ตอนที่ 155 ระยะห่างจากจวิ้นจู่ไปเป็นองค์หญิง (3)

หวนคืนชะตาแค้น

ท่วงท่าการร่ายรำขององค์หญิงหมิงจูแฝงด้วยเอกลักษณ์ของแคว้นเกาจวี้อย่างชัดเจน ถึงแม้อาจจะไม่ได้โดดเด่นไปกว่าการร่ายรำของแคว้นหวาแต่กลับเอาชนะเรื่องความแปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์ เหล่าบุรุษที่นั่งอยู่มากมายต่างอดจับจ้องไปที่องค์หญิงหมิงจูไม่ได้ สายตามองร่างที่หมุนขยับตามท่วงท่าไปมาโดยไม่กะพริบตาสักนิด เหล่าสตรีเองก็จับจ้องนางเช่นกันพลางลอบคิดจินตนาการในใจว่าหากเป็นตนจะเต้นได้งดงามกว่านางหรือไม่

เมื่อเสียงดนตรีสิ้นสุดลง องค์หญิงหมิงจูก็จบการแสดงด้วยท่วงท่าอันงดงามตรึงใจ จากนั้นก็ทำความเคารพไทเฮาและฮ่องเต้แคว้นหวาที่นั่งอยู่ด้านบนทีหนึ่ง “องค์หญิงหมิงจูแห่งแคว้นเกาจวี้ขอฝ่าบาททรงพระเจริญและไทเฮาทรงเกษมสำราญเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นหวาพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เยี่ยมมาก การแสดงขององค์หญิงทำให้เราเปิดโลกนัก ระบำของแคว้นเกาจวี้ช่างสมคำล่ำลือเสียจริง”

ได้ฟังคำชื่นชมจากฮ่องเต้แคว้นหวา องค์หญิงหมิงจูก็พรูลมหายใจโล่งอก

ตนไม่อยากทำเช่นนี้เลย แต่แคว้นเล็กที่ต้องพึ่งพิงแคว้นหวาเพื่อความอยู่รอดนั้นไม่สามารถหยิ่งผยองได้อย่างแคว้นใหญ่ๆ เฉกเช่นแคว้นเย่ว์และแคว้นเป่ยฮั่น ในเมื่อนางเป็นองค์หญิงพูดไปก็เป็นเพียงของขวัญชิ้นหนึ่งที่มอบให้ฮ่องเต้แคว้นหวาเท่านั้น ดังนั้นห้ามทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยเด็ดขาด

“หม่อมฉันกลับไม่ถนัดเรื่องระบำ เช่นนั้นขอไม่แสดงแล้วกันเพคะ แต่พอจะรำกระบี่ถวายแด่ไทเฮาแห่งแคว้นหวาได้สักท่อน หวังว่าไทเฮาและฝ่าบาทจะมิทรงรังเกียจ” ชั่วขณะที่บรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์กำลังชั่งใจกันอยู่ ฉับพลันหย่งจยาจวิ้นจู่ที่นั่งอยู่ข้างกายเกอซูฮั่นก็ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงดัง ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นหวาป่าวประกาศว่าจะถวายการแสดงเพื่อไทเฮาก็คงขัดขืนไม่ขึ้นแสดงไม่ได้ ทว่า แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้แคว้นหวากลับไม่เคยให้บรรดาบุตรสาวตระกูลผู้ดีมาแสดงในงานเลี้ยงเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นชั่วเวลานี้เลยทำให้ทุกคนลังเลไม่กล้าอยู่บ้าง เป่ยฮั่นกลับไม่ได้มีกฏธรรมเนียมอะไรมากมายนัก ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วก็ต้องขึ้นแสดงอยู่ดี หย่งจยาจวิ้นจู่เลยทำการแสดงก่อนอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

ครั้นไทเฮาเห็นสาวน้อยในชุดสีแดงบุคลิกมาดมั่นองอาจก็อดยิ้มเอ่ยกับฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้ว่า “ได้ยินมาว่าสตรีของเป่ยฮั่นมีศิลปะวิทยายุทธ บุคลิกของหย่าจยาจวิ้นจู่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ฮ่องเต้แคว้นหวาเองก็พยักหน้าคล้อยตามแล้วยิ้มเอ่ย “เสด็จแม่ตรัสไม่ผิดเลย ข้าก็ได้ยินมาว่าศิลปะวิทยายุทธของหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่ธรรมดา นับว่าเป็นสตรีผู้เก่งกาจที่เห็นได้ยากมากทีเดียว”

หย่งจยาจวิ้นจู่เองก็ไม่ได้ขัดเขินอะไร นางส่งยิ้มให้เกอซูฮั่นแล้วหยัดกายขึ้นชักกระบี่ล้ำค่าที่นางในส่งให้ขึ้นมา จานนั้นก็เห็นเพียงหย่งจยาจวิ้นจู่สะบัดข้อมือปล่อยประกายดาบสาดส่องวิบวับ ในเวลาอันสั้น สาวในชุดสีแดงร่างสะโอดสะองก็ขยับตามท่วงท่าดั่งมังกร ประกายกระบี่วาดลวดลายอานุภาพไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่ได้หยิบกระบี่มาเล่นๆ แต่กลับผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนแล้ว

เหล่าองค์หญิงที่นั่งข้างกายมู่ชิงอีพากันตกตะลึงต่อการแสดงของหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่น้อย สถานที่อย่างเมืองหลวงหาสตรีที่รำดาบกระบี่กระบองเช่นนี้ได้น้อยมากจริงๆ องค์หญิงหมิงเวยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หย่งจยาจวิ้นจู่เป็นคนโผงผางตรงไปตรงมา แต่นิสัยเช่นนี้…” นิสัยเช่นนี้ไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับการเกี่ยวดองที่ดีเลยจริงๆ หากหย่งจยาจวิ้นจู่อยู่แคว้นหวาต่อไป เกรงว่าวันข้างหน้าคงไม่ได้มีความสุขเฉกเช่นในตอนนี้แน่นอน

“เหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นและหย่งจยาจวิ้นจู่จะสนิทสนมกันมากพอควร ถ้าหย่งจยาจวิ้นจู่ไม่คิดจะอยู่ย่อมไม่ฝืนใจนางแน่นอน” นับว่านางพอจะคุ้นเคยกับหย่งจยาจวิ้นจู่อยู่บ้างและมู่ชิงอีก็รู้สึกดีกับจวิ้นจู่ผู้นี้ไม่น้อย

นางไม่เป็นกังวลเรื่องหย่งจยาจวิ้นจู่เลย เป่ยฮั่นทหารกองกำลังแข็งแกร่ง ต่อให้จะเกี่ยวดองกันจริงก็มีหลายจุดที่ยังพูดคุยต่อรองกันได้โดยไม่ต้องทิ้งหย่งจยาจวิ้นจู่ไว้ที่นี่ อย่างน้อยหลังจากผ่านการไปมาหาสู่กันไม่กี่ครั้งกลับทำให้มู่ชิงอีไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงเรื่องในวันข้างหน้าของหย่งจยาจวิ้นจู่ผู้นี้ เกอซูฮั่นพานางมาด้วยก็ไม่ได้สื่อว่าจะเอานางมาเกี่ยวดองด้วยสักหน่อย ในทางกลับกันองค์หญิงไหวหยางต่างหากที่เหมือนจะเอามาเกี่ยวดองด้วยมากกว่า เพียงแต่น่าเสียดายที่เหมือนว่าองค์หญิงไหวหยางจะ…

“พูดถึงเลี่ยอ๋องก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ ฉังหนิงไม่ต้องตาบ้างหรือ” องค์หญิงหมิงเวยกลั้วหัวเราะเอ่ยถามเสียงเบา เรื่องที่เกอซูฮั่นเป็นฝ่ายไปสู่ขอหมั้นหมายถึงจวนก่อน องค์หญิงหมิงเวยทรงทราบเช่นกัน สิ่งที่ยากกว่านั้นคือในฐานะเลี่ยอ๋องผู้สูงศักดิ์อำนาจล้นฟ้าแห่งเป่ยฮั่น หลังจากเกอซูฮั่นถูกปฏิเสธกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด กระทั่งยังจัดการพวกที่อาจจะปล่อยข่าวลือให้ร้ายมู่ชิงอีเรียบร้อยด้วย อย่างน้อยก็สื่อว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง

มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างระอาแล้วเอ่ย “หม่อมฉันไม่อยากไปจากแคว้นหวา” อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ได้…

องค์หญิงหมิงเวยนึกว่านางไม่อยากออกเรือนอภิเษกไปไกลบ้านเลยลอบถอนหายใจเงียบๆ กล่าว “ไปจากเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว” เป่ยฮั่นไม่ได้เป็นดินแดนแร้นแค้นแห้งแล้งอย่างที่คนแคว้นหวาเข้าใจ ในทางกลับกันยังมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังมีภูเขาแม่น้ำ มีเขตเจริญและหมู่บ้านเฉกเช่นเดียวกับแคว้นหวา เพียงแต่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเลยทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนชนเผ่าทุ่งหญ้าทางตอนเหนือได้ง่ายเท่านั้น หากเลือกได้องค์หญิงหมิงเวยยอมอภิเษกไปที่ไกลแสนไกลเสียดีกว่า ไม่ใช่ถูกกักขังอยู่ในวังดั่งนกในกรงทองเช่นนี้

ระหว่างที่พวกนางสนทนากันกลับได้ยินเพียงเสียงฉับดังขึ้นเท่านั้น ที่แท้หย่งจยาจวิ้นจู่ก็รำกระบี่จบกระบวนท่าแล้วเลยเก็บกระบี่เข้าฝักไป

“เยี่ยม!” ในพระตำหนักร้องชื่นชมไม่หยุด กระบวนท่าสุดท้ายของหย่งจยาจวิ้นจู่ทำให้มองเห็นทักษะกระบี่ของนางได้ว่าน่าทึ่งมากจริงๆ อย่างน้อยสำหรับสตรีคนหนึ่งสามารถทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งกาจไม่เบาแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่ฉีกยิ้มกว้างแล้วทำท่าคำนับต่อทุกคน อีกทั้งยังไม่ลืมหันมาขยิบตาให้มู่ชิงอีอย่างได้ใจแล้วถึงจะกลับไปนั่งข้างกายเกอซูฮั่น

ครั้นมีการแสดงขององค์หญิงและจวิ้นจู่สองคนนี้แล้ว บรรดาสตรีของแคว้นหวาย่อมไม่มีทางยอมแพ้อยู่แล้ว บุตรีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของจวนตระกูลหลี่หรือก็คือพระชายากงในวันข้างหน้าออกมาแสดงเพลง ‘กระแสนทีแห่งหุบเขาสูง’ จนเอาชนะใจคนในพระตำหนักไปไม่น้อย องค์หญิงเก้าทรงวาดภาพเองกับมือเพื่อถวายให้แด่ฮ่องเต้แคว้นหวาเป็นของขวัญ บุตรสาวอีกไม่กี่ตระกูลอื่นๆ ก็แสดงทักษะศิลปะของตนไป ถึงแม้เหล่าบุตรีของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงจะไม่ได้สนใจเรื่องระบำหรือวิทยายุทธกระบี่กระบองอะไรทำนองนั้น แต่ในด้านดนตรี หมากรุก วาดเขียนกลับมีทักษะอยู่ในขั้นสูง อีกทั้งยังช่วยรักษาหน้าแคว้นหวาต่อหน้าเหล่าขุนนางราชทูตแต่ละแคว้นไว้ด้วย

ถึงแม้มู่ชิงอีจะเป็นจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้แคว้นหวาทรงแต่งตั้งเองกับมือ แต่หลายปีมานี้ในเมืองหลวงไม่เคยเล่าลือถึงว่านางเป็นสตรีที่มีความสามารถอะไร นางเลยชมการแสดงอย่างสบายใจพลางฟังคำติชมของคุณหนูเหล่านี้จากองค์หญิงหมิงเวยด้วย ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนร้องไห้ไม่ได้ยิ้มไม่ออกก็คือหรงจิ่นที่นั่งข้างหรงเหยี่ยนนั้นนั่งก้มหน้าสัปหงกไปนานแล้ว หากใครไม่รู้คงนึกว่าคืนก่อนหน้านี้เขาไปทำเรื่องลับๆ ล่อๆ อะไรมาเสียอีก

“ไหวหยางเองก็ยินดีถวายการแสดงแด่ไทเฮาสักเพลงเช่นกันเพคะ” ตำแหน่งที่นั่งเหนือขุนนางทูตแคว้นเย่ว์ขึ้นไป จู่ๆ องค์หญิงไหวหยางในชุดเข้าวังสีฟ้าอ่อนหวานชดช้อยก็หยัดกายลุกขึ้น ครั้นเห็นองค์หญิงไหวหยางเป็นเช่นนี้ทุกคนกลับไม่เหนือคาดอะไร ในเมื่อหย่งจยาจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่นก็แสดงฝีไม้ลายมือไปเป็นอันดับที่สองแล้ว อีกทั้งยังเป็นรำกระบี่ที่ตรึงใจคนไม่น้อยด้วย หากองค์หญิงแห่งแคว้นเย่ว์ไม่แสดงอะไรเลยถึงจะถือว่าแปลก สาวงามอย่างองค์หญิงและจวิ้นจู่สองแว่นแคว้นยิ่งใหญ่เช่นนี้เห็นไม่ได้ง่ายๆ ในใจทุกคนย่อมเลี่ยงที่จะเปรียบเทียบพวกนางไม่ได้อยู่แล้ว หากคืนนี้องค์หญิงไหวหยางไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยคงพลอยทำให้ทุกคนรู้สึกว่าองค์หญิงไหวหยางขี้ขลาดตื่นเวทีพานรู้สึกว่าสู้หย่งจยาจวิ้นจู่ไม่ได้ด้วย

“หย่งจยาจวิ้นจู่มีกระบวนท่ารำกระบี่ที่ยอดเยี่ยม ไม่รู้ว่าองค์หญิงไหวหยางคิดจะแสดงศิลปะขนานใดให้ทุกคนชมอย่างนั้นหรือ” องค์ชายเจ็ดที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ ความจริงสถานการณ์ในค่ำคืนนี้ นอกเสียจากจะมีความมั่นใจในฝีมือว่าเอาคนในงานอยู่หมัดแล้ว มิเช่นนั้นยิ่งอยู่ลำดับท้ายๆ ก็ยิ่งเสียเปรียบ ฝีมือการแสดงที่สตรีจะทำได้ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง องค์หญิงหมิงจูเต้นร้องระบำไปตอนต้นแล้ว หย่งจยาจวิ้นจู่รำกระบี่ หลี่จืออี๋เล่นฉิน ส่วนองค์หญิงเก้าก็วาดภาพงดงามไม่เป็นรองใคร องค์หญิงไหวหยางคิดจะเกทับใครสักคนไม่ว่าทางใดย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ตอนต่อไป