ตอนที่ 203 หาทางออกใหม่

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 203 หาทางออกใหม่

เยียนอวิ๋นเกอไม่ได้รีบร้อนกลับเมืองหลวง

สภาพอากาศแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ

ลำธารแห่งเหือด การเพาะปลูกได้รับความเสียหาย

ผลประกอบการปีนี้ย่อมต้องน่าอนาถอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้าไปในแปลงนาครึ่งวัน ภายในใจของนางสิ้นหวังอย่างมาก

พืชผลลดการผลิต หรืออาจไม่มีการผลิต ทุกสิ่งถูกลิขิตเอาไว้แล้ว

ถึงแม้เวลานี้จะมีพายุมาอย่างต่อเนื่อง พืชผลที่ได้รับความเสียหายก็กอบกู้กลับมาไม่ได้แล้ว

สายเกินไปแล้ว!

ห่างจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอีกเพียงเดือนสองเดือน

จากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของทางใต้จะเริ่มเร็วกว่า เกรงว่าก็จะย่ำแย่มากเช่นเดียวกัน

นางต้องรู้สึกโชคดีที่จี้ผิงขับไล่ผู้อพยพนับหมื่นคนออกไป ช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเสบียง ด้านน้ำดื่ม ด้านที่ดินของเรือนพักอย่างมาก

ปีนี้เกิดภัยแล้งจึงไม่ทำการบุกเบิก คนในเรือนพักมีจำนวนมาก เพียงแค่การหางานให้เหล่าผู้อพยพทำก็เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่

ไม่มีงานทำก็ไม่มีเสบียง

อีกทั้งขาดแคลนน้ำ ผู้อพยพไม่ก่อปัญหาถึงจะแปลก

เวลานี้ แรงกดดันของเรือนพักลดลงอย่างมาก อย่าว่าแต่เยียนอวิ๋นเกอ แม้แต่เยียนสุยก็โล่งใจ

ไม่ต้องกังวลเสบียงไม่พอกิน น้ำดื่มไม่พอใช้ ชีวิตช่างดีงาม

เยียนอวิ๋นเกอถามเยียนสุย “ขุดบ่อเป็นอย่างไรบ้าง”

เยียนสุยทำหน้าขมขื่น “แต่ก่อนขุดบ่อน้ำ อย่างมากขุดลงไปเพียงเจ็ดแปดจั้งก็เห็นน้ำ เวลานี้ขุดลงไปถึงยี่สิบจั้งก็ยังไม่เห็นน้ำ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “แม่น้ำเหือดแห้ง ระดับน้ำลดลง บ่อน้ำไม่มีน้ำไหลออกมาก็เป็นเรื่องปกติ ส่งคนไปคุ้มกันบ่อน้ำที่ยังผลิตน้ำได้ตามปกติเอาไว้ แบ่งเวลาและแบ่งกลุ่มคนลงไปตักน้ำ ปีนี้ทุกคนหวังพึ่งน้ำในบ่อประทังชีวิต สัตว์ก็ต้องดื่มน้ำ หากบ่อน้ำถูกคนทำลาย ผลที่ตามมาไม่อาจคาดคิดได้”

เยียนสุยโน้มตัวรับคำสั่ง

เรือนพักมีพื้นที่กว้างใหญ่ มักมีบ่อน้ำหลายแห่งที่แม้อยู่ในระหว่างภัยแล้งก็มีน้ำออกมาได้

บ่อน้ำเช่นนี้คือสมบัติ สมควรที่จะคุ้มกันเอาไว้

พืชผลไม่มีผลผลิต คาดว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงร้อยละสามสิบถึงร้อยละห้าสิบของปีก่อนหน้านี้

เสบียงแค่นี้ไม่เพียงพอ

สิ่งสำคัญคือเยียนอวิ๋นเกอยังเป็นหนี้อยู่

หนี้ของสำนักเซ่าฝู่ยังจ่ายไม่ครบ

ทางบิดาชั่วอย่างเยียนโส่วจ้านก็ยังหวังพึ่งเสบียงของนาง

เรือนพักเองก็ต้องการเสบียงในปริมาณมาก

เยียนอวิ๋นเกอก็ปวดหัวเช่นเดียวกัน

สิ่งเดียวที่โชคดีคือเรือนพักได้กักตุนเสบียงไว้เล็กน้อย ยังสามารถประทังชีวิตต่อไปได้

เมื่อมองดูพืชผลที่แห้งเหี่ยวเพราะภัยแล้งและแสงแดดจัด นอกจากต้นเตี้ยแล้ว รวงข้าวยังเน่าเปื่อย เยียนอวิ๋นเกอหมดความอารมณ์ดีไปเลย

นางตัดสินใจไปดูที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์

การปลูกหญ้าคงจะง่ายกว่าการปลูกพืชใช่หรือไม่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุ่งหญ้าได้ขยับขยายพื้นที่เกือบหมื่นไร่

มองจากระยะไกลก็ยังเห็นความเขียวขจีที่ทำให้ผู้คนมีความสุข

พืชผลไม่มีผลประกอบการ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวหญ้าได้

เมื่อเดินเข้าใกล้นางถึงได้พบว่านางคิดง่ายเกินไป

สถานการณ์ของหญ้าดีกว่าพืชผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ยังคงน่าตื่นตระหนก สามารถมองเห็นพื้นดินใต้ทุ่งหญ้าทุกตารางนิ้วมีความเขียวขจีเพียงเบาบาง

ทุ่งหญ้าที่หรอมแหรมเช่นนี้ ทำให้เยียนอวิ๋นเกอหมดความหวังอย่างสิ้นเชิง

นางบอกพ่อบ้านฉางกุ้ย “ปีนี้ไม่ขายหญ้า พวกเราจะเก็บมันทั้งหมดไว้ในโกดังเพื่อให้สัตว์ของพวกเราใช้ช่วงฤดูหนาว”

ฉางกุ้ยรับคำสั่ง

เยียนอวิ๋นเกอบอกให้เขาวางใจ “เรือนพักจะจ่ายเงินให้ทุ่งเลี้ยงสัตว์ตามราคาตลาด เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องรายรับของปีนี้”

ฉางกุ้ยหัวเราะออกมา “เถ้าแก่ไตร่ตรองได้อย่างรอบคอบ”

ผลประกอบการปีนี้ย่ำแย่ เยียนอวิ๋นเกออารมณ์ไม่ดีอย่างมาก นางขี่ม้าวิ่งไปทั่วทุ่งเลี้ยงสัตว์

จากนั้นนางก็บอกว่ามีคนกำลังขโมยหญ้า

ทุ่งเลี้ยงสัตว์มีขนาดใหญ่ ไม่อาจดูแลได้อย่างทั่วถึง

มักมีพื้นที่ห่างไกลที่ถูกละเลย ดังนั้นจึงถูกคนฉวยโอกาสได้

นางเฝ้าดูอยู่ห่างๆ คนที่ขโมยหญ้าก็ไม่กล้าที่จะโจ่งแจ้ง เมื่อเห็นมีคนมา เขาก็อุ้มมัดหญ้าวิ่งหนีไป

ดูจากการสวมใส่และสำเนียง มีทั้งผู้อพยพที่มาจากต่างถิ่น แต่ก็มีชาวบ้านในท้องถิ่นด้วย

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ ฉางกุ้ยทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น

“รายงานเถ้าแก่ รอบด้านทุ่งเลี้ยงสัตว์มักมีคนมาขโมยหญ้าตลอดทั้งปี แต่ก็ควบคุมไม่ได้ แม้คราวนี้จะขับไล่พวกเขาไป แต่คราวหลังพวกเขาก็มุดเข้ามาจากรอบด้านอีก”

เยียนอวิ๋นเกอเข้าใจ นางถาม “คนพวกนี้ขโมยหญ้าไปเลี้ยงสัตว์ของตนเองหรือขายเอาเงิน”

ฉางกุ้ยกล่าว “ผู้อพยพย่อมขโมยหญ้าไปขาย แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นส่วนใหญ่ขโมยหญ้าไปเพื่อเลี้ยงสัตว์ของตนเอง ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของพวกเราปลูกหญ้าคุณภาพดี สัตว์และม้าล้วนชอบ กินแล้วมีเนื้อ คุณภาพดีกว่าหญ้าที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวในแปลงนาหลายระดับ”

เยียนอวิ๋นเกอถาม “เจ้าขับไล่พวกเขาเป็นประจำหรือ”

ฉางกุ้ยรีบพูด “ตราบใดที่เห็นก็จะขับไล่ออกไป หากไม่ขับไล่เพียงครั้งเดียว ครั้งต่อไปย่อมมีคนจำนวนมากขึ้นมาขโมยหญ้า ไม่ว่าทุ่งเลี้ยงสัตว์จะใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจทนต่อคนมากมายมาขโมยทุกวัน”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “สมควรขับไล่! ไม่ต้องให้พวกเขารับผิดชอบในการขโมยหญ้า แต่ต้องขับไล่ทุกครั้งที่เห็น อย่าได้อดกลั้นหรือมีเมตตาทางวาจา”

“เถ้าแก่พูดมีเหตุผล!”

ทุ่งเลี้ยงสัตว์ไม่มีอะไรให้ดู เยียนอวิ๋นเกอจึงเดินขึ้นไปดูบนภูเขาแทน

สถานการณ์บนภูเขาดีกว่ามาก

ต้นไม้กักเก็บน้ำ เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางป่าและภูเขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความชื้นเล็กน้อย

มีน้ำไหลลงมาจากภูเขา แต่ปริมาณน้ำน้อยมาก

ท่อน้ำที่ทำจากไม้ไผ่นำน้ำจากบนภูเขาลงมากักเก็บไว้ในบ่อน้ำ

โรงตีเหล็กอยู่ในสถานะกึ่งหยุดงาน มีคนทำงานตามปกติเพียงจำนวนน้อย

เนื่องจากขาดน้ำ!

น้ำต้องให้คนและสัตว์ใช้สำหรับดื่มก่อน รองลงมาคือการเพาะปลูก สิ่งสุดท้ายถึงจะเป็นการผลิต

เยียนอวิ๋นเกอสำรวจรอบหนึ่ง สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

เรื่องสำคัญคือจะหาน้ำได้จากที่ใด

ในแม่น้ำเว่ยมีน้ำ แต่ระยะทางห่างไกล

นอกจากนางยอมลงทุนสร้างทางน้ำจากแม่น้ำเว่ยเข้ามา

โครงการนี้ใหญ่เกินไป

นอกเสียจากว่าราชสำนักจะยอมเกณฑ์กำลังคนสร้างทางน้ำ

เยียนอวิ๋นเกอกลัดกลุ้มใจ!

ดวงอาทิตย์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก

นางเรียกประชุมพ่อบ้านทุกคนในห้องลงนาม

“ปัญหาการขาดแคลนน้ำนับวันยิ่งเลวร้ายมากขึ้น หากมีวิธีใดที่จะบรรเทาได้ ทุกคนสามารถเสนอขึ้นมาได้”

เริ่มแรก ทุกคนต่างเงียบ

ต่อมาจี้ผิงริเริ่มพูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็ถกเถียงเรื่องนี้ขึ้นมา

ความจริงแล้ว ทุกคนต่างไม่มีวิธีที่ดี

วิธีที่มีประโยชน์กำลังใช้อยู่

อาทิการจำกัดการใช้น้ำ!

สร้างบ่อเก็บน้ำ

กำจัดสัตว์ปีกและปศุสัตว์ เก็บไว้เฉพาะส่วนหนึ่ง

ลดการทำงาน ไม่ให้คนทำงานอยู่ท่ามกลางแดดจัด การใช้น้ำในแต่ละวันก็สามารถลดได้มากกว่าครึ่ง

วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือขับไล่ผู้อพยพทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเรือนพัก

นี่คือวิธีที่จี้ผิงนำเสนอ

เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุดเสมอ

เยียนสุยคัดค้าน เขาบอกจี้ผิง “มีผู้อพยพจำนวนมาก พวกเขาไม่เพียงแต่บุกเบิก อีกทั้งยังเช่าที่นาของเรือนพัก ว่ากันแล้วพวกเขาล้วนเป็นผู้เช่าที่นาของเรือนพักเรา พืชผลยังไม่ถูกเก็บเข้าโกดัง จะขับไล่ผู้เช่าได้อย่างไร”

“เช่นนั้นก็ขับไล่เพียงผู้อพยพที่บุกเบิกเท่านั้น ผู้เช่าที่นาของเรือนพักสามารถอยู่ต่อ อย่างไรปีนี้ก็ไม่ทำการบุกเบิก ไม่เก็บเกี่ยวพืชผล นอกจากผู้เช่าที่นาแล้ว ผู้อพยพอื่นล้วนขับไล่ออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ บ่อน้ำก็เพียงพอต่อการใช้ของทุกคน อีกทั้งยังมีเหลือ”

หากใช้วิธีของจี้ผิงย่อมจะเห็นผลในทันที

เพียงแต่โหดเหี้ยมไปเท่านั้น

พ่อบ้านหลายคนในเรือนพักต่างเผยสีหน้าสงสาร

“ผู้อพยพที่ก่อเรื่องและครอบครัวของพวกเขาล้วนถูกขับไล่ออกไปแล้ว หากขับไล่ผู้อพยพที่ไม่ได้เช่าที่นาเพราะปัญหาขาดน้ำ เกรงว่าจะเกิดปัญหา”

“ความจริงแล้ว ตราบใดที่ผู้อพยพส่วนใหญ่มีข้าวกินมีน้ำดื่ม พวกเขาก็สามารถทำงานได้อย่างสงบสุข หากขับไล่พวกเขาออกไปจากเรือนพัก คนส่วนใหญ่คงไม่อาจรอดชีวิตในฤดูหนาวนี้ได้”

“การขับไล่เป็นเรื่องง่าย! หากสภาพอากาศดีขึ้นในปีหน้าและต้องการผู้อพยพมาทำการบุกเบิก เมื่อถึงเวลาก็ต้องรับคนใหม่อีก คนที่รับเข้ามาใหม่ไม่อาจเทียบกับผู้อพยพที่คุ้นเคยงานเหล่านี้ได้”

จี้ผิงทำหน้าเย็นชา “สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือน้ำ ไม่ใช่คน รักษาน้ำไว้ก่อน ค่อยรักษาคน ทุกคนอย่าได้สลับความสำคัญกัน อย่าทำให้เกิดการปะทะเพราะน้ำดื่มเนื่องจากความเห็นใจอีก”

บรรดาพ่อบ้านต่างคัดค้านเขา เยียนอวิ๋นเกอยกมือห้ามปราม

นางถามเยียนสุย “สถานการณ์ของผู้อพยพที่ไม่ได้เช่าที่นาเป็นอย่างไร มีกี่คนโดยประมาณ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมเช่าที่ดิน หรือว่าพวกเขามีแผนการอื่นหรือ”

เยียนสุยรีบกล่าว “ผู้อพยพส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เช่าที่ดินเป็นเพราะครอบครัวของพวกเขามีไม่กี่คนและขาดแคลนแรงงาน มีทั้งสตรีและเด็ก บางคนก็เป็นชายโสด…โดยรวมแล้วก็คือแรงงานไม่เพียงพอ ไม่อาจแบกหามได้ คนส่วนน้อยมีฝีมือ สามารถไม่อาศัยการเพาะปลูกก็สามารถหางานในโรงงานเลี้ยงครอบครัวได้”

จี้ผิงขมวดคิ้ว “สตรีและเด็ก ชายโสด ครอบครัวที่ขาดแคลนแรงงานเหล่านี้ไม่สมควรเก็บเอาไว้ในเดิมที สิ้นเปลืองเสบียงเสียเปล่า”

เยียนสุยเงียบ เขากำลังรอท่าทีของเยียนอวิ๋นเกอ

ภายในใจของเยียนอวิ๋นเกอเห็นด้วยกับวิธีของจี้ผิง

การบริหารเรือนพักที่ใหญ่เช่นนี้ หากใจไม่แข็งพอ ตนเองก็ต้องเสียเปรียบ

หากปีที่มีสภาพอากาศราบรื่น นางมีเมตตาได้ เพราะนางมีรายรับจำนวนมาก

เสบียงเพียงจำนวนน้อย นางสามารถแบกรับได้

แต่เวลานี้เกิดภัยแล้ง พืชผลลดจำนวนการผลิต โรงงานไม่สามารถทำงานได้ การใช้น้ำก็เป็นปัญหา

อีกทั้งยังต้องเลี้ยงคนมากมาย ช่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง

แต่ว่า…

นางก็ต้องคำนึงถึงอารมณ์ของพ่อบ้านทุกคน

พ่อบ้านกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเรือนพัก

พวกเขาคุ้นชินกับทุกพื้นที่ ทุกคนในเรือนพักแห่งนี้

พวกเขาเป็นหินปูทางในการพัฒนาอย่างมั่นคงของเรือนพัก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความชอบ

นางไม่อาจทำให้พวกเขาเสียใจ

นางถามเยียนสุย “ความคิดของเจ้าคือไม่ขับไล่คน?”

เยียนสุยพยักหน้า “มีคนจำนวนมากอยู่ตั้งแต่ปีแรกของการเปิดเรือนพัก สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรือนพัก เรือนพักเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา พวกเขามีความรู้สึกยอมรับต่อเรือนพัก คนที่รับเข้ามาใหม่จากด้านนอกไม่อาจเทียบได้”

เยียนอวิ๋นเกอตัดสินใจ “เจ้าพูดมีเหตุผล พวกเขาล้วนเป็นคนเก่าแก่ของเรือนพัก อีกทั้งยังออกแรงเพื่อเรือนพัก สามารถไม่ขับไล่พวกเขาได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ค่าตอบแทนของทุกคนลดลงครึ่งหนึ่ง หากยอมรับได้ก็อนุญาตให้พวกเขาอยู่ต่อ หากไม่อาจยอมรับได้ พวกเขาต้องออกจากเรือนพักไปหาหนทางใหม่ภายในสามวัน”

เมื่อเยียนสุยได้ยินจึงดีใจอย่างมาก

“คุณหนูเมตตา! ค่าตอบแทนลดลงครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะอยู่ต่อ เวลานี้หากออกจากเรือนพักร่ำรวย พวกเขาไม่อาจมีทางรอดที่สองได้”

แถบนครบาลไม่ขาดแคลนคนทำงาน ขาดแต่เพียงเสบียงและน้ำสะอาดสำหรับการใช้ชีวิต

เรือนพักร่ำรวยเป็นสถานที่พักพิงของผู้อพยพนับหมื่น เปรียบเสมือนป้อมปราการของพวกเขา

เพียงแค่อยู่ในเรือนพัก พวกเขาก็ไม่กลัวที่จะไม่มีเสบียงและน้ำดื่ม

———————————————-