำเหลือง หรืออีกชื่อหนึ่ง แม่น้ำฮวงโห]

“เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลือง?” สีหน้าของมู่อี้ดูสับสนขึ้นมาทันที เขารู้จักแม่น้ำเหลือง แต่เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองที่อีกฝ่ายพูดถึงคืออะไร? และเขายังบอกว่าการจะเข้าสู่เส้นทางบรรพกาลนั้นยังต้องใช้กุญแจอีกด้วย กุญแจอะไรกัน? ฟังจากที่ชวี่หยางพูดมาแล้วดูเหมือนว่ากุญแจจะมีมากกว่า 1 ดอก

” ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้จักเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองและกุญแจสินะ” ชวี่หยางพูดขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นสีหน้าของมู่อี้ในตอนนี้

ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้คือการยืนยันคําตอบได้อย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ดูหยิ่งผยองเพราะคิดว่าตนเองจะต้องได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ครั้งนี้และประมาทจนต้องพ่ายแพ้ แต่จริงๆแล้วเขาวางแผนมาเป็นอย่างดี

เมื่อได้ยินคําพูดของชวี่หยาง มู่อี้ก็รู้สึกเข้าใจเรื่องราวต่างๆขึ้นมาได้ทันที เขาไม่สงสัยเลยว่าทําไมผู้ที่ผ่านโลกมามากมายอย่างชวี่หยางจะทําเรื่องที่ผิดพลาดง่ายๆเช่นนั้น กลับกลายเป็นว่าทุกๆอย่างที่อีกฝ่ายทําไปนั้นก็เพื่อทดสอบเขาเท่านั้น