พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 190 หากพูดกับท่านถือว่าข้าเป็นหมู
ไทเฮาเห็นฮองเฮาเชื่อฟังตนเองเช่นนี้ ความโมโหภายในใจก็ลดลงมาเล็กน้อย และมองเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตายั่วยุ
เฟิ่งชิงหัวมองสบสายตาของไทเฮาด้วยความประหลาดใจ
ทำไมนางคิดว่า นางเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องเลย
ตอนแรกบอกว่านางยุแยงตะแคงรั่ว ตอนนี้กลับบอกว่านางไร้ประโยชน์ ลูกสะใภ้ของราชวงศ์มันน่าหดหู่เช่นนี้เชียวหรือ?
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวกำลังครุ่นคิดว่า ตนควรที่จะอ่อนข้อเพื่อให้เรื่องนี้ผ่านไป หรือเผชิญหน้ากับไทเฮาอย่างเต็มที่อยู่นั่นเอง ก็ได้ยินไทเฮากล่าวขึ้นมา: “เจ้าเจ็ด เจ้าเขียนหนังสือหย่า หย่าร้างกับนางเสีย!”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นหัวใจก็เต้นตูมตามขึ้นมา รู้สึกตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
ดวงตาลึกซึ้งของจ้านเป่ยเซียวจ้องมองไปยังไทเฮา ความเย็นยะเยือกแวบผ่านไปในดวงตา
ไทเฮาถูกสายตาของเขาจับจ้องจนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ
ไทเฮาฝืนทนต่อความเย็นยะเยือกนี้: “จะไม่หย่าก็ได้ แต่ว่า พระชายาของเจ้ามีวิสัยทัศน์คับแคบ วันนี้เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะให้นางอยู่ที่วังหลวงสักสองสามวัน อบรมสั่งสอนนางแล้วค่อยส่งนางกลับไป”
ได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิงหัวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มอบให้ไทเฮาอบรมสั่งสอน ไทเฮาถืออะไรมาอบรมสั่งสอนนาง?
ในขณะเดียวกัน เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าอุณหภูมิที่อยู่โดยรอบได้เย็นยะเยือกขึ้นมา แม้แต่กายใจก็ยังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดกดดัน
คนที่รู้สึกหายใจไม่ออกนั้นมิได้มีเพียงเฟิ่งชิงหัว แม้แต่จ้านชิงอิง ฮ่องเต้ฮองเฮา ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก จนแทบจะขาดอากาศหายใจ
จ้านเป่ยเซียวหัวเราออกมาอย่างเย็นชา ไม่พูดใด ๆ และดึงมือของเฟิ่งชิงหัวออกไปทันที
ไทเฮารู้สึกว่าร่างกายได้ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง นิ้วมือที่สั่นเทาได้ชี้ไปยังทางที่ทั้งสองคนเดินจากไปตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห: “ฮ่องเต้ เจ้าดูสิ ดูลูกชายของเจ้าขัดคำสั่งของข้าเพียงแค่ไหน ข้า ข้าเป็นถึงเสด็จย่าของเขาเชียวนะ”
สายตาที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองไทเฮาในตอนนี้ก็ได้จางลงไปมาก ลุกขึ้นยืนและกล่าว: “ลูกนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีสาส์นกราบทูลที่ยังมิได้ดู ต้องขอตัวกลับก่อน ฮองเฮาเจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนไทเฮานะ”
จ้านชิงอิงเองก็ได้รีบกล่าวขึ้นมา: “เสด็จย่า นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาห้ามออกนอกพื้นที่แล้ว หลานเองก็ขอตัวกลับก่อน วันหลังค่อยเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
ไทเฮาถูกท่าทางเย็นชาของฮ่องเต้เซวียนถ่งกระทบกระเทือนจิตใจ ชี้ไปทางประตูและกล่าวกับฮองเฮา: “ฮองเฮา เจ้าดูสิ พ่อลูกคู่นี้ มิได้เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด ไม่นึกเยว่าพวกเขาแต่ละคน จะกล้าปฏิบัติเช่นนี้กับข้า”
ฮองเฮาเย้ยหยันอยู่ภายในใจ แต่ภายนอกกลับได้กล่าวปลอบประโลม: “เสด็จไม่ทำใจกว้างเข้าไว้ เจ้าเจ็ดมีนิสัยเช่นนี้มาโดยตลอด เพราะไม่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้เติบโตมาที่วังหลวง มีนิสัยป่าเถื่อนอยากที่จะสั่งสอนก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ไทเฮาทำเสียงเย้ยหยัน: “ให้กำเนิดโดยสตรีชาวป่าชาวเขา ย่อมไม่มีมารยาทเป็นธรรมดา แต่ฮ่องเต้กลับเห็นเขาเป็นไข่ในหิน ใส่หน้ากากอยู่ตลอดวัน ในเมื่อไม่มีหน้าจะพบผู้คน ก็อย่าเข้ามาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในวัง”
ฮองเฮาเห็นไทเฮาไม่ชอบหน้าจ้านเป่ยเซียวเช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกยินดีไม่น้อย
จู่ ๆ ไทเฮาก็เอ่ยขึ้นมา: “ในเมื่อชายาเจ็ดผู้นี้ไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นก็หาชายารองที่ว่านอนสอนง่ายมาสักสองสามคน เรื่องนี้มอบให้เจ้าเป็นคนไปจัดการ”
ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น: “แต่ว่าท่านอ๋องเขา เกรงว่าคงจะไม่ร่วมมือกระมังเพคะ”
ไทเฮาตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห: “เขากล้าปฏิเสธ? ข้าเป็นถึงเสด็จย่าของเขา! ตกลงเช่นนี้แหละ พอดีกับที่ชิงอิงเองก็จะต้องคัดเลือกพระชายา เจ้าไปจัดการพร้อมกันเถอะ”
ฮองเฮาพยุงไทเฮาไปนั่งที่ด้านหลัง พลางกล่าว: “เพียงแต่แม้ว่าท่านอ๋องจะหายดีแล้ว แต่หน้าตากลับเสียโฉม เกรงว่า คงไม่มีบุตรสาวเอกของตระกูลใดยอมแต่งด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นเพียงแค่ตำแหน่งพระชายารอง”
ตอนนี้ไทเฮากำลังอยู่ในความโมโห จึงได้กล่าวขึ้นมา: “เขายังคิดอยากได้บุตรสาวเอกอีกหรือ? เจ้าหาบุตรสาวรองคนที่มีตำแหน่งสถานะที่ไม่น่ารังเกียจจนเกินไป รูปร่างหน้าตาและความสามารถเป็นเรื่องรองลงมา ขอแค่เชื่อฟังว่านอนสอนง่ายเป็นอันพอ”
เดิมทีฮองเฮาก็จงใจทำเช่นนี้ ขาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวหายดี สำหรับนางแล้วนับว่ามีความอันตรายมาก แต่ตอนนี้ไทเฮาดิทรงตรัสแล้ว ว่าให้หาบุตรสาวภรรยารอง คนตระกูลเหล่านั้นเมื่อลองเทียบกันแล้วก็จะเข้าใจเอง จะไม่ให้ความสำคัญกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ใบหน้าของจ้านเป่ยเซียวมีโอกาสที่จะหายดีในวันหน้า ก็ไม่มีทางที่จะแย่งชิงบัลลังก์กับรัชทายาทของนางได้อย่างแน่นอน
ฮองเฮากล่าวอย่างเคารพนอบน้อม: “เพคะ เสด็จแม่โปรดวางพระทัย”
ส่วนอีกต้านหนึ่งนั้น เฟิ่งชิงหัวถูกจ้านเป่ยเซียวลากมาตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากตำหนักบรรทมของไทเฮา มิได้เรียกเกี้ยว เดินอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อ (สิบหน้านาที) มือเป็นเหมือนดั่งครีมเหล็กจับมือของนางเอาไว้ ทำให้เฟิ่งชิงหัวไม่สามารถสะบัดหลุดได้
บุรุษหนุ่มมีรูปร่างสูงขายาว แถมยังเดินเร็ว เฟิ่งชิงหัวได้แต่วิ่งเหยาะๆ ถึงสามารถตามทัน เห็นว่าบุรุษหนุ่มมิได้มีท่าทีว่าจะลดความเร็วลง จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ: “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ท่านเดินช้า ๆ หน่อย”
บุรุษหนุ่มทำเป็นหูทวนลม
“จ้านเป่ยเซียว ท่านหยุดก่อน ข้าเดินไม่ไหวแล้ว!” เฟิ่งชิงหัวได้แต่ย่อตัวลงใช้พลังทั้งหมดของร่างกายต่อต้านจ้านเป่ยเซียว
ในที่สุดจ้านเป่ยเซียวก็ได้หยุดลง หันกลับไป จ้องมองนางด้วยดวงตาเย็นชา ริมฝีปากบาง ๆ เม้มสนิท ความไม่พอใจกระจายไปทั่วทั้งตัว
เฟิ่งชิงหัวทำท่าทางน่าสงสาร: “ข้ามิใช่ว่าวเสียหน่อย ท่านจะเดินเร็วแค่ไหนข้าก็ไม่สามารถลอยขึ้นได้”
“เจ้ายืนทึ่มอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเดิน รอให้นางดึงเจ้าไปอบรมสั่งสอนหรืออย่างไร?” จ้านเป่ยเซียวก้มต่ำมองดูเฟิ่งชิงหัว
“หา?”
“ปกติแล้วเวลาคุยกับข้าก็ยั่วโมโหมากมิใช่หรือ? เหตุใดเมื่อสักครู่ถึงได้เป็นเหมือนเต่าหดหัวเลยเล่า เจ้าต่อต้านไม่เป็นหรืออย่างไร?”
“เอ่อ?”
ต่อต้านใคร? ไทเฮา?
ไม่ใช่ควรเคารพผู้อาวุโสรักและเมตตาเด็กหรอกหรือ?
“ถ้าหากวันนี้ข้าไม่อยู่ เจ้าก็คงถูกรังแกเสียแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวลูปหน้าฝากของตัวเอง: “แต่ว่า นางเป็นเสด็จย่าของท่ามิใช่หรือ?”
“ไม่ใช่เสด็จย่าแท้ ๆ เสียหน่อย” จ้านเป่ยเซียวพูดสั้น ๆ แต่กินความครอบคลุม
“อะไรนะ?” ดังนั้นก็สามารถต่อปากต่อคำได้ตามอำเภอใจ?
จ้านเป่ยเซียวมีสีหน้าเยือกเย็น: “ไม่ต้องเห็นนางเป็นผู้อาวุโส นางไม่คู่ควร”
ในขณะที่บุรุษหนุ่มกล่าวคำพูดนี้นั้น ไอสังหารแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว จ้านเป่ยเซียวแบบนี้ เป็นแบบที่เฟิ่งชิงหัวไม่ค่อยจะได้เห็น
แม้เขาจะเย็นชา แต่นั่นเป็นเพียงปฏิกิริยาที่เขามีต่อเรื่องราวโดยทั่วไป แต่น้ำเสียงเหยียดหยามอย่างเมื่อพูดถึงไทเฮา ทำให้เฟิ่งหัวไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวใจลอยอยู่นั่นเอง จ้านเป่ยเซียวก็ได้ดึงนางลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ว และเดินมุ่งหน้าไปยังนอกวังหลวงต่อไป เพียงแต่ว่าคราวนี้นั้นฝีเท้าได้ลดช้าลง
เฟิ่งชิงหัวมีความคิดอยากจะสอบถามเรื่องราวให้ชัดเจนอย่างพบเห็นได้ยาก เดินตามเขาไปอย่างให้ความร่วมมือ พลางหันไปมองสีหน้าของจ้านเป่ยเซียว และเอ่ยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง: “เหตุใดท่านถึงได้เกลียดชังไทเฮาเช่นนั้นเล่า? เป็นเพราะนางไร้ซึ่งเหตุผลหรือ?”
จ้านเป่นเซียวปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
เฟิ่งชิงหัวจิ้มที่คางเบา ๆ : “ข้ารู้สึกตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเหมือนว่านางจะไม่ชอบข้ามาก เพราะเหตุใดหรือ เหมือนว่าข้าจะมิเคยล่วงเกินนางมาก่อนนะ”
จ้านเป่ยเซียวยังคงไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางพูดไม่หยุดอยู่ที่ข้างหูของเขาราวกับผึ้ง
เพิ่งชิงหัวเอ่ยถามไม่หยุด จ้านเป่ยซียวกลับมิได้ตอบใด ๆ เลย ตัวเฟิ่งชิงหัวเองก็รู้สึกเบื่อ ยื่นมือออกไปและสะบัดมือของจ้านเป่ยเซียวออก และกล่าวอย่างโมโห: “นับตั้งแต่ตอนนี้ไป หากข้าพูดกับท่านอีกถือว่าข้าเป็นหมู!”
กล่าวจบ เฟิ่งชิงหัวก็วิ่งจากไปด้วยความโกรธ เหลือเพียงจ้านเป่ยเซียวยืนอยู่ที่เดิม บนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้เลยสักนิดว่า เหตุใดจู่ ๆ นางถึงได้โมโหขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เดินไปอย่างเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน อย่างไรเสียพระราชวังก็เชื่อมต่อทุกทิศทุกทาง นางไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีจ้านเป่ยเซียวนางจะเดินออกไปจากวังหลวงไม่ได้
หลังจากนั้นก็พบว่า วังหลวงแห่งนี้ มันอ้อมค้อมสลับซับซ้อนมากจริง ๆ เป็นอย่างที่คิด นางหลงทางเข้าเสียแล้ว