ตอนที่ 274 โลงศพที่ยกไม่ขึ้น

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 274 โลงศพที่ยกไม่ขึ้น

หมู่บ้านหวังห่างจากเมืองหลี่นับว่าไม่ไกล หวังต้าหย่งขับเกวียนไม่นานก็ถึงหมู่บ้าน

ฉินหลิวซีนั่งบนเกวียนมองออกไป หมู่บ้านหวังห่างจากเมืองหลี่ไม่ไกลและมีข้อดีคือถนนในหมู่บ้านแห่งนี้รวมถึงบ้านเรือนที่เรียงรายค่อนข้างสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ไร่นาที่อยู่ติดถนนก็ปลูกไว้อย่างดี เมื่อมองไปยังภูเขาที่ล้อมรอบ อากาศสดชื่น และยังมีละอองความชื้นโชยมา คะเนว่ามีแม่น้ำลำธาร มีภูเขามีน้ำ หมู่บ้านนี้พูดได้ว่าฮวงจุ้ยดี

เมื่อถึงในหมู่บ้าน มีคนทักทายหวังต้าหย่ง มีคนหนึ่งเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ต้าหย่งเจ้ากลับมาแล้ว รีบไปที่บ้านเร็ว ครอบครัวหูนำนักพรตมาคนหนึ่ง ว่าจะมาดูโลงศพพ่อเจ้าว่าเป็นอย่างไร”

“อะไรนะ” หวังต้าหย่งตกใจ บ้านหูเป็นครอบครัวฝ่ายแม่เลี้ยง พวกเขาพานักพรตมา ใครจะรู้ว่าอยากจะช่วยด้วยใจจริงหรือว่าหาเรื่องกันแน่

เขาหันหลังมาเอ่ย “ไต้ซือ ท่านนั่งดีๆ ล่ะ” เอ่ยจบ แส้ไม้ไผ่ในมือก็หวดลงที่หลังวัวเทียมเกวียน เจ้าวัวลิ้มรสแส้และวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ฉินหลิวซีได้ยินสิ่งที่ชาวบ้านคนนั้นกล่าว หางคิ้วกระตุก คาดไม่ถึงจะมีคนชิงตัดหน้าไปก่อน? ม้าแก่รู้ทาง วัวก็เช่นกัน ไม่นานมันก็นำหวังต้าหย่งและผู้ร่วมทางคนอื่นๆ มาถึงบ้านหวัง

“ไต้ซือ ถึงแล้วขอรับ” หวังต้าหย่งลงจากเกวียนไปรับ แต่กลับเห็นฉินหลิวซีลงมาจากเกวียนเรียบร้อย

ฉินหลิวซีมองบ้านที่แขวนธง แขวนโคมชนิดที่ใช้สำหรับจัดงานศพ นางไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองด้านบนห้องซึ่งปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกควันจากความอาฆาตที่รุนแรง เพียงแต่ยังไม่กลายเป็นปีศาจ หาไม่คนที่จัดงานและทั้งคนมาร่วมไว้อาลัยมีอันต้องเจ็บป่วยลงไม่มากก็น้อย

“บ้านท่านก็พอมีอันจะกิน”

หวังต้าหย่งถูมือทั้งสองข้างพลางหัวเราะแหะๆ “ท่านพ่อข้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่างานศพนี้จัดได้สมฐานะทีเดียว ด้านนอกห้องมีโต๊ะเก้าอี้จัดวางเรียงรายไว้ คนที่มาช่วยงานและผู้มาร่วมไว้อาลัยต่างพากันจ้องมองมาด้วยความอยากรู้ เสียงกระซิบกระซาบแสดงความเห็นดังมาเข้าหู

“คนผู้นี้เป็นใคร ต้าหย่งมิใช่เข้าเมืองไปสั่งทำฝาโลงใหม่หรอกหรือ ทำไมจึงพาเด็กหนุ่มสองคนนี้มา”

“คงเป็นคนคุ้นเคยของผู้ใหญ่บ้าน พอรู้ข่าวก็มาร่วมไว้อาลัยกระมัง?”

“ไม่ใช่หรอก ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นแค่ผู้ใหญ่บ้าน จะไปรู้จักคุณชายน้อยที่ดูมีฐานะเช่นนี้ได้อย่างไร ดูแล้วเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่”

“ใช่ๆๆ ท่าทางไม่เหมือนเด็กในหมู่บ้านเรา”

มีเด็กหนุ่มสาวในหมู่บ้านที่อายุอานามพอๆ กับฉินหลิวซี บางคนมองอย่างอิจฉาริษยา บางคนมองอย่างดูถูกดูแคลน คุณชายที่ดูสำอางเช่นนี้ ถ้าสู้กันจะรับมือพวกเขาไหวหรือ

หน้าขาวซีดขนาดนี้ อย่างกับผู้หญิง ชิ!

แต่เขาดูสง่างาม และยังหน้าตาดีอีกด้วย

ฉินหลิวซีหูไวตาไว เสียงวิพากษ์วิจารณ์ สายตาสอดรู้สอดเห็นเหล่านั้นล้วนอยู่ในสายตา นางยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก ยิ่งทำให้คนมองไม่อาจละสายตา

“พี่ใหญ่กลับมาสักที รีบเข้าไปเถอะ พี่น้องทางบ้านสกุลหูของแม่เลี้ยงพานักพรตมาคนหนึ่ง เขาบอกว่าบ้านเราสกปรก มีวิญญาณร้ายสิงสู่หลอกหลอนคนในบ้าน” หญิงสาวคนหนึ่ง ผิวค่อนข้างคล้ำ นางสวมหมวกสำหรับงานศพวิ่งออกมา เมื่อเห็นฉินหลิวซีที่ยืนอยู่ข้างหลังหวังต้าหย่ง อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน นางจัดเสื้อกระสอบสำหรับงานศพที่สวมอยู่อย่างจงใจ พลางถาม “นี่ใครหรือเจ้าคะ”

“ชุ่ยเหลียน ท่านนี้คือ…”

“ข้าชื่อกวนจี้ มาจากร้านโลงศพ” ฉินหลิวซีชิงตัดหน้าหวังต้าหย่งพูด

หวังต้าหย่งชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงเอ่ยเช่นนี้ แต่เมื่อนึกดูแล้วตอนนี้อีกฝ่ายก็เป็นเจ้าของร้านโลงศพจริงๆ

“เอ้อ คนที่เป็นผู้จัดการเรื่องโลงศพของท่านพ่อหรือ ไม่ใช่คนแก่หรอกหรือ ทำไมคนที่มาจึงเป็นเด็กหนุ่มได้” หวังชุ่ยเหลียนกล่าว

“ผู้เฒ่าที่ดูแลท่านนั้นไปสวรรค์แล้ว ข้าได้ยินจากพี่ชายเจ้าว่าโลงศพเกิดมีปัญหา จึงได้มาดู” ฉินหลิวซีพูดยิ้มๆ

หวังชุ่ยเหลียนฟังคำอธิบาย จึงทำคารวะฉินหลิวซีอย่างขอไปที “ขอบคุณท่านแล้ว พี่ใหญ่ รีบเข้าไปเถอะ”

หวังต้าหย่งมองมาทางฉินหลิวซี เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในบ้าน”

ฉินหลิวซีเดินตามเข้าไป พลางสังเกตรูปแบบตัวบ้านและผู้คนในบ้านหวัง

เนื่องจากเป็นบ้านของผู้ใหญ่บ้าน บ้านหวังจึงมีลักษณะดีกว่าบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ไม่นับวัวควายที่เลี้ยงไว้ในบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านก็เป็นห้องโถงหลักขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง และอีกสามห้องหลักในบ้านสร้างล้อมลานกว้างทั้งสี่ด้าน ในสามห้องนี้มีห้องหลักที่อยู่ด้านตะวันออกและตะวันตกของห้องโถงหลักอย่างละห้อง และยังมีห้องขนาดเล็กขนาบข้างห้องโถงใหญ่ ตรงหน้าห้องโถงใหญ่เป็นลานกว้าง ที่มุมด้านใต้ขุดบ่อน้ำเล็กๆ ไว้บ่อหนึ่ง ภายในบ้านจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับคนช่วยงานและคนที่มาร่วมไว้อาลัย หลังบ้านล้อมด้วยแปลงพืชผักขนาดประมาณหนึ่งไร่ และยังสร้างห้องส้วมไว้ด้วย

ระหว่างทางฉินหลิวซีสอบถาม สภาพปัจจุบันของสมาชิกบ้านหวัง แม่ที่ให้กำเนิดตายไปเมื่อหกปีก่อน จากนั้นอีกไม่ถึงหนึ่งปีผู้ใหญ่หวังก็แต่งงานใหม่

ในชีวิตหวังต้าหย่งมีน้องชายสี่คน น้องสาวสองคน น้องชายคนรองขึ้นเขาไปจับหมูป่าโชคไม่ดีถูกงูใหญ่กัดตาย ในตอนนั้นเขายังไม่มีลูก เมียของเขาจึงแต่งงานใหม่ น้องคนที่สามเอ้อระเหยไปวันๆ ปีที่แล้วเขาแต่งงานมีเมีย ผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี สองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้จึงหย่าขาดกัน ส่วนน้องชายคนที่สี่เป็นน้องที่เกิดจากแม่เลี้ยง ปีนี้เพิ่งจะสี่ขวบเท่านั้น

น้องสาวสองคน คนโตแต่งงานกับพ่อค้าหาบเร่ ตอนหลังติดตามสามีขึ้นเหนือล่องใต้ทำการค้า ตอนนี้ลงหลักปักฐานอยู่ที่ตงเป่ย เมื่อบิดาตายลง ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทันได้ส่งจดหมายไปบอก ส่วนน้องสาวคนเล็กคือชุ่ยเหลียนคนเมื่อสักครู่ อายุสิบหกปี หมั้นหมายกับลูกชายครอบครัวชาวนาที่อยู่บ้านข้างๆ ที่แรกเตรียมจะแต่งออกไปก่อนขึ้นปีใหม่ แต่ตอนนี้บิดามาด่วนจากไป ก็เลยต้องเลื่อนงานแต่งจัดในช่วงไว้ทุกข์ร้อยวัน[1]

ศพตั้งอยู่ที่ห้องโถงหลัก มีชาวบ้านที่มาช่วยงานยืนมุงที่หน้าประตู พวกเขาจ้องมองมาพลางจับกลุ่มคุยกันอยากจะรู้คำตอบ เมื่อรวมกับเสียงร้องไห้ ภายในห้องจึงมีเสียงดังเซ็งแซ่

ฉินหลิวซีเดินไปข้างหน้า ผู้คนในห้องเห็นอีกฝ่ายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา แตกต่างออกไปจึงไม่กล้าขวาง ทำให้เดินไปได้อย่างสะดวก

กลางห้องตั้งศพ มีโลงศพสีแดงตั้งอยู่ ฝาโลงเปลี่ยนเป็นสีดำด่างไปด้านหนึ่งเนื่องจากไฟไหม้ทำให้โลงเกิดความเสียหาย ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น ฉินหลิวซีเห็นชายแก่ค่อนข้างอ้วนคนหนึ่ง สวมชุดเสื้อผ้าสวมใส่ให้ศพนั่งยองอยู่บนโลง พลางชี้มือด่าคนในห้อง คำด่าที่ออกจากปากนั้น…

ฉินหลิวซีแคะหู ไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ฟัง ช่างระคายหูเสียจริง นางมองตามที่นิ้วมือเขาผู้เฒ่าหวังชี้ไป สายตาปะสานกับหญิงสาววัยอ่อนที่สวมชุดกระสอบ ใบหน้านางซีดขาว นางกำลังร้องไห้ น่าสงสารยิ่งนัก

‘หญิงงามสวมชุดขาว[2]’ คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลย คนบ้านหูผู้นี้สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวนั่งร้องไห้ เหล่าผู้ชายต่างพากันปวดใจ แค่มองดูผู้ชายในห้องนี้ก็รู้ได้ทันที

เพียงรูปร่างหน้าตาเท่านั้น หึๆ ผัวแก่เมียเด็ก ย่อมไม่ราบรื่น

“เสแสร้งทั้งนั้น เฮอะ!” หวังชุ่ยเหลียนกัดฟันกรอดอุทานออกมาคำหนึ่ง

หางตาฉินหลิวซีกระตุกเบาๆ บ้านหวังแห่งนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก

“น้องสาม นี่มันเรื่องอะไรกัน” หวังต้าหย่งขมวดคิ้วลากน้องชายคนที่สาม หวังซานเฉวียนมาถาม “ทำไมให้บ้านหูนำนักพรตมา เจ้าทำไม่ไม่ห้ามปรามเล่า”

หวังซานเฉวียนตาเป็นประกาย “พี่ใหญ่ อย่างไรเขาก็มาแล้ว ฟังเขาหน่อยว่าจะกล่าวว่าอะไร จะให้โลงศพท่านพ่อยกไม่ขึ้นฝังไม่ลงหรือ ที่ท่านกลัวก็คือจะมีสิ่งไม่ดีอะไรมาควบคุมอยู่มิใช่หรือ”

ฉินหลิวซีมองไป ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าเขากำลังหลุบตาลงและรอยยิ้มก็จางหายไป

“ข้าอยากจะทุบผู้หญิงของเจ้าด้วยค้อนสักที เจ้าร่วมมือกับหญิงสารเลวนั่นมาทำร้ายข้า เจ้าคนอกตัญญู ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้เฒ่าหวังโถมตัวมา กวาดมือทีหนึ่ง แต่กลับทะลุใบหน้าหวังซานเฉวียนไป

[1] ในวัฒนธรรมจีนโบราณ ลูกชาย-หญิงหากมีการหมั้นหมายเกิดขึ้นแล้ว ต่อมามีผู้ใหญ่ในบ้านเสียชีวิต จะต้องรีบจัดงานแต่งงานภายในช่วงไว้ทุกข์ (หนึ่งร้อยวันหลังจากวันที่เสียชีวิต) ไม่อย่างนั้นจะต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งปี จึงจะจัดงานได้ สำหรับเด็กผู้หญิงอายุที่สมควรแต่งงานคือสิบหกปี ถือว่าเป็นสาวบานสะพรั่ง หากอายุสิบเจ็ดปีจะถูกเรียกว่า “กู่ซี” ซึ่งมีเป็นคำเรืยกที่ให้ความหมายโดยนัยว่าอายุค่อนข้างมากเกินไปสมควรรีบแต่งออก หากล่วงไปถึงอายุสิบแปดปีจะมีให้เห็นน้อยมากที่ยังไม่แต่งงาน

[2] สุภาษิตจีนโบราณ หมายถึงผู้ชายเหมาะกับเสื้อผ้าสีดำหรือสีเข้ม ผู้หญิงควรแต่งกายด้วยสีขาว